ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 348: การประชุมราชสำนัก (3)
บทที่ 348: การประชุมราชสำนัก (3)
“พวกเจ้าทั้งสามจะอวดดีเกินไปแล้ว” หลิวอวี้กวาดสายตามองราชทูตคนอื่นๆที่อยู่โดยรอบ “ฮันยาง จักรวรรดิเขมร สยาม เจียวจื่อ และดินแดนแห่งป่าไผ่ – ดินแดนเหล่านี้ไม่ได้รุ่งเรืองมาเกือบพันปีแล้วหรืออย่างไร? พวกเราสามารถเกณฑ์กองทัพนับล้านได้ในทันทีที่ได้รับคำสั่ง! เศรษฐกิจของพวกเราก็เป็นรองเพียงแผ่นดินจีนและญี่ปุ่นเท่านั้น การที่เรามาปรากฏตัวที่การประชุมราชสำนักในครั้งนี้ก็เพียงพอแสดงความเคารพที่มีต่อแผ่นดินเกิดเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น พวกเราสามารถปฏิเสธที่จะมาและประกาศเอกราชด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำ!”
“อวดดี!!” อวี๋เชียนและหยางจีเย่ตะโกนออกมาพร้อมกัน ทวนที่อยู่ด้านหลังของหยางจีเย่สั่น เล็กน้อยก่อนจะปรากฏขึ้นในมือของเขา
ฉินเย่ยังคงเงียบ คำพูดเหล่านี้อาจดูเหมือนมุ่งไปที่ราชทูตทั้ง 12 แต่ความหมายที่แท้จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังพูดกับเขา!
สมกับที่เป็นหลิวอวี้ แม้แต่เขาเองก็เกือบจะตกหลุมพรางของอีกฝ่ายแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขารู้ตัวเสียก่อน
ถูกต้องแล้ว เรื่องในอนาคตก็ควรจะจัดการในอนาคต เพราะไม่ว่าอย่างไร ใครจะสามารถแน่ใจได้ว่าในอีก 100 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น? เรื่องของเรื่องก็คือตอนนี้มีกองกำลังทหาร 1 แสนนายยืนรออยู่ด้านนอกของยมโลก ต่อให้ยมโลกแห่งใหม่จะเจริญรุ่งเรืองจริง แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถต่อต้านกองกำลังขนาดนี้ได้! และพวกเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้!
อยากจะสู้อย่างนั้นหรือ?
ดี ถ้าเช่นนั้นก็ลองลิ้มรสความแข็งแกร่งของโลกใต้พิภพที่ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปีดู นอกจากนี้ แม้ว่ายมโลกจะสามารถต้านกองกำลังได้ แต่พวกเขาจะมีเงินพอที่จะต้านทานการต่อสู้จริงๆน่ะหรือ?
เกาฉางกงและชากันเองก็พูดขึ้นพร้อมกัน “เจ้าทั้งสาม ที่เจ้าศักดินาแห่งฮันยางพูดนั้นไม่ได้ผิด พวกเจ้าทั้งหมดต่างเป็นวีรบุรุษในแดนมนุษย์ พวกเจ้าจะถูกตบตาโดยสิ่งที่เพิ่งเห็นได้อย่างไร? ลองคิดดู ยมโลกสูญเสียอำนาจในการควบคุมทวีปตะวันออกไปแล้ว และมันก็คงสามารถปิดเป็นความลับได้อีกประมาณ 50 ปีเท่านั้น แต่นี่เรากำลังพูดถึงความมั่นคงในระยะเวลาร้อยปี! พวกเจ้าคิดว่าทำไมอิซานามิถึงยื่นมือเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะ? หากยมโลกแห่งเก่ายังอยู่ เจ้าคิดว่านางจะกล้าย่างกรายมานอกเขตของตนเองหรืออย่างไร?!”
“มันคือการทดสอบ” หม่าฝูโปวเอ่ยเสริม “นางกำลังทดสอบขอบเขตอำนาจของยมโลก และพญายมราชของฮินดูสถานอย่างไรเล่า? ทั้งสองแห่งนี้ล้วนเป็นโลกใต้พิภพที่สามารถเทียบได้กับยมโลกแห่งความเก่าในเรื่องของความรุ่งโรจน์! พวกเรากำลังพูดถึงการดำรงอยู่มานานกว่าพันปี และทหารวิญญาณอีกกว่าพันล้านนาย! มันไม่สามารถบอกได้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น!”
การประชุมราชสำนักในครั้งนี้ได้เริ่มแสดงให้เห็นถึงการมาบรรจบกันของผลประโยชน์และความสนใจจากหลายๆฝ่าย สมดุลของสถานการณ์สลับไปมาอยู่ตลอดเวลา ทุกฝ่ายไม่เพียงแต่ตอบสนองอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่พวกเขายังมีอำนาจเพียงพอที่จะถ่วงน้ำหนักคานฝั่งของตนเองอีกด้วย
หลิวอวี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ภาพที่น่าตกใจของการพัฒนาของยมโลกแห่งใหม่ค่อยๆจางหายไปในที่สุด ใช่แล้ว…ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าอนาคตที่รอคอยพวกเขาอยู่นั้นเป็นอย่างไร?
การแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างกษัตริย์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงนั้นคล้ายคลึงกับการก่อจลาจลที่ถูกนำโดยเฉินเซิ่งและอู๋ก่วง ทั้งสองเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าการต่อต้านของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของจักรพรรดิฉินเอ้อซื่อในท้ายที่สุด [1]
หรือหลิวปัง ผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นวายร้าย ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตนจะได้เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น [2]
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร!
เขาใช้ชีวิตและตายด้วยชะตากรรมของตัวเอง เขา หลิวอวี้ จะไม่มีทางยอมจำนนต่อผู้ใดอีก! อนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ แต่สิ่งที่แน่นอนในตอนนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าราชทูตทั้ง 12 ทุกคนที่นี่สามารถบดขยี้ยมโลกแห่งใหม่นี้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่คือความมั่นใจของเขา! นี่คือบรรทัดฐานของเขา!
เขากวาดตามองคนทั้งหมด “ตอนนี้ ข้าเพียงต้องการรู้แค่อย่างเดียว – พวกเจ้าอยู่ฝั่งใดกัน?! ฉางเย่ชุน ในตอนแรกที่จักรพรรดิหย่งเล่อทรงเป็นแกนนำการรณรงค์ต่อต้าน เจ้าคิดว่าพระองค์คิดถึงโอกาสที่ตัวเองจะได้ขึ้นครองบัลลังก์หรืออย่างไร?” [3]
ฉางเย่ชุน กั๋วจื่ออี้ และฮั่นฉินหูเงียบไปอีกครั้ง
พวกเขาไม่มั่นใจเลยสักนิด ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องมาประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้หลังจากที่ตนตายไปแล้ว
แต่ทันใดนั้นฉินเย่ก็เอ่ยขึ้น “ข้าตกลง”
อวี๋เชียนและหยางจีเย่ต่างหันมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาตกตะลึง ในขณะที่ฉินเย่เพียงส่งยิ้มบางให้หลิวอวี้ “ข้าตกลงกับคำพูดของเจ้าศักดินาแห่งฮันยาง”
“ท่านฉิน ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าคำพูดของจ้าวนรกนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!” ดวงตาของหลิวอวี้เป็นประกายขึ้น
“แน่นอน” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเราจะเริ่มเจรจากันอย่างเป็นทางการในตอนเย็นของวันพรุ่งนี้ ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลา สำหรับวันนี้ ข้าได้เตรียมการสำหรับส่วนที่เหลือทั้งหมดไว้แล้ว อรากษส”
“เพคะ” อาร์ทิสโค้งคำนับและหันไปหาราชทูตทั้ง 12 “ทางเราจะทำการรายงานเกี่ยวกับแผนการพัฒนาของยมโลกในตอนบ่าย ทุกท่านจะได้รับสำเนารายงานอย่างละเอียดเพื่อใช้ในการอ้างอิง ส่วนในช่วงเวลากลางคืน…”
นางคลี่ยิ้มบาง “ท่านจ้าวนรกได้เตรียมกิจกรรมเปิดตัวพิเศษไว้สำหรับความบันเทิงของทุกท่าน”
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่าน… จะสามารถนั่งดูอย่างสงบใจได้จนจบ…”
เมื่อพูดจบ นางก็จากไปพร้อมกับฉินเย่ จนทั้งคู่เดินกลับเข้ามาในโถงเสริมในที่สุด
“เพราะอะไร?” อาร์ทิสถามทันทีที่ทั้งสองนั่งลง “สถานการณ์ได้เอนเอียงมาทางเราแล้ว เหตุใดเจ้าจึงตอบรับคำขอแยกตัวเป็นเอกราชกับข้าราชการศักดินาทั้งสี่ที่อยู่ฝั่งของเจ้าศักดินาแห่งฮันยาง?”
ฉินเย่หลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเสื้อตัวในของตัวเองบัดนี้ได้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“ท่านคิดว่ากองกำลังด้านนอกนั้นมีไว้เพียงเพื่อแสดงหรืออย่างไร?!” ครู่ต่อมาเขาก็กัดฟันแน่นและสบตากับอาร์ทิส “ท่านสัมผัสถึงเจตจำนงในการก่อสงครามของพวกเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อฮั่นฉินหูและคนอื่นๆกำลังลังเล พวกเขาได้แผ่จิตสังหารออกมาและแรงกดดันพวกนั้นก็กดทับมาที่ข้า?!”
หลังจากได้ระบายความหงุดหงิดออกไป ฉินเย่ก็เคาะโต๊ะเบาๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “หรือท่านคิดว่ายมโลกแห่งใหม่สามารถสู้กับรัฐบริวารสี่รัฐที่ดำรงอยู่มาเป็นเวลากว่าหลายร้อยปีได้? ด้วยอะไรล่ะ? กำลังทหารหรือ? เศรษฐกิจหรือ? ฝันอยู่หรืออย่างไร?! พวกเขาแค่กลัวอำนาจที่เราอาจจะมีในอนาคต ไม่ใช่อำนาจที่เรามีอยู่ในเวลานี้! ทุกอย่างจะต้องดำเนินไปอย่างพอประมาณ หากเรากดดันพวกเขามากเกินไป…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสูดหายใจเข้าช้าๆก่อนจะเอ่ยต่อ “การประชุมราชสำนักครั้งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหญ่ในทวีปตะวันออก”
จากนั้น ฉินเย่ก็ยิ้มออกมา “แต่สิ่งที่ข้าสนใจมากกว่าก็คือพวกเขามีสิ่งใดมาเสนอให้เรา…”
“ข้ายอมรับได้ที่พวกเขาจะเหยียบย่ำข้าในเวลานี้ แต่อย่างน้อย…ข้าก็ต้องได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมาบ้าง”
“รอดูเถิด ข้ายังมีไพ่ตายอยู่อีกมาก และคืนนี้… ข้าจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการจู่โจมจากหลายมิติที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร”
……………………………………………………….
ตกเย็น
โจวกงจินนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น ลูบถ้วยชาเคลือบทองในมือของตนเบาๆขณะที่กลุ่มก้อนพลังหยินสีดำลอยออกมาจากชา เขาถือเอกสารในมืออีกข้างหนึ่งและอ่านเนื้อหาของมันอย่างละเอียด หากสังเกตดูดีๆจะรู้ได้ว่าปลายนิ้วมือของเขาบีบตัวเอกสารอย่างแรงจนมันเปลี่ยนเป็นซีดขาวไปหมด
น้ำชาที่เขาดื่มอยู่ไม่ใช่ชาของยมโลกแห่งใหม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร ยมโลกก็ยังไม่มีความสามารถในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มด้วยตนเองได้ นี่จึงเป็นชาที่เขานำมาในฐานะส่วยจากโลกใต้พิภพของตัวเอง แม้ว่าจะถูกต้อนรับด้วยภาพที่เฟื่องฟูในตอนแรก แต่มันก็เห็นได้ชัดว่ายมโลกยังขาดหายไปในหลายๆส่วน
แต่… เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกดูแคลนยมโลกแห่งใหม่เลยแม้แต่น้อย
บ้านเจ้าและหวางเมิ่งเองก็นั่งอยู่ภายในห้องด้วย โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ถูกจัดวางด้วยจานอาหารมากมายและแก้วไวน์หยินที่ได้รับการเติมอย่างไม่ขาด ข้าราชการศักดินาทั้งสองเองก็ถือเอกสารแบบเดียวกันในมือ แต่คิ้วของทั้งคู่กลับขมวดเข้าหากันยุ่งจนเริ่มเกิดเป็นรอยย่นกลางหน้าผาก
“มันคือสิ่งใดกัน?” หวางเมิ่งถามออกมาในที่สุดหลังจากความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานาน “ข้าไม่เข้าใจคำเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย โจวกงจิน ท่านเป็นเพียงคนเดียวในพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ในทั้งแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพ ท่าน…เข้าใจหรือไม่ว่าตรงจุดนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เงียบ…
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จิวยี่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาวางกำหนดการในมือลง
“18.00 น. เริ่มเข้างาน การแสดงดอกไม้ไฟ”
“18.10 น. พิธีเปิด ดนตรีประกอบ: Battle Without Honor or Humanity”
“18.30 น. มหากรรมการแสดงเปิด
เพลง:
Victory
Star Sky
Exodus
Always Mine
Final Hour
The Mass
Go Time”
“19.10 น. กิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ”
“20.30 น. สิ้นสุดกิจกรรม”
รายงานที่พวกเขาได้ฟังในตอนช่วงบ่ายนั้นเป็นทางการและลึกล้ำ สำหรับราชทูตทั้งหมด มันไม่ต่างไปจากการประชุมราชสำนักในอดีตเลยแม้แต่น้อย และจิวยี่ก็เข้าใจทุกอย่าง
แต่น่าเสียดาย กำหนดการในตอนเย็นนั้นกลับดูไม่ต่างอะไรกับอักษรอียิปต์โบราณสำหรับราชทูตคนอื่นๆเลยสักนิด จิวยี่เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าใจสิ่งที่ถูกเขียนระบุนั้นได้
ก็เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจทุกอย่างที่ถูกเขียนไว้นี่เองที่ทำให้คลื่นความตกตะลึงผลุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ ยมโลกแห่งใหม่ไม่ได้ปกปิดอะไรพวกเขาเลยสำหรับการรายงานในตอนบ่าย ทุกอย่างถูกรายงานออกมาอย่างชัดเจน… ยมโลกได้พัฒนามาอย่างไรบ้างในปีที่ผ่านมา พวกเขาให้ความสำคัญ ณ จุดใด มีการก่อจลาจลเกิดขึ้นกี่ครั้ง และมาตรการต่างๆที่มีมาจนถึงปัจจุบัน รายงานยังครอบคลุมไปถึงการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ และการฝึกฝนของทหารวิญญาณทั้งหมด! ยิ่งพวกเขาได้ฟัง พวกเขาก็ยิ่งพบว่าจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลกนั้นทำตัวไม่สมกับอายุของตัวเองเลยสักนิด! เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเองมีความเก่งกาจและชำนาญในฐานะของจ้าวผู้ครองดินแดน ทั้งวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการกระทำที่เด็ดขาด แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขา…ก้าวหน้าไปพร้อมกับยุคสมัยปัจจุบัน!
จิวยี่เป็นเพียงคนเดียวในหมู่ราชทูตทั้ง 12 ที่ชื่นชมความก้าวหน้าของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบัน ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 การพัฒนาของสังคมตลอด 30 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนไปมากกว่าที่ 1,000 ปีก่อนรวมกันเสียอีก! นี่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างแท้จริง!
ความเข้าใจของเขาที่มีต่อสังคมสมัยใหม่นั้นไม่ลึกมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ถึงอันตรายและหลุมพรางของการตอบตกลงสุ่มสีสุ่มห้าดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ทุกคนก็มักจะเตรียมการเกี่ยวกับสิ่งต่างๆก่อนเริ่มทำการเจรจาอย่างพวกเขา รวมถึงสิ่งที่จะต้องพูด ลำดับการของทุกอย่าง และสิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อที่ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในการเจรจาที่ไม่รู้จบระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุคปัจจุบัน ในทางกลับกัน พวกเขาคือผู้ที่หลงใหลในวิถีโบราณ พวกเขาจะสามารถมองเห็นหลุมพรางและกับดักจากเหตุการณ์ที่ดูไม่มีพิษมีภัยเหล่านี้ได้อย่างไร?
เขากางพัดด้ามจิ้วสีทองในมือของตัวเองและพัดเบาๆ จากนั้น หลังจากเงียบไปสักพักใหญ่ ก่อนจะก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งสอง…คิดอย่างไรเกี่ยวกับจ้าวนรกองค์นี้? คิดว่าเขาจะทำสิ่งใดต่อไป?”
หวางเมิ่งแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทปราศจากเครื่องประดับใดๆ เขาควงแก้วไวน์ในมือเบาๆ “เขาทำตัวไม่เหมือนกับอายุของตัวเอง”
“เขาไม่ต่างจากนักล่าที่ช่ำชอง นอกจากนี้ใจกว้างและอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ และการโต้กลับของเขาก็ทำให้เราทั้งหมดตกตะลึง หากพูดกันตามตรง ข้าเองค่อนข้างตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็นในตอนที่ก้าวเข้ามาสู่ยมโลก มันเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่บอกกล่าว อันที่จริง ข้าสามารถพูดได้เลยว่ามันสร้างความตกตะลึงให้พวกเราทุกคน และข้าก็คงต้องชื่นชมหลิวอวี้เลยที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น จ้าวนรกองค์นี้ใช้ความเป็นไปได้ในอนาคตของยมโลกกดดันเรา แต่หลิวอวี้ก็โต้กลับด้วยการย้ำถึงความเป็นจริงที่ยมโลกกำลังเผชิญหน้า ในมุมมองของข้า – จนถึงตอนนี้…ยังไม่มีฝ่ายใดที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแท้จริง”
หวางเมิ่งเอ่ยต่อ “ส่วนเรื่องสิ่งที่จ้าวนรกจะทำต่อไป… แม้ว่าการเปิดประชุมจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ข้าเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายก็จะร่วมมือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพราะอย่างไรแล้ว… สมุดแห่งความเป็นตายก็อยู่กับยมโลก และข้ายังสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของกระจกส่องกรรมของท่านเปาด้วย ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าหลิวอวี้จะไม่แก้ปัญหาโดยใช้กำลังแน่”
เป็นอย่างที่คิด… พวกเจ้ายังไม่สังเกตเห็นถึงความน่ากลัวของการพัฒนาของสังคมสมัยใหม่… ไม่สิ พวกเจ้าจะไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเจ้าเผชิญความเป็นจริงที่น่าตกใจซึ่งเกิดจากช่องว่างระหว่างวัยอันกว้างใหญ่…
จิวยี่หลับตาลงอีกครั้ง เปลือกตาของเขาสั่นระริก “ข้าเคยเตือนให้พวกเจ้าทั้งหมดแล้วว่าจงให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของแดนมนุษย์ในสมัยนี้ แต่ไม่มีใครสนใจคำของข้า….”
เขาลืมตาขึ้นและจ้องหน้าชายทั้งสอง “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าเขาพยายามจะทำสิ่งใด แต่สิ่งที่ข้ามั่นใจก็คือ…พวกเราควรหลีกเลี่ยงงานเปิดตัวในค่ำคืนนี้!”
“ในเมื่อพวกเจ้ารู้แล้วว่าเขาเป็นคนฉลาด เช่นนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าเขากล้าจัดการประชุมราชสำนักขึ้นมาก็ย่อมหมายความว่าเขามั่นใจว่ามีอำนาจเหนือเรา!”
เขาสบตากับข้าราชการศักดินาทั้งสอง “และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือสิ่งที่เราไม่รู้…”
อีกฝ่ายกำลังจะเปิดตัวสิ่งใด?
สิ่งใดที่สำคัญถึงขนาดที่ได้รับการเปิดตัวโดยตัวจ้าวนรกเอง?
นี่…จะต้องเป็นสิ่งที่ยมโลกเตรียมไว้สำหรับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
และเขาก็เกรงว่าคืนนี้… จะเป็นคืนที่ไพ่ตายใบสุดท้ายของยมโลกถูกเปิดเผย!
หวางเมิ่งขมวดคิ้วอย่างหนัก “แต่ทุกคนก็ยังประพฤติตัวตามเดิม สถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้มากสักเพียงใดเชียว? โจวกงจิน เหตุใดเราไม่ลองมาเดิมพันกันด้วยอสูรวิญญาณหิมะล่องหนที่ท่านเพิ่งได้มากันเล่า?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!” จิวยี่ทุบโต๊ะและลุกขึ้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ 30 ปีในแดนมนุษย์นั้นผ่านไปภายในชั่วพริบตาสำหรับพวกเราที่เปิดวิญญาณ แต่พวกเจ้าได้ลองนึกบ้างหรือไม่ว่า 30 ปีที่ผ่านมาได้เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง? ความสำเร็จทั้งหมดนั้นมากกว่าความสำเร็จของทั้ง 1,000 ที่ผ่านมารวมกันเสียอีก! เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการศึกษาจิตวิทยาหรือไม่? มันสามารถใช้อนุมานและคาดการณ์สิ่งที่คนๆหนึ่งจะทำได้ พวกเจ้าได้หยุดคิดสักนิดหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะน่ากลัวเพียงใดเมื่อนำมาปรับใช้ในการเจรจาต่อรอง? พวกเจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่านักเจรจาเก่งๆในสังคมปัจจุบันต่างล้วนต้องศึกษาจิตวิทยาทั้งสิ้น?!”
“และพวกเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการตลาดบ้างหรือไม่? เจ้าจะโน้มน้าวคนๆหนึ่งให้ยอมรับบางสิ่งบางอย่างที่ปกติแล้วพวกเขาไม่ได้สนใจมันได้อย่างไร? นี่คือทักษะบังคับสำหรับนักเจรจามืออาชีพในแดนมนุษย์! ท่านคิดว่าตัวเองจะสามารถต้านทานสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร? กาลเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และประสบการณ์และความรู้ของเราก็ล้าสมัยมากขึ้นทุกที! รู้หรือไม่ว่าการที่จ้าวนรกองค์นี้เข้าใจถึงการทำงานที่ซับซ้อนในสมัยใหม่นั้นหมายความว่าอย่างไร?”
ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งหมด
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ บ้านเจ้าก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนัก “กงจิน บางทีเจ้าอาจจะกำลังคิดมากเกินไปก็เป็นได้ ยมโลกเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้น และเราก็กำลังพูดถึงจ้าวนรกที่อายุยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ…”
“แต่เขาก็ยังเป็นคนที่เติบโตควบคู่ไปกับโลกสมัยใหม่! พวกเจ้าประเมินเขาต่ำเกินไป! อย่าให้รูปลักษณ์อันเยาว์วัยของเขาหลอกเอาได้ เพราะข้าบอกได้เลยว่าภายในใจของเขา… ไม่ได้เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาแน่ๆ” จิวยี่เอ่ยจบในคราวเดียวก่อนจะหันกลับไปมองยังพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ห่างออกไปอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ละสายตาไปมองอาคารสีขาวที่ถูกสร้างขึ้นข้างประตูนรก “ข้าได้พูดทุกอย่างที่ควรพูดไปแล้ว และข้าก็มีความรู้สึกว่า…นอกจากอวี๋เชียนและหยางจีเย่แล้ว ข้าราชการศักดินาคนอื่นๆ…จะต้องตกตะลึงจนหงายหลัง!”
“ข้าคงจะไม่เข้าร่วมงานเปิดตัวในคืนนี้ หากพวกเจ้ายังยืนยันที่จะไป เช่นนั้น…เชิญเลย ลองลิ้มรสดูว่าวิธีการสมัยใหม่นั้นเป็นเช่นไร ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะต้องอยากดื่มด่ำไปกับโลกใหม่ในแดนมนุษย์ทันทีหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ในคืนนี้ไป นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการจะบอก ลู่หลิ่ว ส่งแขก”
[1] กบฏเฉินเซิ่ง-อู๋ก่วง (陈胜吴广之乱)
[2] ฮั่นเกาจู่ หรือ ฮั่นโกโจ (漢高祖) 256 ปีก่อนคริสตกาล – 195 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งราชวงศ์ฮั่นของจักรวรรดิจีน
[3] เหตุการณ์ที่จักรพรรดิหย่งเล่อรณรงค์ต่อต้านพวกมองโกล