ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 355: การประชุมการค้าระหว่างประเทศ (1)
บทที่ 355: การประชุมการค้าระหว่างประเทศ (1)
คนขี้โกหกกางเกงจะไฟไหม้
หากเขาลองสัมผัสหัวใจตัวเองและลองคำนวณอย่างจริง ๆ จัง ๆ ถึงการกระทำที่น่าละอายที่ตนได้ทำมาจนถึงตอนนี้ เขาก็หวังว่าจะมีที่สักแห่งให้เขาได้ซุกหน้าหนี
หลักในการใช้ชีวิตของเขาคืออะไร ? วิ่งหนีจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ! และหากการวิ่งหนีไม่สามารถใช้ได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้การหลอกลวงและบังตา
หากพูดสั้น ๆ ก็คือไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่มันสามารถรับประกันการมีชีวิตรอด เขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง
เขารู้สึกพึงพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก
บางทีทักษะอีกอย่างหนึ่งที่สามารถเทียบได้กับสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด อาจจะเป็นความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจของรัฐอื่นเพื่อผลประโยชน์ของยมโลก เขาไม่ต่างอะไรกับผู้เชี่ยวชาญในการฉวยโอกาสหรือนักล่าผู้ช่ำชองที่จะอดทนรออย่างเงียบ ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่จะได้ปลดปล่อยท่าไม้ตายพิฆาตและแย่งชิงความรุ่งโรจน์และเกียรติยศมาจากฝ่ายตรงข้าม
“หินวิญญาณ 3,600 ล้านก้อน…” แววตาของเด็กหนุ่มไหววูบอย่างตื่นเต้นภายในความมืด เขาเลียริมฝีปากของตัวเองขณะที่เริ่มเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยิน “ในเมื่อตอนนี้ข้าได้ทำทุกอย่างเพื่อยึดงบประมาณทางการทหารของฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว เช่นนั้น… มันก็ถึงเวลาที่จะจบเรื่องทั้งหมดเสียที…”
“นี่จะเป็นการประชุมการค้าระหว่างประเทศครั้งแรกของยมโลก และข้าเองก็ตั้งตารอมันอย่างถึงที่สุดเช่นกัน ด้วยระดับสติปัญญาของพวกท่าน อีกไม่นานพวกท่านก็จะรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ข้าจัดงานเปิดตัวที่ทำให้พวกท่านต้องเต้นรำอยู่บนมือของข้าครั้งนี้ ทีนี้…พวกท่านจะทำเช่นไรต่อไป ?”
ในบ่ายของวันต่อมา เวลา 14.00 น. เสียงเป่าแตรที่ยิ่งใหญ่ดังขึ้นที่หน้าประตูนรก และเหล่าข้าราชการศักดินาทั้งหมดก็รีบเดินออกมาจากห้องพักของตัวเองเพื่อตอบรับเสียงเรียกนั้น
การประชุมถูกจัดขึ้นที่ด้านในของประตูนรก ใต้รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พรมสีแดงเข้มถูกปูออกมาจากห้องของคนทั้งหมดตรงไปสู่ประตูนรก ข้ารับใช้นับร้อยคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและโปรยเงินกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนไปในอากาศ ขณะที่ข้าราชการศักดินาทั้งหมดเดินผ่าน ทัพเกราะทมิฬยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของข้างทางราวกับเสาเหล็ก ในขณะที่ผ้าสีดำขาวถูกใช้ตกแต่งอยู่รอบ ๆ ประตูนรกอย่างสวยงาม
สายลมที่พัดผ่านเบา ๆ ทำให้เศษผ้าปลิวไปตามสายลม ลูกไฟนรกลอยไปลอยมาอยู่รอบ ๆ ขณะที่ตัวอักษรที่ถูกเขียนเป็นคำว่า “ประตูนรก” ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกอันทรงพลัง ทุกอย่างโดยรอบดูยิ่งใหญ่และน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
ทัพเกราะทมิฬมากกว่าร้อยยืนรักษาความเรียบร้อยอยู่รอบโถงหลักของประตูนรกซึ่งถูกใช้เป็นที่จัดการประชุม เปลี่ยนให้มันเป็นห้องประชุมที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าออกได้ เสียงแตรดังกึกก้อง และบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่
ไม่มีทั้งพิธีการใหญ่โตหรืองานเลี้ยงฉลองการมาถึง กลับกัน คนทั้งหมดที่เดินเข้าห้องประชุมต่างรู้สึกราวกับว่าตนคือศัตรูของยมโลก บรรยากาศทั้งหมดเคร่งขรึมและตึงเครียด ไม่มีสิ่งใดในห้องประชุมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างตึงเครียด…ผู้ช่วยของชากันขมวดคิ้วเล็กน้อยและกระซิบอย่างครุ่นคิด “นายท่าน เหตุใดท่านถึงขมวดคิ้วกัน ? ยมโลกกำลังเผยขอบเขตความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองให้กับพวกเราได้เห็นในเวลานี้ นี่คือโถงหลักของประตูนรก แต่ทั้งหมดที่มีกลับมีเพียงทหารรักษาการณ์ ช่างเป็นความยากจนที่น่าหัวเราะเสียจริง—…”
“เงียบ” ชากันเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบ วันนี้เขาสวมหมวกและถักผมเป็นเปีย นิ้วมือถูกประดับด้วยแหวนทองฝังมุกและสวมชุดสูทสีขาวที่ถูกรัดด้วยเข็มขัดหยก มันดูเป็นทางการอย่างไม่น่าเชื่อ
และมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่แต่งกายเช่นนี้ อันที่จริง ข้าราชการศักดินาทั้งหมดต่างแต่งกายอย่างเป็นทางการกว่าก่อนหน้านี้มาก และท่าทางของพวกเขาก็แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีใครพกอาวุธติดตัวมาด้วยเลย
“ชากันเตมูร์” เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อชากันเงยหน้าขึ้นเขาก็พบกับหลิวอวี้ที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำและมงกุฎหยกแทนที่จะเป็นเสื้อคลุมสีทองอย่างที่มักจะเป็น อีกฝ่ายเดินมาพร้อมกับข้ารับใช้สี่คน
ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ห่างจากประตูนรกประมาณร้อยเมตร และทั้งสองก็รักษาระยะห่างระหว่างกันและกัน ชากันมองไปยังหลิวอวี้ “ดูเหมือนว่าท่านเองก็จะรู้ตัวแล้วเช่นกัน”
หลิวอวี้พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ กัดฟันแน่นและมองไปยังประตูนรกด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งหมดจะประเมินจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลกผู้นี้ต่ำไป”
“ข้าเองก็เพิ่งคิดออกเมื่อคืนนี้เช่นกัน” ชากันละสายตาจากอีกฝ่ายและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จุดประสงค์ของงานเปิดตัวเมื่อคืนนี้ของเขาคืออะไร ?”
“เงิน ?”
“ไม่ใช่… นั่นอาจจะสำคัญ แต่มันก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับเราก็คือ ยมโลกแห่งใหม่…สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ !”
เสียงของชากันสั่นเทาเล็กน้อย หลิวอวี้เอ่ยต่อ “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาได้โดยปราศจากหอแห่งการสั่นสะเทือน นี่คือกฎเหล็กของยมโลก ! อาวุธทั้งหมดที่เรามีในตอนนี้ต่างได้รับมอบมาจากยมโลกตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน พวกมันอาจจะไม่ได้ล้าสมัยนักสำหรับตอนนี้ แต่…”
เขาเหลือบมองไปยังประตูนรก “พวกเราทั้งสองต่างต้องการจะแยกตัวออกจากยมโลก… เราจะต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อขยายและเจริญเติบโตให้ได้มากที่สุด ไม่เช่นนั้น…ด้วยความรวดเร็วในการเจริญเติบโตของยมโลกในตอนนี้ มันคงใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีก่อนที่พวกเขาจะมาถึงหน้าบ้านของเราและขอให้เรายอมรับถึงความผิดที่ได้กระทำลงไป แต่…การขยายตัวและการเติบโตก็ขึ้นอยู่กับการครอบครองอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วอาวุธยุทโธปกรณ์พวกนั้นมาจากที่ใด ?”
ชากันกัดฟันกรอด “เขาพยายามจะเป็นพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในทวีปตะวันออก ! ไม่แม้แต่จะปกปิดเจตนาของตนเอง ! น่าเสียดายที่เขามีทั้งสมุดแห่งความเป็นตายและตี้ทิงอยู่ด้วย หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการพิพาทต่าง ๆ อาจนำไปสู่การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเราก็คงปฏิเสธเขาไปนานแล้ว ! ฉินเย่พยายามที่จะฆ่าเราทั้งเป็น ไม่น่าเชื่อ… ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ภายใต้การกระทำที่ไม่สามารถคาดเดาได้เช่นนี้ สถานการณ์ทางเทพแห่งความตายไร้นามทางฝั่งของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? ท่านน่าจะใกล้ชิดกับพวกเขามากที่สุด ไม่ใช่ว่าท่านได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนพวกเขาด้วยตัวเองเป็นครั้งที่สามแล้วหรอกหรือ ?”
หลิวอวี้หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ว่ากันว่าเทพแห่งความตายไร้นามผู้นั้นอยู่ขั้นจ้าวนรก แล้วตัวข้าจะไปสามารถพบเจอเขาด้วยตนเองได้อย่างไร ? ข้าเพียงได้พบกับกษัตริย์ปีเตอร์ มหาราชผู้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น เขาไม่กล้าเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการภายในของโลกใต้พิภพแห่งแผ่นดินจีน และเขาก็ไม่ต้องการเปิดช่องทางการค้ากับฮันยางด้วยเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ให้กับเรา”
ชากันที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับยมโลก ! เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ เว้นแต่ว่าภัยคุกคามจะมาถึงตน ! แต่…”
เขาสบตากับหลิวอวี้นิ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ท่านคงไม่ได้บอกพวกเขาถึงสถานการณ์ของยมโลกในตอนนี้ใช่หรือไม่ ?”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบใดกัน ?” หลิวอวี้มองชากันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “พวกเราไม่มีทางเปิดเผยเรื่องความขัดแย้งภายในให้ภายนอกได้รู้ ! ไม่ว่าข้อพิพาทนี้จะยิ่งใหญ่หรืออุกอาจเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังเป็นเรื่องภายในชาติ ! เราจะปล่อยให้คนนอกเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ? ข้ารับประกันได้เลยว่าต่อให้พวกเราราชทูตทั้ง 12 ลงโอยด้วยการถูกยมโลกกำจัด แต่มันก็จะไม่มีพวกเราคนใดที่เปิดเผยสถานการณ์ในยมโลกในตอนนี้ให้กับต่างชาติได้รู้ ! นอกจากนี้ แทนที่จะมาเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เจ้าควรคิดหาวิธีเจรจากับท่านจ้าวนรกที่ดูธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ผู้นี้ไม่ดีกว่าหรืออย่างไร ? การค้าอาวุธยุทโธปกรณ์คือข้อได้เปรียบที่เขามีเหนือเรา ! ไม่เพียงแต่เราจะต้องหารือเรื่องการประกาศเอกราช แต่เรายังต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตเพื่อซื้อขายอาวุธอีกด้วย ! เจ้าไม่กลัวหรือว่าเขาจะใช้ข้อได้เปรียบนั้นในการเอาเปรียบเรา ?”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถตัดสินใจแบบส่ง ๆ ได้ หากพูดกันตามตรง ข้าราชการศักดินาที่ตัดสินใจจะแยกตัวออกจากการปกครองของยมโลก รวมถึงผู้ช่วยของพวกเขา ไม่สามารถข่มตาหลับได้เลยแม้แต่นิดเดียวในคืนที่ผ่านมา ฉินเย่หงายไพ่ของตัวเองอย่างกะทันหันเกินไป และไพ่ดังกล่าวก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผู้ใดจะไปคิดว่าโลกใต้พิภพที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จะสามารถสร้างหอแห่งการสั่นสะเทือนขึ้นมาได้ ? แถมพวกเขายังสามารถขายยุทโธปกรณ์ในการประชุมราชสำนักครั้งแรกของพวกเขาได้อีกด้วย !
เรื่องแบบนี้…ถือได้ว่าเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ ! แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ!
ดังนั้นคนทั้งหมดจึงตัดสินใจที่จะทำตัวค่อนข้างอ่อนน้อมในวันนี้ ไม่ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเขา
ความเคารพคือสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น ไม่ว่าจะอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับพวกเขา หรือมีข้อได้เปรียบเหนือพวกเขาก็ตาม
อย่างเช่นในเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์
และเหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่เอ่ยอะไรออกมาก็เพราะมันสายเกินไปแล้วที่จะวางแผนสิ่งเหล่านี้ในวินาทีสุดท้าย ตอนนี้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาของพวกเขาเอง ทั้งสองเดินตรงไปที่ประตูนรกในเวลาเดียวกัน พึ่บ…ใบมีดด้ามยาวของทวนจำนวนนับไม่ถ้วนกั้นขวางทางของพวกเขาเอาไว้ ทั้งสองเงยหน้าขึ้น และผู้ช่วยของพวกเขาก็รีบนำเอกสารราชการออกมาแสดงและปล่อยให้ทหารตรงหน้าตรวจค้นร่างกาย
หลิวอวี้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นจึงกวาดตาไปมองยังโคลงกลอนที่ถูกแขวนอยู่ที่ประตูนรก
“บาปในดินแดนมนุษย์ล้วนมีตัวเจ้าเป็นผู้กำหนด” เปลวไฟนรกลุกโชนอยู่รอบ ๆ ตัวอักษรทั้งหมด หากนี่เป็นภาพที่ถูกพบเห็นในแดนมนุษย์ มันคงจะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ มันกลับดูคุ้นเคยจนเกินไป
“นรกนั้นมีอยู่มาแต่สมัยโบราณกาล” ชากันอ่านต่ออย่างอดไม่ได้ เขาทำแม้กระทั่งยกมือขึ้นเพื่อสัมผัสแผ่นป้ายตรงหน้าอย่างแผ่วเบา และทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสกับมัน เปลวไฟบนโคลงตรงหน้าก็พุ่งเข้าห่อหุ้มรอบตัวเขาราวกับงูพิษ
เขาชะงักไป ก่อนจะลดมือลงพร้อมกันรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้า
วันนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นข้าราชการศักดินาของยมโลกอีกต่อไปเลย
ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลาย และยมโลกแห่งใหม่ได้มาแทนที่ ชื่อของพวกเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟ เช่นเดียวกันกับยมโลกแห่งเก่า และมันก็ไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเขาในยมโลกแห่งใหม่อีกแล้ว
ตอนนี้พวกเขา… ไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเร่ร่อนเลยสักนิด…
ช่างน่าขันเสียจริง…
ฟึ่บ ! วินาทีนั้น ทัพเกราะทมิฬก็ลดอาวุธของตนลงและเปิดทางให้กับข้าราชการศักดินาทั้งสอง มันเป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาพบว่าเพื่อนร่วมงานของตนส่วนใหญ่ได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รูปปั้นสูงหลายสิบเมตรของร่างจุติของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์พันกรตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของโถงประชุมขนาดใหญ่
รูปปั้นตรงหน้ามีพันมือและพันดวงตา ทุกส่วนของร่างกายจะมีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่ และตะเกียงน้ำมันเหล่านี้ก็ลุกโชนและแผดเผาด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่ามันจะต้องมีตะเกียงอยู่อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพันดวง
ด้านหลังของรูปปั้นมีพระสูตรแขวนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือมีโต๊ะกลมขนาด 20 เมตรตั้งอยู่ด้านหลังของรูปปั้นอย่างเรียบร้อย ฉินเย่นั่งอยู่ที่ที่นั่งหลัง ภายใต้การปกคลุมของรูปปั้นซึ่งมีเปลวไฟนรกนับพันแผดเผาอยู่ แทบจะเหมือนกับว่าเขาคือร่างจุติของจ้าวนรกทั้งสององค์ก่อนไม่มีผิด
ราชทูตทั้งหมดมาถึงในเวลาไม่ช้า และผู้ช่วยของพวกเขาก็นั่งอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนาย ฉินเย่เคาะโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “วันนี้นับเป็นวันแรกสำหรับการประชุมการค้าระหว่างประเทศของเรา เหตุผลที่ข้าไม่เรียกมันว่าการประชุมราชสำนักก็เพราะว่าโดยส่วนตัวแล้วข้าคิดว่า…การประชุมราชสำนักได้จบลงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยต่อ
“ยังคงมีคนบางส่วนที่ยืนกรานที่จะแยกตัวและตัดขาดความสัมพันธ์อันยาวนานกับยมโลก ในเมื่อข้าไม่สามารถรั้งพวกท่านไว้ได้ ข้าก็จะไม่พยายามรบเร้าท่านให้อยู่ต่อเช่นกัน” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ราวกับว่าฮันยาง จักรวรรดิเขมร สยาม พุกามแห่งเบอร์มาเนีย ซานฟอตซี เจียวจื่อ และดินแดนแห่งป่าไผ่ไม่ได้เป็นรัฐบริวารตั้งแต่แรก “เมื่อพวกเราบรรลุข้อตกลงและเงื่อนไขเกี่ยวกับการค้าขายระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว บุคคลทั้งเจ็ดที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้ กั๋วจื่ออี้ ฉางเย่ชุน หม่าฝูโปว หลิวอวี้ เกาฉางกง ชากันเตมูร์จะถือว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของยมโลกอีกต่อไป และข้าจะทำการลบรายชื่อทั้งเจ็ดออกจากบันทึกนรกทันทีที่จบการประชุม ซูตงเซวี่ย”
“เพคะ” ซูตงเซวี่ยลุกขึ้นยืนพร้อมกับม้วนกระดาษม้วนหนึ่งในมือ ฉินเย่พยักหน้า “อ่านข้อบังคับทั้งหมดให้กับข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดที่ประกาศตนเป็นเอกราชได้ทราบที”
“รับทราบ”
ซูตงเซวี่ยคลี่ม้วนกระดาษออกและเริ่มอ่าน “ข้อบังคับข้อที่หนึ่ง เมื่อรัฐบริวารทั้งเจ็ดซึ่งได้แก่ ฮันยาง จักรวรรดิเขมร สยาม พุกาม ซานฟอตซี เจียวจื่อ และดินแดนแห่งป่าไผ่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับยมโลก การทำธุรกรรมทางธุรกิจทั้งหมดจะเป็นอันสิ้นสุดลง โดยข้อบังคับดังกล่าวจะมีผลทันทีที่ชื่อของข้าราชการศักดินาทั้งหมดถูกลบออกจากบันทึกนรก”
“ข้อบังคับข้อที่สอง รัฐทั้งเจ็ดจะไม่สามารถเดินทางเข้าแผ่นดินจีนได้อีกต่อไป หากพวกเขาเดินทางเข้ามาหรือข้ามเขตแดนของจีนโดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นจะถือเป็นการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายและจะถูกจัดการตามกฎของยมโลกแห่งเก่าทันที โดยข้อบังคับดังกล่าวจะมีผลทันทีที่ชื่อของข้าราชการศักดินาทั้งหมดถูกลบออกจากบันทึกนรก”
ใบหน้าของหลิวอวี้กระตุกเล็กน้อย
การแยกตัวออกจากยมโลกเป็นความฝันของเขามาโดยตลอด และในที่สุดวันที่เขาจะได้กางปีกและพุ่งทะยานโดยไม่ต้องหันกลับไปมองยังโซ่ที่ถูกล่ามไว้โดยยมโลกก็มาถึง แต่เหตุใด…มันถึงมีความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ก่อตัวขึ้นภายในใจของเขากัน ?
ความรู้สึกผิด ?
เจ็บปวด ?
นี่เขากำลังรู้สึกผิดต่อยมโลกแห่งใหม่อย่างนั้นหรือ ? หรือว่าเขากำลังเจ็บปวดกับข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองจะไม่ถูกนับว่าเป็นชาวจีนอีกต่อไป ?
เขาไม่ได้ตอบคำถามพวกนี้ และไม่ต้องการที่จะจมดิ่งไปกับความรู้สึกพวกนี้เช่นกัน ซูตงเซวี่ยอ่านต่อ
“ข้อบังคับข้อที่สาม ภาระหน้าที่ในการคุ้มครองรัฐบริวารของยมโลก และหน้าที่ในการถวายเครื่องบรรณาการให้กับยมโลกของรัฐบริวารจะถูกยกเลิกไป โดยข้อบังคับดังกล่าวจะมีผลทันทีที่ชื่อของข้าราชการศักดินาทั้งหมดถูกลบออกจากบันทึกนรก”
ข้อบังคับมากมายถูกอ่านออกมาติดต่อกัน ไม่มีข้อใดเจาะจงเป็นพิเศษ ในที่สุด ซูตงเซวี่ยก็อ่านมาถึงส่วนสุดท้ายของกระดาษ
“ข้อบังคับข้อที่ 12 เมื่อรัฐบริวารทั้งเจ็ดตัดความสัมพันธ์กันยมโลก พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงสมุดแห่งความเป็นตายและกระจกส่องกรรมได้อีกต่อไป โดยข้อบังคับดังกล่าวจะมีผลทันทีที่ชื่อของข้าราชการศักดินาทั้งหมดถูกลบออกจากบันทึกนรก”
ฟึ่บ !
ทันทีที่หญิงสาวอ่านจบ หลิวอวี้ เกาฉางกง ชากัน และหม่าฝูโปวก็ลุกขึ้นยืนทันที ! ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง อวี๋เชียนและหยางจีเย่ต่างก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองเช่นกัน ดวงตาของทั้งคู่เผยให้เห็นเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอย่างรุนแรง
จิวยี่และข้าราชการศักดินาผู้เป็นกลางอีกสองคน รวมถึงฝ่ายที่ยังตัดสินใจไม่ได้อย่างฮั่นฉินหู ฉางเย่ชุน และกั๋วจื่ออี้ ทั้งหมดต่างอ้าปากค้างและหันไปมองฉินเย่ด้วยสายตาตกตะลึง เพียงเพื่อที่จะได้รับรอยยิ้มบางตอบกลับมา
ให้ตายเถอะ…พวกเขาลืมนึกถึงเงื่อนไขสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร !
แย่แน่ ๆ… นี่เป็นการเจรจาที่เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น ไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะแยกเขี้ยวใส่พวกเขาตั้งแต่แรกเริ่มเช่นนี้ !