ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 362: ข้อเสนอจากถังหมิง
บทที่ 362: ข้อเสนอจากถังหมิง
มันผ่านมาร้อยปีแล้ว… นั่นก็หมายความว่าพวกเขายังเหลือเวลาอีกแค่ 150 ปีเท่านั้น…
ฉินเย่ลูบคางของตนเองขณะครุ่นคิด – ระยะเวลา 150 ปีจะเพียงพอหรือไม่?
มันจะเพียงพอที่จะนำหน้าโลกใต้พิภพอื่น ๆ ที่นำหน้าพวกเขาอยู่หรือไม่?
อีกนัยหนึ่งก็คือ เขามีเวลาอีก 150 ปีในการขยายยมโลกไปทั่วพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตรของจีน นอกจากนี้ เขายังต้องก่อตั้งกองกำลังที่ไร้เทียมทานและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพื่อที่ยมโลกจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของโลกใต้พิภพอื่น ๆ ทันทีที่กำแพงป้องกันของพวกเขาหายไป เพียงแค่ความคิดเกี่ยวกับการที่โลกใต้พิภพจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่ยมโลกก็ทำให้ฉินเย่รู้สึกเย็นวาบไปตามกระดูกสันหลัง!
ฉินเย่เคาะโต๊ะเบา ๆ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็พึมพำออกมาในที่สุด “มันไม่มีความหวังอื่นนอกจากเราจะสร้างเมืองท่าสำหรับทำการค้าขึ้นมา”
เศรษฐกิจคือรากฐานสำคัญของชาติมหาอำนาจ เมื่อปราศจากเงิน ทุกอย่างก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดอวดอ้าง ถึงแม้ว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาเก็บเกี่ยวมาได้ในคราวนี้จะมากมาย แต่มันก็เกิดจากการประชุมราชสำนักที่ถูกจัดขึ้นทุก ๆ 50 ปีเท่านั้น นอกจากนี้…ผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเพียงหมื่นล้านหินวิญญาณน่ะหรือ?
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนในหนึ่งปีคือล้านล้าน! สิ่งที่ได้มาในคราวนี้เป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรเท่านั้น
“ฝ่าบาททรงพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋เชียนพยักหน้า “บันทึกความเข้าใจที่ลงนามระหว่างยมโลกแห่งใหม่และท่านหลิวอวี้ได้กำหนดระยะเวลาสองปีสำหรับการเริ่มต้นของการทำการค้าทางทะเล หากเราไม่สามารถจัดการได้ทัน ความเสียหายที่เราจะต้องจ่ายก็จะสูงมาก และยมโลกแห่งใหม่ก็อาจจะเข้าสู่สถานะของการชำระบัญชี ยมโลกเพิ่งได้เริ่มกางปีกเท่านั้น พวกเราจะปล่อยให้ชื่อเสียงของยมโลกต้องแปดเปื้อนไม่ได้เด็ดขาด”
“สองปีอย่างนั้นหรือ…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นจึงกระแอมออกมาและถามต่อ “ท่านคิดว่ามันมีวิธีที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายพวกนั้นได้อย่างนั้นหรือ? จะให้บล็อกเขาในคิวคิว หรือบอกพวกเขาว่าโทรศัพท์ของเราเสียหรืออย่างไร?”
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปประมาณห้าวินาที อวี๋เชียนก็จ้องมองฉินเย่ราวกับเห็นผี “ฝ่าบาท… โปรดอย่าทำอะไรเช่นนั้น! นี่คือการเปิดตัวของยมโลก ประชาชนจะคิดอย่างไรหากเราทำให้พวกเขาผิดหวัง? นี่คือสิ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของยมโลกจะต้องแปดเปื้อนไปตลอดกาล! แล้วเราจะสามารถทำการเจรจากับโลกใต้พิภพอื่น ๆ ในอนาคตได้อย่างไร?”
หยางจีเย่เองก็เอ่ยเสริมอย่างเป็นกังวล “ฝ่าบาท เราจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! เรื่องนี้ส่งผลต่อภาพรวมทั้งหมดของยมโลก และมันก็ควรจะได้รับความสำคัญเป็นอันดับสูงสุด เรื่องอื่น ๆ ควรถูกพับเก็บกลับไปก่อน ไม่ว่าจะยกเลิกการลงนาม หรือจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อทำให้มันสำเร็จก่อนกำหนดเวลาจะมาถึง! ยมโลกจะปล่อยให้ชื่อเสียงของตัวเองต้องแปดเปื้อนไม่ได้เด็ดขาด!”
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น…” ฉินเย่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย – ทำไมคนพวกนี้ถึงได้จริงจังขนาดนี้? อารมณ์ขันของพวกเขาหายไปไหนหมด? นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นหรือไง?
แต่ถึงอย่างนั้น พอมาลองคิดดู… ข้าคิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ผิดเสียทีเดียวที่จะมองว่าเขาไร้ยางอายขนาดนั้น…
อวี๋เชียนและหยางจีเย่ต่างรู้ดีว่าตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังดำเนินการในยมโลก ดังนั้นพวกเขาจึงประสานมือและกำปั้นคารวะฉินเย่ “ฝ่าบาท หากไม่มีสิ่งใดแล้ว พวกเราคงต้องขอตัวก่อน ลิชชาวีและฟิลิปินัสจำเป็นจะต้องมีผู้นำ แต่โปรดวางพระทัย เพราะหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับยมโลก…”
ทั้งสองหันไปหาจิวยี่พร้อมกัน และก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงพัดให้ตัวเองเบา ๆ โดยไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวใด ๆ
“พวกเราจะเดินทางกลับมาที่นี่ด้วยตัวเอง!!”
“ดี ยมโลกยังมีกิจการอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ ดังนั้นข้าคงไม่ได้ไปส่งพวกท่าน ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางกลับอย่างปลอดภัย”
ชายทั้งสองโค้งคำนับและจากไป
จากนั้นภายในห้องก็เหลือเพียงจิวยี่และฉินเย่เท่านั้น
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา และมันก็ดำเนินไปเช่นนั้นครู่หนึ่งก่อนที่ฉินเย่จะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาในที่สุด “ท่านโจว เหตุใดท่านจึงยังไม่เดินทางกลับไปยังดินแดนของตนเอง?”
จิวยี่ลุกขึ้นยืนและหยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากเสื้อตรงช่วงอกและยื่นมันให้กับฉินเย่ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ “ท่านจ้าวนรก ครั้งนี้กระหม่อมได้เดินทางมาด้วยความเร่งรีบและไม่ได้นำเครื่องบรรณาการทั้งหมดมาด้วย นี่คือรายการของทั้งหมดจากโลกใต้พิภพแห่งถังหมิงตลอดระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา เมื่อคืนนี้กระหม่อมได้ส่งนกพิราบสื่อสารไปแล้ว และคาดว่าเครื่องบรรณาการทั้งหมดน่าจะมาถึงยมโลกแห่งใหม่ภายในสิบวัน”
น่าสนใจ
เทพแห่งเปลวเพลิงจิวยี่ ชายผู้จุดไฟเผากองกำลังทหาร 8 แสนนายในคราวเดียว เขาคือหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถที่สุด แม้ว่าจะเป็นในหมู่ราชทูตด้วยกันก็ตาม
แต่…ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้มันอะไรกัน?
ฉินเย่รับม้วนกระดาษมา คลี่มันออกและเริ่มอ่านเนื้อหาทั้งหมด ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายขึ้นทันที จากนั้นเขาก็อ่านมันต่อไปอีกประมาณห้านาที ก่อนจะหันไปหาจิวยี่ “ท่านโจว…นี่คือ…เครื่องบรรณาการสำหรับขอสงบศึกอย่างนั้นหรือ?”
“กล่องความลับหยิน 120 กล่อง อสูรทะเล 15 ตัว หินวิญญาณ 1 แสนตัน…” ฉินเย่ค่อย ๆ ม้วนกระดาษกลับดังเดิม หลับตาลงและเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านต้องการอะไร?”
จิวยี่ยิ้มบาง “โลกใต้พิภพของถังหมิงหวังว่าเราจะสามารถมอบความช่วยเหลือแก่กันและกันได้ หากท่านฉินยินดีตกลง ข้าจะส่งกองเรือสินค้ามาที่เมืองท่าภายในเวลาสองปีเช่นกัน”
คนเจ้าเล่ห์!
จิวยี่นั้นมีความเจ้าเล่ห์มากกว่าที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้มาก!
สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นแสดงให้เห็นถึงทัศนคติบางอย่างที่มีต่อยมโลก เขาอาจจะดูเหมือนว่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับยมโลก แต่มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะสร้างความขัดแย้งกับฝั่งของหลิวอวี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ยมโลกนั้นอ่อนแอกว่าฝั่งของหลิวอวี้อย่างเห็นได้ชัด แต่การประชุมราชสำนักก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ายมโลกนั้นมีศักยภาพสูงมาก และพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้นว่ามันจะเป็นอย่างไรในอีกร้อยปีข้างหน้า ดังนั้น อีกฝ่ายจึงทำทั้งหมดนี้เพื่อที่จะสร้างทางเลือกให้กับตัวเอง อีกความหมายหนึ่งก็คือ คนตรงหน้าต้องการจะเห็นว่าสวรรค์จะสนับสนุนการพัฒนาของยมโลกแห่งใหม่มากเพียงใด
เขารู้ดีว่ายมโลกยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำอะไรเกี่ยวกับทัศนคติที่เขาแสดงออกมา นับประสาอะไรกับการรับมือกับข้าราชการศักดินาของยมโลกแห่งเก่า นอกจากนี้เขายังกำลังแสดงเจตนาดีต่อยมโลกอีกด้วย
ด้วยวิธีนี้ หากยมโลกเติบโตขึ้นจนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับราชทูตทั้ง 12 ได้ภายในร้อยปี และเขาอาจจะไม่ได้รับตำแหน่งที่สูงเท่าอวี๋เชียนหรือหยางจีเย่ แต่เขาก็ไม่มีทางพบโชคชะตาที่เลวร้ายอย่างหลิวอวี้และพรรคพวกคนอื่น ๆ หรือหากยมโลกต้องล่มสลายลงอีกครั้งในร้อยปีต่อมา เช่นนั้น…เขาก็จะยังสามารถรักษาตำแหน่งและชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องของอนาคตนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะตัดสินใจเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง
“รับประกันความอยู่รอดของกระหม่อมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด” จิวยี่ไม่ได้หงุดหงิดกับการที่ฉินเย่ถามจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน เขาเพียงยิ้มตอบ “นอกจากนี้ เพื่อแสดงความจริงใจ กระหม่อมได้เตรียมการพิเศษไว้นอกเหนือจากเครื่องบรรณาการทั้งหมดที่กระหม่อมได้นำมาให้พระองค์อีกด้วย กระหม่อมได้สั่งทางโลกใต้พิภพของล้านช้างให้ส่งหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรม 20,000 ชุดพร้อมกับลูกศรหน้าไม้ 1 ล้านดอกมาให้ยมโลกด้วย”
ในที่สุดสีหน้าของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรม…นี่คืออาวุธที่สามารถพูดได้ว่าเป็นไพ่ตายของจิวยี่ และพวกมันคือสิ่งเดียวกันกับที่อีกฝ่ายใช้ต่อกรกับข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ที่ด้านนอกทางเข้าของยมโลก นี่คนตรงหน้ายอมส่งของที่มีประโยชน์เช่นนี้มาให้ยมโลกจริง ๆ น่ะหรือ?
“ท่านกำลังต้องการสิ่งใดกันแน่?” ฉินเย่ถามเป็นครั้งที่สอง
จิวยี่ส่ายหน้า “นี่เป็นเพียงความหวังดีที่กระหม่อมต้องการจะมอบให้เท่านั้น ตราบใดที่พระองค์ทรงสามารถจำสิ่งที่กระหม่อมได้ทำลงไปในวันนี้ได้ กระหม่อมก็ไม่ต้องการสิ่งใดอื่นอีก”
หนี้บุญคุณ
รองลงมาจากบุคลิกที่เย่อหยิ่งของข้าราชการศักดินาที่อยู่ฝั่งเดียวกันกับหลิวอวี้ เห็นได้ชัดเลยว่าจิวยี่นั้นเป็นเหมือนกับนกพิราบที่ดูไม่เป็นอันตรายอะไร
ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง ครั้งนี้ ฉินเย่ครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดเป็นเวลากว่าสิบนาทีเต็มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและส่ายหน้า “ไม่จำเป็น”
“ยมโลกแห่งใหม่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยุทโธปกรณ์ใด ๆ ในตอนนี้ หรือต่อให้เราต้องการ เราก็สามารถสร้างมันจากหอแห่งการสั่นสะเทือนของเราได้ ขอบคุณท่านโจวสำหรับความหวังดี”
ทันทีที่เอ่ยจบเขาก็ลุกขึ้นยืน
อย่างไรก็ตาม จิวยี่รีบเอ่ยขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เดินจากไป “พระองค์ทรงแน่ใจหรือว่าทรงไม่ต้องการมันจริง ๆ?”
จากนั้น โดยไม่เว้นช่วง เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับคำที่จะพูดต่อไปนั้นมีความหมายแฝงบางอย่าง “สิ่งสำคัญสูงสุดของยมโลกในตอนนี้ก็คือการขยายอำนาจไปยังเมืองต่าง ๆ และพัฒนาอาณานิคมใหม่ หากพระองค์ไม่สามารถสร้างเมืองท่าขึ้นมาได้ ทุกอย่างที่ได้มาจากการประชุมราชสำนักก็จะสูญเปล่า”
ฉินเย่จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ท่านกล้าที่จะลุกขึ้นสู้กับยมโลกอย่างนั้นหรือ?”
“กระหม่อมไม่ได้พูดถึงตัวเอง” จิวยี่ส่ายหน้าและถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่า…ตุลาการนรกที่อยู่กับพระองค์จะยังไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดของการสร้างเมืองใหม่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? อันตรายจากการสำรวจพรมแดนใหม่…นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์จะสามารถจินตนาการได้ กระหม่อมมิได้พยายามจะอวดอ้างแต่อย่างใด แต่กระหม่อมสามารถบอกได้เลยว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของกระหม่อม พระองค์จะไม่สามารถปูทางไปสู่เมืองท่าได้อย่างแน่นอน”
“กระหม่อมจะอยู่แถว ๆ นี้ต่ออีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ และกระหม่อมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะเปลี่ยนความคิด” เขาลุกขึ้นและโค้งคำนับคนตรงหน้า “นกส่งสารได้ถูกส่งไปแล้ว และอาวุธทั้งหมดก็จะมาถึงภายใน 15 วัน กระหม่อมเชื่อ…ว่าพระองค์จะต้องใช้สิ่งเหล่านี้ในอีกไม่ช้านี้”
เมื่อเอ่ยจบ จิวยี่ก็จากไป
ฉินเย่ไพล่มือไปด้านหลังเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องโถง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เด็กหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบา ๆ กับตัวเอง “อีกความหมายหนึ่งก็คือ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตอบรับหนี้บุญคุณนี้อย่างนั้นหรือ?”
“น่าสนใจ” เขาเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและเตรียมมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ก่อสร้าง “ข้าอยากจะเห็นเช่นกันว่าอันตรายแบบใดที่รอเราอยู่ และมันเป็นอันตรายที่แม้แต่โนบูนางะและทหารวิญญาณนับหมื่นนายของเขาจะไม่สามารถรับมือได้เชียวหรือ? เราจำเป็นจะต้องตกลงรับหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมพวกนี้มาหรืออย่างไร?”
แต่ทันทีที่เขาออกมาจากประตูนรก เขาก็ต้องหยุดลง
ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณนั้นตั้งอยู่ห่างจากประตูนรกออกไปไม่มากนัก ดังนั้นทันทีที่เขาออกมาจากประตูนรก ฉินเย่ก็สังเกตเห็นทันทีว่าศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณกำลังเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้น เงินกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายเต็มไปหมด และมันยังมีรัศมีของเจ้าแม่กวนอิมแผ่ออกมาจากจุดกึ่งกลางของศาลาอีกด้วย
หากพูดกันตามตรง ไม่เพียงแต่เงินกระดาษเท่านั้นที่ปลิวว่อนไปทั่ว แต่มันยังมีดอกบัวมายาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยลงมาจากฟ้า และที่ใจกลางของดอกบัวเหล่านี้ก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรก และสลายเป็นผุยผงไปทันทีที่กระทบกับพื้น ลำแสงสีขาวส่องลงมาที่กลางศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณจากบนท้องฟ้า
“วิญญาณพิเศษดวงใหม่หรือ?” ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ และเขาก็พบว่าหวังเฉิงห่าวและอาร์ทิสได้รออยู่ก่อนแล้ว
“ดีเลยที่ท่านอยู่ที่นี่ ข้ามีบางอย่างจะสั่งการ” เขามองไปที่ศาลาตรงหน้าอย่างคาดหวัง “ข้าต้องการพบกับเหล่าหัวหน้าระดับสูงทั้งหมดเพื่อพูดถึงแผนการเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปสำหรับการพัฒนาของยมโลก หวังหนึ่งหาง ไปบอกซูตงเซวี่ยให้เตรียมแผนการพัฒนาเมืองให้เรียบร้อยก่อนการประชุมในวันพรุ่งนี้…”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” อาร์ทิสจ้องมองไปที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณอย่างไม่ละสายตา “เจ้าไม่รู้สึกหรือ…ว่าพลังหยินที่แผ่ออกมาจากดวงวิญญาณบนศาลานั้น…ค่อนข้างคุ้นเคย?”
ฉินเย่ขมวดคิ้วและลองสังเกตดูดี ๆ จากนั้นเขาก็หันไปหาหวังเฉิงห่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่มันพลังหยินของเจ้า… หรือว่าชูคาคุที่อยู่ในร่างของเจ้าจะตื่นขึ้นแล้ว? และมันยังตัดสินใจที่จะลงมาอยู่กับเจ้าในยมโลกด้วย?” [1]
ให้ตายเถอะ… ข้าไม่ได้มีชูคาคุอยู่ในร่าง!!!
หวังเฉิงห่าวข่มก้อนเลือดที่กระจุกอยู่ในลำคอของตน ในขณะที่ริมฝีปากของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น ท่านพี่ฉิน ข้าเพิ่งถามท่านพี่อรากษส และนางก็บอกว่านี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อใครบางคนเผาบางสิ่งบางอย่างจากแดนมนุษย์และส่งมาให้คน ๆ หนึ่งในยมโลก แต่ข้าคิดมาสักพักแล้ว นี่ก็ปลายเดือนธันวาคมแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่านี่ถึงช่วงเวลาของการสอบปลายภาคของสำนักฝึกตนแห่งแรกหรืออย่างไร?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ราวกับต้องการจะบอกว่า – แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?
นี่ข้าอุตส่าห์ลดความสำคัญในการรักษาตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนของตัวเองเพื่อที่จะได้จัดการกับสิ่งเหล่านี้ แล้วเจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่?
“ไม่…” หวังเฉิงห่าวจ้องหน้าฉินเย่ ราวกับเป็นคนปัญญาอ่อน จากนั้น เด็กหนุ่มก็คว้าแขนของฉินเย่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย “ท่านพี่ฉิน…ท่านอยู่ในยมโลกมานานเพียงใดแล้ว? หากข้าคำนวณไม่ผิด ท่านอยู่ที่นี่มาสองอาทิตย์แล้วใช่หรือไม่?”
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องได้รับการจัดการในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา และทั้งหมดก็จำเป็นที่เขาจะต้องจัดการด้วยตนเอง ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะกลับมายังยมโลกในเวลากลางคืนเท่านั้น แต่ตั้งแต่ที่กลับมาที่ยมโลกเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เขาก็เริ่มดูแลทุกอย่างที่จะนำไปสู่การประชุมราชสำนัก และได้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด
หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้าง จากนั้นเขาก็เขย่าร่างของฉินเย่อย่างแรงราวกับต้องการปลุกอีกฝ่ายจากความมึนงง “ท่านพี่ฉิน…ตื่น! ลองนึกดูดี ๆ ท่านไม่คิดว่าตัวเองกำลังลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไปหรอกหรือ?”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ข้าลืมเอาเถ้ากระดูกของเจ้าไปลอยอังคารอย่างนั้นหรือ?”
“นี่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าร่างกายภาพของท่านยังคงอยู่ที่แดนมนุษย์?!!!” หวังเฉิงห่าวทิ้งระเบิด
เปรี้ยง!
ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่บอกกล่าว
เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากของฉินเย่ สีหน้าของเขาในเวลานี้ดูตกตะลึงและสยดสยองไปพร้อม ๆ กัน ริมฝีปากสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้น โดยที่สบตากับคนตรงหน้านิ่ง เขาคว้ามืออีกฝ่ายและถามด้วยน้ำเสียงที่ดูล่องลอย “นี่…เจ้า กะ กำลังจะบอกว่า…ในแดนมนุษย์ ข้า…นอนไม่ได้สติมาตลอดสองอาทิตย์เลยอย่างนั้นหรือ?!”
หวังเฉิงห่าวไม่ลังเลที่จะแทงดาบลงไปกลางใจของฉินเย่ทันที “ใช่แล้ว และนี่ก็คือช่วงที่การสอบปลายภาคถูกจัดขึ้น ข้าคิดว่าหากท่านได้สติขึ้นมาในตอนนี้ ประโยคแรกที่เทพแห่งสงครามโจวจะพูดกับท่านก็คือ – ‘อาจารย์ฉิน หลังจากที่ได้ไตร่ตรองและหารือกันอย่างหนัก รวมถึงพิจารณาถึงสภาพร่างกายของคุณในตอนนี้ เหล่าหัวหน้าระดับสูงของทางสำนักได้ตัดสินใจว่าคุณไม่เหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ผู้สอนของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกอีกต่อไป…’ ”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ฉินเย่ก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและหายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
ให้ตายเถอะ…ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงรู้สึกราวกับตัวเองได้ลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ ไป!
สำนักฝึกตนแห่งแรก…เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับกิจการของยมโลกจนลืมหน้าที่ของตัวเองในแดนมนุษย์ไปเสียสนิท!
เวรเอ๊ย… แล้วตอนนี้คะแนนการสอนทั้งหมดของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างล่ะเนี่ย?!!
[1] อ้างอิงจากนารุโตะ ชูคาคุคือชื่อของปีศาจหนึ่งหางในเรื่อง