ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 366: ถูกเจออีกแล้ว?!
บทที่ 366: ถูกเจออีกแล้ว?!
ฉินเย่อยากจะพูดอะไรออกไป
แต่เขาก็รู้ดี
สวี่อันกั๋วนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยเมื่อเป็นเรื่องของวาทศิลป์ นอกจากนี้ อีกฝ่ายก็อยู่เหนือเขาในเรื่องของพื้นฐานทางศีลธรรม สูงกว่ามากจนมีแสงประกายออกมาราวกับพระแม่มารี…
ว่าไงนะ? คุณไม่อยากไปอย่างนั้นหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร?! อาจารย์ที่รักของพวกเรา สำนักฝึกตนแห่งแรก จะอ่อนแอและขี้ขลาดขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่คุณเป็นคนประเภทที่จะไม่วิ่งเข้าหาอันตรายและยืนหยัดอย่างกล้าหาญอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้เหรอ? คุณไม่ต้องการที่จะเป็นผู้เสียสละและมีชื่อสลักอยู่ในประวัติศาสตร์แล้วหรืออย่างไร? ไม่เหรอ? คุณกำลังจะทำให้ชื่อของสำนักฝึกตนแห่งแรกต้องแปดเปื้อน และทำให้โลกนี้ต้องผิดหวัง!
ทันทีที่ฉินเย่กำลังคิดที่จะตอบไปว่า ‘ผมอยากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและมีชีวิตรอด’… ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อาจตามมาก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องสั่นสะท้าน
ในอีกด้านหนึ่ง สวี่อันกั๋วไม่ได้รับรู้ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย เขาแย้มยิ้มบางและไล่ดูเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะของโจวเซียนหลง แยกพวกมันออกและวางมันลงตรงหน้าของฉินเย่ทีละชุด “นี่คือสถานที่ที่เราเลือกไว้ให้คุณ ไม่เพียงแต่ขอบเขตของการแพร่ระบาดจะสูงแล้ว พวกวิญญาณที่นั่นก็มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับขั้นยมทูตขาวดำเช่นกัน มันเหมาะที่จะช่วยให้คุณทะลวงคอขวดของขั้นนักล่าวิญญาณไปสู่ขั้นยมทูตขาวดำได้”
ฉินเย่ระงับความปรารถนาที่จะกระอักเลือดของตัวเองออกมา ขั้นยมทูตขาวดำ… ใครจะสามารถบอกได้ว่าวิญญาณอาฆาตขั้นยมทูตขาวดำพวกนี้ทำตามคำสั่งของวิญญาณที่อยู่ขั้นฝู่จวินหรือเปล่า?! แล้วใครจะสามารถบอกได้ว่าวิญญาณพวกนี้ใช่ส่วนหนึ่งของกองกำลังมัจจุราชแห่งยมโลกที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของราชาผีพวกนี้ไหม?! หากเขากำจัดพวกมันไป มันก็มีแต่จะทำให้หัวหน้าของพวกมันไม่พอใจไม่ใช่หรือ? คนพวกนี้ไม่คิดเลยเหรอว่าวิญญาณพวกนี้จะสามารถกำจัดตระกูลของฉินเย่ทั้งหมดได้?!
ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าผมจะพิจารณางานที่ต้องเดิมพันชีวิตของตัวเองด้วย?! ผมขอแค่ชงชาและล่องเรือไปในขณะที่เพลิดเพลินไปกับชีวิตของตัวเองไม่ได้หรือ?
น่าเสียดาย มันเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสองไม่ได้ยินคำร้องขอความช่วยเหลือของฉินเย่ สวี่อันกั๋วชี้ไปที่เอกสารชุดหนึ่ง “ลองดูนี่ – พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง นี่คือหนึ่งในตำแหน่งที่ประสบกับการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากที่สุดในจีน มันพอ ๆ กับสามมณฑลทางตะวันออกและมณฑลเสฉวน มณฑลกุ้ยโจว กับมณฑลไห่หนานเลย มันคือหนึ่งในสถานที่ซึ่งคุณจะได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตายอย่างแน่นอน หากคุณไปที่นั่น ผมมั่นใจเลยว่าในครั้งหน้าที่เราพบกัน…คุณจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นยมทูตขาวดำแล้ว”
หรือไม่เราก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่นั่นและกลายเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ที่เสียชีวิตในหน้าที่แทน…
ฉินเย่รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งขึ้นเรื่อย ๆ พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง… หากเขาจำไม่ผิด นี่คืออาณาเขตของราชาผีแห่งพิภพเปรต หากเขาไปที่นั่น เขาจะไม่…กลายเป็นเพียงชิ้นติ่มซำสำหรับอีกฝ่ายหรอกหรือ?
หรืออาจจะมาการอง… แบบที่กรุบกรอบด้านนอกและนุ่มใน…
“ดูสถานที่อื่น ๆ ด้วยเถอะครับ…” กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าของเขาเกร็งไปหมดขณะที่เอ่ยกับสวี่อันกั๋ว
ชายสูงวัยพยักหน้า “แล้วที่นั่นเป็นไง? นครเหลียนฮวา ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างมณฑลเสฉวน มณฑลกุ้ยโจว กับมณฑลไห่หนาน พลังหยินที่นั่นสูงมาก แต่มันก็ยังเป็นถิ่นกำเนิดของหนึ่งในสามสำนักลัทธิเต๋าในตำนาน เหล่าผู้ฝึกตนที่นั่นได้ออกมาจากการฝึกฝนโดยสันโดษเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการสนับสนุนของสำนักนิกายเจิ้งอี สำนักเทียนซือต้าว สำนักเจี้ยนเซียน สำนักหลิงเป่า สถานการณ์จึงอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว แต่พวกเขาก็พยายามที่จะคิดหาที่มาของการแพร่ระบาดของที่มณฑลกุ้ยโจวและมณฑลไห่หนานอยู่”
นั่นแย่กว่าเดิมอีก… อาร์ทิสเคยพูดเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ว่ามันอาจจะมีวิญญาณขั้นตุลานรกแฝงตัวอยู่ในหมู่มนุษย์ที่นั่น!
ตาแก่… คุณช่วยหยุดพยายามส่งผมไปได้ไหม?! ช่วยหาอะไรที่ดีกว่านี้หน่อย! ผมอยากได้พื้นที่ที่มีการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่ำ – สถานที่ที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของชีวิตของเขาได้!
ริมฝีปากของเขาสั่นเทาเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ยังคงเงียบ สวี่อันกั๋วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “มันเป็นการดีที่จะดูตัวเลือกทั้งหมดก่อนจะชั่งน้ำหนักของมันอย่างเหมาะสม แล้วที่นี่ล่ะ? มณฑลหนานเหอ? มันเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดและอัตราการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็สูงมาก นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นสัญญาณของภูตผีคลุ้มคลั่งปรากฏตัวขึ้น…”
“ต่อไปล่ะครับ” ฉินเย่ขัดจังหวะขึ้นอย่างชาญฉลาด
ทุกอย่างดำเนินไปแบบนั้น พวกเขาไล่ดูตัวเลือกทั้งหมดที่ดี และทั้งหมดก็ถูกฉินเย่ปฏิเสธ สวี่อันกั๋วหัวเราะ “หรือบางทีคุณอาจจะแจ้งเงื่อนไขของคุณมาแทนก็ได้ แบบนั้นเราจะได้จำกัดการค้นหาให้แคบลง ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เพราะภารกิจทั้งหมดนี้ล้วนถูกจัดว่ามีความเสี่ยงสูงมาก และค่าตอบแทนก็สูงอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ”
“แน่นอนว่าผมต้องการที่จะได้พื้นที่ที่อันตรายต่ำ…” ขณะที่ฉินเย่พูด เขาก็สัมผัสได้ว่าสายตาที่มองมาเปลี่ยนเป็นไร้ความปรานีและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาด หนุ่มน้อยก็รีบเปลี่ยนคำพูดในทันที “…ถูกตัดออก หากผมต้องการจะถอนคำสาปในร่างของตัวเอง ผมจะต้องเข้าไปยังเขตไล่ล่าที่อันตรายกว่าเขตไล่ล่าปกติ…”
“เขตนักล่า” โจวเซียนหลงเอ่ยแทรกขึ้น “เขตไล่ล่าที่มีวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าขั้นนักล่าวิญญาณจะถูกเรียกว่าเขตนักล่า นอกจากนี้ มันยังมีพื้นที่ซึ่งมีวิญญาณขั้นตุลาการนรกที่ถูกเรียกว่าเขตต้องห้ามอยู่ด้วย มันคือพื้นที่ที่อาจารย์ผู้สอนส่วนใหญ่ในสถาบันก็ไม่รู้ เพราะอย่างไรแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มีแค่ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้คุณกำลังจะบรรลุเป็นขั้นยมทูตขาวดำ ดังนั้นมันจึงไม่เสียหายอะไรถ้าคุณจะรู้เรื่องนี้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย”
“มันมีเขตนักล่าอย่างน้อยหนึ่งแห่งในแต่ละเมือง หากโชคไม่เข้าข้าง คุณก็อาจจะได้พบกับเขตต้องห้ามก็เป็นได้ โดยทั่วไปแล้ว พวกเราจะเจอเขตต้องห้ามประมาณ 4-5 แห่งในแต่ละมณฑลของจีน ทั้งแผ่นดินจีนของเรามีผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกอยู่เพียงแค่ 152 คนเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ไปประจำการอยู่ในดินแดนที่มีเขตต้องห้ามอยู่ สถานะความรุนแรงของการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติสามารถบอกได้โดยกองกำลังที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นั่น”
อย่างนี้นี่เอง… ฉินเย่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยต่อ “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ผมขอดูเอกสารเหล่านี้ให้ละเอียดก่อนแล้วจะให้คำตอบภายในหนึ่งสัปดาห์ได้ไหมครับ?”
เขาจะต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน แต่ผลลัพธ์ของมันก็ไม่ได้แย่นัก การกระทำของเขาจะไม่อยู่ภายใต้การจับตามองของเหล่าจิ้งจอกเฒ่าในสถาบันอีกต่อไป และเขาก็ยังสามารถสะสมคะแนนการสอนและคะแนนความดีไปพร้อมกันได้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับภารกิจครั้งต่อไปของตัวเอง
“แน่นอน” โจวเซียนหลงยิ้มและพยักหน้า “แค่อย่าหายไปเลยก็พอ คุณจะต้องบอกเราก่อนที่จะเดินทางไป เพราะเรายังมีเรื่องน่าประหลาดใจอีกเล็กน้อยรอคุณอยู่”
ตราบใดที่มันไม่ทำให้ผมตกใจเท่าวันนี้ก็พอ… ฉินเย่บ่นกับตัวเองในใจก่อนจะบอกลาหัวหน้าทั้งสองและกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง
ทันทีที่เขาเดินเปิดประตูห้องเข้าไป เด็กหนุ่มก็เห็นคนสองคนกำลังทำความสะอาดห้องพักของเขาอยู่ – คนทำความสะอาดทั้งสองร่างกายค่อนข้างกำยำพอสมควร…
และสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือพวกเขาคือซู่เฟิงและหลินฮั่น!
เมื่อประตูถูกเปิดออก ชายทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ฉินเย่เดินเข้าไปหาคนทั้งสองด้วยความสงสัย
“นี่มันอะไรกัน?” ฉินเย่มองคนทั้งสองอย่างสงสัย “อะไรที่ทำให้คุณโผล่ออกมาจากกระดองเต่าของตัวเอง? การแก้แค้นหรือ?”
“ไปไกล ๆ เลย!” ซู่เฟิงตอบกลับ “ห้องคุณมีฝุ่นเต็มไปหมด เราก็เลยตัดสินใจที่จะมาช่วยคุณทำความสะอาดเล็กน้อยในขณะที่คุณไปรายงานตัวที่ห้องทำงานของหัวหน้า”
“ไม่เลวนี่” ฉินเย่พึงพอใจกับคำตอบของอีกฝ่าย เขาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าตนลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป น่าเสียดายที่เขายังนึกมันไม่ออก ดังนั้นเขาจึงชี้นิ้วสั่งทั้งคู่ “นี่ เช็ดโต๊ะตรงนั้นให้ดี ๆ หน่อยสิ อย่าให้เหลือฝุ่นแม้แต่นิดเดียวนะ ผมซื้อถุงมือสีขาวมาเพื่อตรวจงานของพวกคุณแล้ว”
“หากคุณแข็งแรงจนปากดีได้ขนาดนี้ ทำไมไม่มาช่วยพวกเราล่ะ?!” หลินฮั่นที่มุดเข้าไปใต้เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอ่ยขึ้น ทว่าด้วยร่างกายที่ใหญ่เกินไป เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ไม้กวาดกวาดสิ่งที่อยู่ด้านใต้ออกมา “หืม? อะไรเนี่ย? เฮ้ย…พระเจ้า! นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!!!”
ในเสี้ยววินาทีต่อมา หลินฮั่นก็ลุกขึ้นยืนราวกับเห็นผี ทั้งฉินเย่และซู่เฟิงต่างก็มึนงงกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ซู่เฟิงถึงขั้นตีหลินฮั่นด้วยไม้ปัดขนไก่ด้วยความรำคาญ “เป็นบ้าอะไรของคุณ? รีบทำความสะอาดต่อได้แล้ว!”
แต่หลินฮั่นก็ยังคงนิ่งเงียบ ลูกกระเดือกของเขาสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะได้สติในที่สุด “เรื่องก็คือ… ผม- ผมว่าตัวเองเพิ่งเจออะไรบางอย่างที่น่าตกใจ…”
เจอ? เจออะไร?
คุณเจอบ้าอะไรของคุณ… ไม่… เดี๋ยวนะ…ตุ๊กตายาง?!!!
อ๊ากกกกก!!!
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ฉินเย่ก็พุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับคนเสียสติและดึงทั้งสองออกมา ดวงตาของเขาวาวโรจน์ขึ้น
กระดองของอาร์ทิส… ไม่สิ มันอาจจะถูกกว่าหากจะบอกว่าศพของอาร์ทิสเวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น และตอนนี้มันก็โผล่ออกมาจากใต้เตียง
มันดูไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตายางที่ถูกใช้งานอย่างหนักเลยสักนิด
ต้องบอกเลยว่าพลังในการทำลายล้างของสุนัขฮัสกี้ที่ชื่อว่าหลินฮั่นนั้นน่าตกตะลึงมากจริง ๆ ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ จมูกที่ไวต่อกลิ่นของเขามักทำให้เขาพบเจอกับเรื่องที่น่าตกตะลึงเสมอ…
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองลืมอะไรไป… ฉินเย่พยายามอย่างหนักในการข่มความต้องการอันแรงกล้าที่จะควักลูกตาของคนทั้งคู่ออกมา
ภายในห้องพลันเกิดความเงียบที่ตึงเครียดขึ้น
จนผ่านไปสักพัก ฉินเย่ที่ได้สติก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “นะ…นี่มันตัวอะไรกัน? น่ากลัวจริง ๆ…มันคือตุ๊กตาคุณไสยอย่างนั้นเหรอ? นี่มันน่าเกลียดเกินไป แม้ว่าจะสำหรับตุ๊กตาคุณไสยก็ตาม… ใครเป็นคนเอามันมาไว้ที่นี่? จะต้องมีคนที่ต้องการจะสร้างสถานการณ์เข้าใจผิดให้ผมแน่ ๆ!”
ซู่เฟิงและหลินฮั่นหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาตกตะลึง ไม่กี่วินาทีต่อมา หลินฮั่นก็วางมือลงไปบนไหล่ของฉินเย่แล้วตบเบา ๆ “ไม่ต้องอาย พวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ชาย ผมเข้าใจดี…แต่นี่มันนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ที่มันถูกปั๊มน้ำเป็นครั้งสุดท้าย?”
ปั๊มน้ำบ้าอะไรล่ะ!
“ฟังนะ ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” เม็ดเหงื่อเย็นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของฉินเย่ “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร! ทำไมคุณ…ไม่ลองดูล่ะว่ามันมีของเหลวอะไรด้านในหรือเปล่า?!”
“ถึงมีมันก็คงแห้งไปหมดแล้ว” ซู่เฟิงปรายตามองฉินเย่อย่างรังเกียจ ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่มันถูกทำออกมาได้ดีทีเดียวนะ หากคุณต้องการ… พวกเรา… สามารถช่วยคุณทำความสะอาดมันได้นะ”
“ออกไปซะ!!!”
ฉินเย่ระเบิดออกมาในที่สุด เขาจัดการเตะทั้งสองออกจากห้อง ภายในใจร้อนรุ่มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว
อาร์ทิส… ข้า… จะไม่มีทางอยู่ร่วมกับท่านอีกเป็นอันขาด!!!
เขารีบล็อกประตูและใส่พลังเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกทันที ภายในใจเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะกำจัดอาร์ทิสไปภายในคราวเดียว เขาคว้ากองเอกสารที่ได้มาจากห้องทำงานของโจวเซียนหลงและกลับไปที่ยมโลกโดยเร็ว
ตูม!!!
มันเป็นการมาถึงที่ยิ่งใหญ่ พลังหยินของเขากระจายไปทั่ว และประตูนรกในเวลานี้ก็ดูราวกับมีดอกบัวสีดำขนาดใหญ่เบ่งบานอยู่ ฉินเย่ก้าวออกมาในร่างยมทูตของตน กัดฟันแน่นและเอ่ยเสียงดังสนั่น “อรากษสอยู่ที่ใด?! ตามนางมาพบข้าที่โถงประชุมเดี๋ยวนี้!”
จิตสังหารที่แผ่ออกมาของเด็กหนุ่มนั้นชัดเจน และเหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ตกใจและชะงักไป หัวหน้าของผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากผ่านไปสักพัก พวกเขาทั้งหมดรีบคุกเข่าทำความเคารพฉินเย่ทันที
“ทรงเรียกหาหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดกัน?” เสียงของอาร์ทิสดังมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มก่อนที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะได้ทำความเคารพฉินเย่
เยี่ยมมาก… ในที่สุดเจ้าก็มา…
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะจบเรื่องทั้งหมด ฉินเย่กัดฟันแน่นและหันหลังกลับไปหาอีกฝ่าย แต่สีหน้าของเขาตอนนี้กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาส่งยิ้มบางให้กับนาง “เกี่ยวกับเรื่องนั้น… พอดีข้ามีเรื่องด่วนที่จะหารือด้วยน่ะ จะว่าไป หวังหนึ่งหางอยู่ที่ใด?”
อาร์ทิสมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง “พระองค์ทรงแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าเรื่องทั้งหมดมีเท่านั้น? ไม่ใช่ว่าข้าสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของพระองค์หรอกหรือเพคะ? มันพุ่งไปหาผู้ใดกัน? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรที่แดนมนุษย์เพคะ?”
“หืม? จิตสังหาร? ข้าว่าเจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว มาคุยเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางในภายภาคหน้ากันได้แล้ว.. ซูตงเซวี่ย เจ้าไปแจ้งกู่ชิง โนบูนางะ หนึ่งหาง รวมรัฐมนตรีของกระทรวงต่าง ๆ ด้วย บอกพวกเขาให้มาที่โถงประชุมเดี๋ยวนี้เลย” ผู้แสวงหาหนทางรอดฉินเย่ลากอาร์ทิสเดินไปที่โถงประชุมด้วยรอยยิ้มที่สดใส
นับว่าท่านโชคดีไป… ข้าจะจัดการกับท่านในตอนที่ข้าขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรกแล้ว… เพราะอย่างไรแล้ว การแก้แค้นจะน่าพึงพอใจมากที่สุดก็ต่อเมื่อเกิดขึ้นโดยไม่ทันคาดคิด ผ่านไปร้อยปีก็ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้น…
เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะชื่นชมทักษะในการปลอบใจของตัวเอง!
ไม่นานคนทั้งหมดก็มาถึงที่ห้องโถงในที่สุด พวกเขามีกันทั้งสิ้นสิบกว่าคน ฉินเย่ทำสัญลักษณ์มือบางอย่าง และโถงประชุมก็ถูกตัดออกจากส่วนอื่นของยมโลกอย่างสิ้นเชิง
จากนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง ทำงานคือทำงาน มันแตกต่างจากบุคลิกขี้เล่นของเขาอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันไม่ส่งผลกับความปลอดภัยของเขาเอง…
“ทุกท่าน สาเหตุที่ข้าเรียกประชุมในครั้งนี้ก็เพราะว่าข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือ” เขาหันไปมองซูตงเซวี่ยและหญิงสาวก็ส่งสำเนาเอกสารที่ฉินเย่นำกลับมาจากสำนักฝึกตนแห่งแรกให้คนทั้งหมดทันที “ประการแรก ข้าจะต้องออกจากเมืองเป่าอันในเร็ว ๆ นี้”
“ดังนั้นข้าจึงอยากได้ความช่วยเหลือจากพวกเจ้าทั้งหมดในการวิเคราะห์หาข้อดีและข้อเสียของพื้นที่แต่ละแห่งเพื่อที่เราได้สามารถตัดสินใจได้ว่าควรเลือกไปที่ใด นี่คือประการแรก”
“ประการที่สอง…” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะประกาศออกไปเสียงต่ำ “ข้าตัดสินใจที่จะปูทางสำหรับเมืองใหม่ภายในสี่เดือน!”
ดวงตาของคนทั้งหมดเป็นประกายขึ้นทันที
ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่ล้วนได้ประสบกับสังคมสมัยใหม่มาด้วยตนเอง และพวกเขาก็รู้ดีว่าการค้าทางทะเลสร้างกำไรได้มากเพียงใด! อันที่จริง แม้แต่ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่งก็ตระหนักได้ว่าการจัดตั้งเมืองท่าจะช่วยสร้างผลประโยชน์ให้จักรวรรดิได้มากเพียงใด!
นอกจากนี้ การสร้างเมืองท่าขึ้นก็คือการประกาศให้ทั้งโลกได้รู้
มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุด เพราะมันแสดงให้ทั้งทวีปตะวันออกเห็นว่าโลกใต้พิภพของจีนได้เริ่มกลับมาควบคุมความโกลาหลในดินแดนอีกครั้งแล้ว!