ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 375: เมืองกู่เฉิง
บทที่ 375: เมืองกู่เฉิง
เขาอดใจไม่ไหวที่จะอ่านมัน แค่คำแนะนำของมันเพียงอย่างเดียวก็ทำให้หัวสมองของเขาคิดไปไกล
“กองทัพทหารวิญญาณราตรีคือกองทัพทหารส่วนตัวของจ้าวนรก”
“ทหารเหล่านี้คือรูปแบบวิวัฒนาการของเคล็ดวิชาพันธะห้าวิญญาณ หากพูดกันตามตรงก็คือ มันไม่ใช่เวทมนตร์คาถา แต่คือกองกำลังที่อยู่ภายใต้คำสั่งของจ้าวนรกเอง พวกเขาเป็นเหมือนกับกองบัญชาการที่มีจำนวนตั้งแต่ร้อยถึงหมื่นคน”
“พันธะห้าวิญญาณ… พันธะสิบวิญญาณ… พันธะร้อยวิญญาณ… พันธะพันวิญญาณ… พันธะหมื่นวิญญาณ กองทัพทหารวิญญาณราตรีหรือที่รู้จักในนามขบวนหมื่นวิญญาณย่ำราตรี จะบรรลุถึงจุดสูงสุดเมื่อมีวิญญาณครบหมื่นตน พวกเขาจะติดตามจ้าวนรกไปในทุก ๆ ที่ ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงจำนวนวิญญาณที่เข้าร่วม ล้วนขึ้นอยู่กับจำนวนพลังหยินที่ผู้ใช้จำกัด วิญญาณที่ติดตามทั้งหมดนั้นถูกรู้จักในชื่อของวิญญาณคุ้มกัน และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นพร้อมกับความแข็งแกร่งของผู้ใช้”
สุดยอดไปเลย!
มุมปากของฉินเย่เริ่มยกยิ้มขึ้น ให้ตายเถอะ…ต่อไปเขายังต้องยกมือเพื่อปัดเป่าวิญญาณอยู่อีกหรือเปล่า? ใครจะไปคิดว่าตำแหน่งของจ้าวนรกจะมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้? เขาสามารถเพียงชี้นิ้ว และวิญญาณทั้งหมื่นตนก็จะพุ่งไปที่เป้าหมายและกำจัดมันจนไม่เหลือซาก
นั่นมันน่าอัศจรรย์แค่ไหนกัน?
ลองคิดถึงภาพที่เขายังต้องฟันศีรษะของวิญญาณแต่ละตนด้วยไม้ขกสังปั๊งของตัวเองดูสิ นั่นมันน่าอ่อนแอแค่ไหนกัน?
ฉินเย่อ่านต่ออย่างใจจดใจจ่อ
“กองทัพทหารวิญญาณราตรีจำเป็นต้องใช้การลงนามในตราประทับกลาง ซึ่งข้อกำหนดเบื้องต้นทั้งหมดมีดังนี้… และปิดท้ายด้วยผนึกผูกวิญญาณ พึงรู้ว่าความแข็งแกร่งของกองทัพทหารวิญญาณราตรีนั้นอาจแตกต่างกันไป แต่ทหารวิญญาณราตรีที่ได้รับการแต่งตั้งแต่ละนายจะต้องมีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าผู้ใช้ มิเช่นนั้น ทันทีที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมวิญญาณเหล่านั้นได้ อานุภาพของศาสตร์นี้จะสะท้อนกลับสู่ตัวผู้ใช้ และจิตวิญญาณของผู้ใช้จะถูกทำลายไปในที่สุด”
อย่างนี้นี่เอง… อีกความหมายหนึ่งก็คือ ตอนนี้เขาสามารถแต่งตั้งขั้นนักล่าวิญญาณหมื่นตนได้แล้ว? อ่า… ไม่สิ ไม่… มันควรจะเป็นขั้นยมทูตขาวดำหมื่นตนมากกว่า! เขายังมีอาร์ทิสที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป็นขั้นตุลาการนรกในทันทีที่เขาออกจากพรมแดนของมณฑลอันฮุ่ยอยู่! แต่จะว่าไป ทำไมนางถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขามาก่อน?
เด็กหนุ่มยังคงอ่านเนื้อหาทางหมดต่อจนกระทั่งเข้าใจทุกอย่างในที่สุด
“นี่เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับจ้าวนรกหรือผู้สืบทอดตำแหน่งนั้นเท่านั้น มันไม่เกี่ยวอะไรกับสวรรค์ และสามารถใช้ได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดเกี่ยวกับการพัฒนาของยมโลก ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ มีเพียงจ้าวนรกหรือผู้สืบทอดบัลลังก์เท่านั้นที่สามารถใช้มันได้”
ความสนใจเกี่ยวกับมรดกของยมโลกแห่งเก่าของเขาพุ่งสูงขึ้นทันที
พงศาวดารนรก ในคราแรก ชื่อของมันดูเหมือนสิ่งที่บันทึกเกี่ยวกับลำดับขั้นการพัฒนาของยมโลก รวมถึงขนบธรรมเนียบประเพณีและประชากรของมัน
ไม่คิดเลยว่ามันจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์สำหรับจ้าวนรกด้วย! แล้วอย่างนี้…ในมรดกของยมโลกแห่งเก่าจะยังมีอะไรอยู่อีก?
มันจะมีศาสตร์ที่น่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่พอ ๆ กันอยู่หรือไม่?
ด้วยสิ่งนี้ในมือ หลิวอวี้จะสามารถทำอะไรได้? เขาสามารถต่อสู้กับทหารนับหมื่นได้ด้วยมือของตัวเองด้วยซ้ำ!
“เขตนักล่า… ใช่แล้ว! เขตนักล่า!” เขาข่มความตื่นเต้นภายในใจและหลับตาลงเพื่อไตร่ตรองถึงความหมายของสิ่งที่ตนเพิ่งได้เรียนรู้มา
ประการแรก ยิ่งมีความโกรธแค้นมากเพียงใด วิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งและอันตรายมากยิ่งขึ้น วิญญาณเหล่านั้นจะน่ากลัวมากกว่าวิญญาณธรรมดา เห็นได้ชัดเลยว่ากองทัพทหารวิญญาณราตรีของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถมีจำนวนได้มากกว่าสิบนาย ดังนั้น หากเขาจะเลือกวิญญาณ เขาจะต้องเลือกวิญญาณที่อันตรายที่สุด – อย่างพวกที่เคยเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยมที่สุดก่อนตาย หรือพวกที่เคยทำอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่สุด!
ไม่เช่นนั้น ในภายภาคหน้า เขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไร? ‘เจ้า โจรผู้น่าสังเวช ไปอยู่แนวหน้า; เจ้า หัวขโมย ไปเป็นกำลังเสริม; แล้วก็เจ้า นักโทษข่มขืน ไปอยู่ทางปีกซ้าย…’ ให้ตายเถอะ…ภาพนั้นมันน่ากลัวชะมัด!
แต่หากวิญญาณของเขาสุดยอดอย่าง… ‘เทเรซ่า ไซตามะ ไซคลอปส์ และโอโรจิมารุ…’ [1]
มันฟังดูดีกว่าชื่อก่อนหน้านี้มาก! ฮ่า ๆๆๆ… เขาแทบอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้หาวิญญาณดี ๆ สักตน…
เด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือบมองสีหน้าวิปริตของฉินเย่อย่างรังเกียจ ก่อนที่จะหันหน้ากลับพึมพำกับแฟนของตน และอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นและหันไปมองฉินเย่ด้วยแววตารังเกียจไม่แพ้กัน
“เพราะการดำรงอยู่ของสำนักฝึกตนแห่งแรก มณฑลอันฮุ่ยจึงไม่น่าจะมีเขตนักล่ามากนัก และในเมื่อเป็นเช่นนั้น… การออกจากสถาบันก็ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เราได้ทำลงไป!” เขาทุบโต๊ะอย่างแรงและมองออกไปนอกหน้าต่าง
เช่นนั้น… ในเมื่อพวกเขากำลังเดินทางไปสู่เมืองหวู่หยาง
นักล่าที่อยู่ตามทางทั้งหมดก็…
หึหึ… คงต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าด้วย… แต่ตราบใดที่พวกเจ้ามีระดับการฝึกตนที่ต่ำกว่าข้า การจัดการข้าคงไม่ใช่เรื่องง่าย!
หวาดกลัว… ขี้ขลาดหรือ? ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของเขา!
ฉินเย่เลียริมฝีปากของตัวเองและข่มเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงภายในใจ เขาแทบจะอดใจรอให้รถไฟไปถึงที่สถานีถัดไปไม่ไหวแล้ว!
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น ฉินเย่ยังคงนั่งอยู่กับที่เงียบ ๆ ไปตลอดการเดินทาง จนกระทั่งรถไฟไปถึงสถานีถัดไป
“ผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ ผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ” ขณะนั้น รถไฟก็หยุดลง และเสียงประกาศก็ดังขึ้นให้ได้ยิน “เนื่องจากสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายภายในเมืองเจียงหยิน ผู้โดยสารทั้งหมดที่ต้องการจะลงที่สถานีรถไฟเมืองเจียงหยินจำเป็นจะต้องลงที่สถานีรถไฟเมืองกู่เฉิงแทน จึงเรียนมาเพื่อทราบ”
“ตอนนี้เป็นเวลา 23.07 น. รถไฟกำลังจอดอยู่ที่สถานีเมืองกู่เฉิง เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง กรุณาหลีกเลี่ยงการเข้าไปยังพื้นที่ที่มีกระจกหรือพื้นผิวสะท้อน กรุณาอย่าเดินไปห้องน้ำเพียงลำพัง อย่าลงจากรถไฟเพื่อออกไปซื้อสินค้าใด ๆ ผู้โดยสารที่มีความจำเป็นในการลงจากรถไฟจะต้องไม่ออกจากสถานีรถไฟเป็นอันขาด ด้านข้างของสถานีรถไฟ มีโรงแรมซึ่งได้เตรียมบริการอาหารและที่พักสำหรับผู้ที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้โดยสารที่ออกเดินทางหลังจากหกโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ ย้ำ ผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ…”
ถึงแล้วหรือ?
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้น เมืองเจียงหยิน…เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไม่คาดคิด? พวกเขาเลยต้องลงที่เมืองกู่เฉิงแทน?
เขามองไปรอบ ๆ ทุกอย่างยังคงสว่างไสว เมืองที่เจริญรุ่งเรืองสามารถมองเห็นได้อย่างเลือนลาง สถานีแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่มันก็ส่องสว่างและถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะของสถานีทั่วไป
สไตล์ของมันค่อนข้างล้าสมัย เห็นได้ชัดว่าถูกสร้างขึ้นเป็นสไตล์ของยุค 90 ด้านในของสถานีค่อนข้างสะอาด แต่ก็ยังมีร่องรอยดำติดให้เห็นบนผนังและป้ายโฆษณาที่เก่าพอสมควร มันยังมีไม้กวาด ท่อ และอุปกรณ์อื่น ๆ ถูกวางกองอยู่ที่มุมหนึ่งของสถานีอีกด้วย ที่ชานชาลาตอนนี้ไม่มีวี่แววของมนุษย์ให้เห็นอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
แต่มันก็ไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิด เพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ด้วยสถานการณ์เหตุเหนือธรรมชาติที่แพร่กระจายไปทั่วจีน มันจึงเป็นธรรมดาที่ประชากรทั้งหมดจะซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านช่องตัวเองเพื่อความปลอดภัย
ฉินเย่สะพายกระเป๋าของตนและเดินตรงไปที่ประตู พร้อมกับความหวั่นสะพรึงของคู่หนุ่มสาวที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เดี๋ยวก่อน…” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะที่เดินมาถึงที่ประตูรถไฟอย่างรวดเร็ว “นะ น้องชาย… นาย นายจะไปไหน?”
“ผมก็จะลงไง ไม่ได้เหรอ?” ฉินเย่มองทั้งคู่ด้วยความงงงัน – เขาจะลงจากรถไฟแล้วมันจะทำไม?
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง และรีบถอยไปชิดมุมที่นั่ง แม้แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็อ้าปากและสั่นเทาขณะที่มองฉินเย่
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว และเขาก็พบว่าไม่เพียงแต่ชายหญิงคู่นี้เท่านั้นที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ อันที่จริง ทุกคนในห้องโดยสารต่างก็จ้องมาที่เขาราวกับตัวเองเพิ่งเห็นผี
“ผม…” ฉินเย่ขยับตัวเล็กน้อย และคนทั้งหมดก็กรีดร้องออกมาทันที หน้าผากของหญิงวัยกลางคนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อขณะที่เธอขยับตัวเพื่อถอยห่างออกไปด้วยความกลัว เธอจ้องฉินเย่เขม็งและเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “ทะ ทะ เธอ…ถอยออกมา!!”
ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายกำลังวิ่งมาทางตน ไม่นานกลุ่มเจ้าหน้าที่บนรถไฟก็มาถึง
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ผู้เป็นหัวหน้าคือชายร่างสูงที่มีใบหน้ารูปเหลี่ยม รอบตัวของเขามีบรรยากาศของผู้มีอำนาจแผ่ออกมา เขามองไปรอบ ๆ ห้องโดยสารก่อนจะหันกลับมาหาฉินเย่ หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงระคนหวั่นสะพรึงของผู้โดยสารคนอื่น ๆ เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง “คุณจะลงเหรอครับ?”
“ครับ” ความสงสัยของฉินเย่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งประกาศหรือครับว่าคนที่กำลังเดินทางไปที่เมืองเจียงหยินให้ลงที่เมืองกู่เฉิงแทน?”
“ผมขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วรถไฟของคุณทีครับ”
“นี่มันบ้าอะไรกัน… คุณกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า…”
“ขอตรวจบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วรถไฟด้วยครับ!” ชายหน้าเหลี่ยมเอ่ยเสียงเข้มขึ้น มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่เริ่มสังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ได้เริ่มมายืนล้อมรอบตัวเขาแล้ว
นี่มันเรื่องบ้าอะไร…
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาไม่ได้นำเอกสารประจำตัวติดตัวมาด้วย ทุกอย่างที่เขามีได้ถูกส่งให้หน่วยสอบสวนพิเศษไปหมดแล้ว และสิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในตอนนี้ได้ก็คือการยื่นบัตรประจำตัวหน่วยสืบสวนพิเศษให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น
มันเป็นสมุดเล่มเล็กสีแดง ทันทีที่คนตรงหน้าเห็นมัน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที เขาเป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟมานานมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าผู้ใดก็ตามที่มีเอกสารประเภทนี้ล้วนได้รับอนุญาตให้ลงจากรถไฟได้ในทุกส่วนของการเดินทาง
หลังจากเปิดดูเอกสารของฉินเย่อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คืนมันให้กับผู้เป็นเจ้าของและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “เราจะหยุดอยู่ที่นี่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ กลับไป แต่ก็ยังคงไม่เอ่ยอะไรออกมา
“เชิญครับ” ชายคนนั้นเดินไปที่ประตูและหันไปพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง อีกฝ่ายจึงเดินไปเปิดประตู เมื่อฉินเย่เดินผ่านทั้งสอง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
จากนั้น ทันทีที่เขาเดินลงมา ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ปะทะเข้ากับสายลมเย็นยะเยือก เขารีบกระชับเสื้อคลุมนอกตัวยาวของตนเองทันที แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เลือดภายในกายของเขาสูบฉีด!
มันไม่เห็นมีสถานีรถไฟเลยสักนิด!
ไม่… มันไม่ใช่เชิงว่าไม่มีสถานีรถไฟ ชานชาลาอยู่ตรงนั้น… แต่มันแตกต่างจากที่เขาเห็นตอนที่อยู่บนห้องโดยสารอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้คือสถานีรถไฟที่ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ยุค 90 แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้กลับมีเพียงซากปรักหักพัง!
ห่างออกไปยังมีไฟถนนส่องสว่างอยู่ แต่ทั้งสถานีแห่งนี้กลับไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย แหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียวคือแสงไฟอันริบหรี่ที่ดูเหมือนจะดับลงทุกเมื่อ แสงไฟสลัวและชานชาลาที่เหลือเพียงเศษซากทำให้ฉินเย่รู้สึกราวกับว่าตนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าสุสาน
ฟิ้ว~… สายลมยามค่ำคืนดูเหมือนจะพัดรุนแรงขึ้นกว่าทุกครั้ง เศษใบไม้รอบบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงกรอบแกรบอย่างน่าสะพรึงกลัว แทบจะเหมือนกับว่ามีวิญญาณนับพันกำลังซ่อนตัวอยู่ภายในเงามืด คร่ำครวญและร่ำไห้อย่างน่าสังเวช ผนังของสถานีถูกพ่นเป็นคำว่า ‘สังหาร’ ด้วยหมึกสีแดงเข้ม แล้วไม้กวาด ท่อน้ำ หรืออุปกรณ์เครื่องมือที่เขาเห็นก่อนหน้านี้เล่า? สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงกองใบไม้ที่กระจัดกระจายไปทั่วชานชาลา มันเห็นได้ชัดเลยว่าชานชาลาแห่งนี้ถูกเลิกใช้ไปเมื่อนานมาแล้ว มันน่าขนลุกและถูกทิ้งร้าง!
หากเป็นคนธรรมดาที่มายืนอยู่ในจุดที่เขาอยู่ตอนนี้ก็คงจะตกใจกับภาพตรงหน้าจนแทบจะร้องไห้ออกมาแน่ ๆ และตอนนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ตบลงมาบนไหล่ของเขา
ฉินเย่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “คุณเองก็ลงมาด้วยเหรอ?”
ชายหน้าเหลี่ยมเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มและถอนหายใจออกมา “ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง”
ฉินเย่ยิ้มขณะที่อีกฝ่ายเดินนำหน้าตนไป เด็กหนุ่มเองก็เดินตามไปติด ๆ และชายตรงหน้าก็เริ่มเอ่ยต่อ “ที่นี่เคยมีสถานีรถไฟมาก่อน…”
“สถานีแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ที่เกิดการทำสงครามกับทางญี่ปุ่น มันโทรมมากแล้ว” เขาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง และเสียงที่เอ่ยออกมาก็ค่อนข้างแหบพร่า “ผมได้ยินมาว่ากองทัพญี่ปุ่นเคยสร้างโรงงานไหมขึ้นที่นี่เพื่อ… แค่ก แค่ก… จัดเตรียม… เครื่องแบบทหารให้กับกองทัพญี่ปุ่น แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว”
“โรงงานไหมที่ว่ามีคนงานอยู่มากกว่าพันคน แต่… แค่ก แค่ก อึก แค่ก แค่ก!!!” ชายผู้เล่าไอออกมาอย่างรุนแรง เขาดูไม่ได้เดินเร็วมากนัก แต่เมื่อฉินเย่หันหลังกลับไปมอง เขาก็พบว่า…พวกเขาทั้งคู่เดินห่างออกมาจากชานชาลาประมาณหลายสิบเมตรแล้ว!
แสงไฟโดยรอบมืดลงเรื่อย ๆ และพวกเขาก็ดูเหมือนจะกำลังเดินเข้าสู่ความมืดมิด พุ่มไม้เตี้ยและต้นไม้สูงที่อยู่บริเวณใกล้เคียงปลิวไหวราวกับปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่แสงไฟจากระยะไกลสร้างเงาที่ฉายออกไปด้านหน้าเหนือพวกเขา แทบจะเหมือนกับมีวิญญาณร้ายกำลังร่ายรำอยู่ในความมืด กำลังรอคอยโอกาสเพื่อจัดการและกลืนกินเหยื่อรายต่อไปของพวกมัน
“คุณเป็นอะไรไหม?” ฉินเย่หลุบตาต่ำและเอ่ยถามเสียงเบา
“ผมไม่เป็นไร… ไม่ต้องห่วง… แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก!” ชายคนดังกล่าวยังคงเดินต่อไป “เขาเล่ากันว่า… แม้แต่ในเวลาแห่งอิสรภาพ มันก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเหล่าคนงานในโรงงานไหมเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง แน่นอน… แค่ก แค่ก…. ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น แต่ก็อย่างว่า… นิสัยของมนุษย์… พวกเขาต้องการคำตอบในทุก ๆ อย่าง…”
พวกเขาเดินมายังอีกด้านหนึ่งของสถานีแล้ว และตรงหน้าของทั้งสองก็คือรั้วสูงที่มีประตูเหล็กหนาตั้งให้เห็นอยู่ห่างออกไป ประตูเหล็กดังกล่าวถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ ขณะที่ยันต์จำนวนมากกำลังกระพืออย่างรุนแรง
และความจริงแล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหลังชานชาลาก็คือ…สุสานขนาดใหญ่!
ชายตรงหน้าเริ่มส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาจากลำคอ ในขณะที่เสียงกลืนน้ำลายระหว่างคำพูดยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น “เดิมที… เมืองกู่เฉิงเคยเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ… อึก… แต่เมื่อสามปีก่อน ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ ขบวนรถไฟทุกขบวนที่เดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้จะมีประกาศแบบเดียวกันดังขึ้น… อึก…”
มันแทบจะเหมือนกับว่ากรามของเขาแตกออก และน้ำลายก็ไหลออกมาราวกับประตูเขื่อนที่ถูกเปิดออก ฉินเย่หันไปมองยังทางที่ชายตรงหน้าเดินผ่านมา
มันมีรอยเลือดปรากฏอยู่
มันเริ่มต้นจากไม่กี่หยดเท่านั้น แต่ไม่นาน…มันก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งดูไม่ต่างอะไรกับเลือดที่ไหลลงมาราวกับสายน้ำ
นอกจากนี้… เท้าของชายคนนี้… ก็ไม่ได้สัมผัสกับพื้นอีกต่อไป
สถานีรถไฟร้างท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสนิท แสงไฟสลัว เงาดำและสุสานขนาดใหญ่ตรงหน้า ความหวั่นสะพรึงก่อตัวขึ้นภายในใจของฉินเย่ทันที!
[1] เทเรซ่าคือตัวละครที่อ้างอิงมาจากอนิเมะเรื่องเคลย์มอร์ อสูรสาวพิฆาตมาร; ไซตามะคือตัวละครที่อ้างอิงมาจากอนิเมะเรื่องวันพันช์แมน และโอโรจิมารุคือตัวร้ายในเรื่องนารูโตะ