ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 377: พระพุทธรูปหิน
บทที่ 377: พระพุทธรูปหิน
คนทั้งหมดลดปืนลง ชายในชุดสูทเดินนำเข้าไป ในระหว่างทาง เขาก็มองเลยเข้าไปยังอีกด้านหนึ่งของประตูเหล็ก จากนั้นรูม่านตาของเขาก็ต้องหดตัวเข้าหากัน
เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากวิญญาณร้ายที่อยู่ด้านในอีกต่อไป!
นี่… หรือว่า…
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาสัมผัสถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มันจะไปมีความเป็นไปได้อื่นได้อย่างไร? นอกจากนี้…
เขตไล่ล่าถูกกำจัดโดยสมบูรณ์แล้ว?
เขตไล่ล่าของวิญญาณร้ายขั้นนักล่าวิญญาณถูกทำลายอย่างรวดเร็วและง่ายดาย? และชายที่รับผิดชอบเรื่องทั้งหมดก็เดินออกมาอย่างสบาย ๆ? ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่า…
เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ?!
ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบ สีหน้าของชายในชุดสูทเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างตกตะลึงและเหลือเชื่อ ไปเป็นพิศวง ก่อนจะกลับไปเป็นตกตะลึงและเหลือเชื่ออีกครั้ง
ฉินเย่นั้นเด็กเกินไป เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ดูเด็กขนาดนี้จะอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ!
“คุณ…” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาภายในใจ “อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ?!”
“ขั้นยมทูตขาวดำ?!” ร้อยตำรวจเอกที่ได้ยินเช่นนั้นก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขาคว้าแขนเสื้อของชายในชุดสูทและเอ่ยขึ้นทันที “เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำอย่างนั้นเหรอ?! คุณกำลังจะบอกผมว่าผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำเดินทางมาช่วยเราในดินแดนที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งแห่งนี้น่ะเหรอ?!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนสูบบุหรี่ก่อนหน้านี้แน่นิ่งไป เศษบุหรี่ตกลงบนเครื่องแบบของเขา แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ฉินเย่ จากนั้นเขาก็ทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นและเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอ? จริงหรือเปล่า? เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำจริง ๆ น่ะเหรอ?”
การรับรู้ที่เรียบง่ายนี้เป็นเหมือนกับลำแสงแห่งความหวังของเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจท่ามกลางท้องฟ้าที่ดำมืด ขั้นยมทูตขาวดำ… ในที่สุดผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำก็มาถึง! นี่หมายความว่า…ที่นี่จะได้รับการช่วยเหลือแล้วใช่ไหม?
ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา คนทั้งหมดรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกขณะที่จ้องมองไปที่ฉินเย่ รอคำยืนยันจากอีกฝ่าย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่กลับขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น? ผมกำจัดเขตไล่ล่าแห่งนี้ให้พวกคุณแล้ว ทำไมถึงยังต้องดูเป็นกังวลอยู่อีก?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ฝึกตนในชุดสูทมองหน้ากัน ก่อนจะเปิดประตูรถตำรวจให้เด็กหนุ่ม “เชิญทางนี้ครับ ทางเราจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”
ฉินเย่มองคนทั้งหมด และเขาก็พบว่าบนใบหน้าของคนทั้งหมดล้วนประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ คนทั้งหมดรู้ดีว่าฉินเย่อาจจะแค่เดินผ่านมาเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าฉินเย่จะยอมให้ความร่วมมือกับพวกเขา เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร และเดินขึ้นไปนั่งบนรถทันที
รถตำรวจขับตรงออกไปที่เขตชานเมือง ตอนนี้ดึกมาก และมันก็เลยช่วงเวลาของประกาศเตือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งพื้นที่ยังคงสว่างไสวด้วยแสงจากไฟข้างถนน แต่กลับไม่มีใครสักคนให้เห็นบนถนนเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็สังเกตเห็นวิญญาณเร่ร่อนจำนวนหนึ่งลอยไปลอยมาบ้างเป็นครั้งคราว ร้านค้าและแม้แต่โรงพยาบาลที่พวกเขาขับผ่านถูกแปะด้วยยันต์และกระดิ่งไล่วิญญาณ สายลมเย็นพัดผ่านถนนที่รกร้าง ส่งผลให้เศษขยะบนพื้นปลิวไปมาราวกับพวกมันคือเงินกระดาษที่ล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าของยมโลกไม่มีผิด
ทุกอย่างเงียบเชียบและไร้ชีวิตชีวา มันแทบจะดูไม่ออกเลยว่าที่นี่คือเมืองที่มีจำนวนประชากรถึงแสนคน มันปราศจากซึ่งการใช้ชีวิตในยามราตรี แสงสีจากป้ายไฟนีออน แผงบาร์บีคิว หรือแม้แต่รถเข็นอาหาร ทุกอย่างดูร้างโดยสมบูรณ์ แม้แต่แมวหรือสุนัขสักตัวก็ไม่มีให้เห็น
กรุ๊ง กริ๊ง… บ้านเรือนทุกหลังล้วนมียันต์และกระดิ่งขับไล่วิญญาณติดอยู่ทั่วทุกมุมเพื่อป้องกันแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เห็นได้ชัดว่าประชากรเริ่มเดาทางเรื่องทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ให้เป็นสาธารณะ แต่ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้เองโดยปริยายว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เสียงใสกังวาลของกระดิ่งดังก้องไปทั่วท้องถนน แต่มันกลับไม่ได้สร้างความสดใสให้เลยแม้แต่น้อย เพราะมันยิ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
อาคารทุกหลังถูกดับไฟสนิท ไม่มีไฟดวงใดเลยที่ถูกจุดขึ้นให้เห็น ขณะที่รถตำรวจเคลื่อนตัวไปตามถนน ฉินเย่ก็ยังคงมองไปด้านนอกหน้าต่าง – นี่คือสภาพของพื้นที่ส่วนอื่นของจีนในเวลานี้อย่างนั้นหรือ? มัน…ไม่ต่างอะไรกับจุดสิ้นสุดของโลกเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว และช่วงเวลาแห่งการปลอบใจก็คือเวลาช่วงตอนกลางวันก่อนถึงหกโมงเย็น หลังจากนั้นก็จะไม่มีใครกล้าเดินไปตามสถานที่ที่มืดมิดหรือทางเดินเปลี่ยวอีกเลย ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมหลังจากเวลาผ่านพ้นช่วงหกโมงเย็น ทุกครอบครัวจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและสวดอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อให้พวกเขาสามารถข้ามผ่านไปได้อีกค่ำคืนหนึ่ง
คนส่วนใหญ่ผ่านช่วงเวลากลางคืนไปโดยที่ไม่แม้แต่จะข่มตาหลับ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีกลุ่มคนที่โชคร้ายกว่า ผู้ซึ่งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และก็พบเข้ากับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงและไม่หายใจของเหล่าคนอันเป็นที่รักของตัวเอง
“ทั้งหมดนี้คือบาปของยมโลก…” ฉินเย่พึมพำกับตัวเองก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
พระกษิติครรภโพธิสัตว์… ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองได้ทิ้งความวุ่นวายใดไว้หลังจากที่ท่านตรัสรู้และขึ้นสู่สรวงสวรรค์? ท่าน…ยอมทิ้งโลกไปทั้ง ๆ แบบนี้ได้อย่างไร?!
ท่านสมควรจะมีเมตตามิใช่หรือ?
เสียงของฉินเย่แผ่วเบา แต่คนขับรถกลับสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยายามแย้มยิ้มบนใบหน้า “ขอประทานโทษนะครับ… แต่ผมควรเรียกคุณว่าอย่างไรดี?”
“ฉิน” ฉินเย่ตอบกลับไปสั้น ๆ เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาตอบคำถามอะไรตอนนี้
“คุณฉิน คุณมาจากที่ไหนหรือครับ? การที่สามารถบรรลุเป็นขั้นยมทูตขาวดำตั้งแต่อายุยังน้อย… ผมเดาว่าคุณคงมีตำแหน่งที่สูงพอสมควรในหน่วยสอบสวนพิเศษ?” ชายในชุทสูทที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยต่อ “อ่า มารยาทของผมหายไปไหนหมดกัน? ผมชื่อเจิงไสว่ เป็นหนึ่งในสิบสมาชิกของหน่วยสอบสวนพิเศษที่ถูกย้ายมาประจำการที่นี่…”
คลิ้ก… ทันใดนั้น เสียงที่คมชัดบางอย่างดังขึ้นจากทางหน้าต่าง ฉินเย่เหลือบตามองมัน แต่ขณะที่เขากำลังจะดึงสายตากลับมา เขาก็ต้องหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างอีกครั้ง
“คุณฉิน คุณฉินครับ?” ไม่นาน เสียงเรียกของเจิงไสว่ก็ดังเรียกสติของฉินเย่ ทว่าทันทีที่เขาหันกลับมาจากหน้าต่างด้านข้างและมองตรงไปข้างหน้า… เขาก็พบว่าท้องถนนด้านหน้าของเขาเวลานี้ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเงินกระดาษ
เงินกระดาษสีขาวซีด
นอกจากนี้ เงินกระดาษพวกนั้นยังดูเหมือนกับกระจายออกมาจากด้านหลังของรถของพวกเขาอีกด้วย แทบจะเหมือนกับว่าสายลมกลางคืนได้พัดพวกมันมาข้างหน้า หากพูดกันตามตรง มันแทบจะดูเหมือนกับว่ามีคณะไว้ทุกข์ตามหลังพวกเขามาไม่มีผิด
“พวกนี้อาจจะเป็นวิญญาณร้ายที่พลัดหลงจากกลุ่มน่ะครับ” เจิงไสว่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ทุกพื้นที่ที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ล้วนเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้ขึ้น ไม่ต้องห่วงครับ พวกมันแข็งแกร่งกว่าวิญญาณเร่ร่อนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีทางกล้าเข้ามาใกล้กลุ่มผู้ฝึกตนแน่”
ฉินเย่ยังคงเงียบ
มันมีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เขาอาจจะตาฝาด แต่เขาสาบานได้เลยว่าหนึ่งในเงินกระดาษที่ปลิวมาติดที่หน้าต่างเมื่อครู่นี้…มีตัวหนังสือถูกเขียนอยู่!
มันเขียนเอาไว้ว่า – ‘มาหาเรา’
เป็นไปไม่ได้…หากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยวิญญาณร้าย มันก็ไม่มีทางที่เขาจะมองไม่เห็นอีกฝ่าย และต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นวิญญาณกลายพันธุ์ เขาก็ควรจะสามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของวิญญาณเหล่านั้นได้ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว
แต่มันจะมีคนอื่นอยู่รอบ ๆ ได้อย่างไร… ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาขณะที่ส่ายศีรษะไปมาเพื่อขจัดความคิดแปลกประหลาดของตนและนั่งดี ๆ อีกครั้ง แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปที่กระจกหลัง ขนบนร่างของเขาก็ลุกชัน!
มีคน…
มีคนอยู่จริง ๆ!
จากกระจกหลัง ฉินเย่มองเห็นขบวนคนสวมชุดคลุมยาวสีขาวเดินตามอยู่ด้านหลังรถของพวกเขา! และคนเหล่านั้นก็ล้วนประกบฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเข้าด้วยกัน!
ประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีของฉินเย่ในฐานะของจ้าวนรกได้ทำให้เขาได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับความตายและคนตาย ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ทันทีว่าเสื้อผ้าที่ขบวนแห่ด้านหลังของเขาสวมอยู่คือเสื้อคลุมไว้ทุกข์สำหรับข้าราชการระดับสูงในยุคสมัยหนึ่ง ปกคอเสื้อถูกเย็บอย่างประณีต ในขณะที่แขนเสื้อของเสื้อคลุมนั้นกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างไม่สามารถบรรยายได้
หากพูดกันตามตรง สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าแม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นคนเหล่านี้ได้ด้วยตาเปล่า แต่เขาก็ยังสามารถบอกได้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีร่องรอยของพลังหยินอยู่ในร่างเลยแม้แต่น้อย!
และพลังปราณเองก็เช่นกัน!
กลับกัน…ร่างของพวกเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน นอกจากนี้ มันยังดูเหมือนว่าพวกเขากำลังนำพารถตำรวจไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง!
“พวกคุณ…” ฉินเย่ละสายตาจากกระจกหลังเพื่อหันไปมองคนอื่น ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องตะลึงงันไปกับสิ่งที่เห็น แผ่นหลังของเด็กหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อในฉับพลัน
ไม่มี…
ไม่มีใครอยู่บนรถที่เขากำลังนั่งอยู่เลยแม้แต่คนเดียว!
และแม้ว่าเขาจะเหลืออยู่เพียงลำพังในรถคันนี้ แต่รถคันนี้ก็ยังคงขับเคลื่อนไปด้วยตัวของมันเอง ราวกับมันกำลังพาเขาไปยังจุดหมายที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว!
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!
เม็ดเหงื่อเย็นไหลลงมาที่ปลายจมูกของฉินเย่ เขามองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง และเขาก็พบว่า…เขายังคงเห็นเจิงไสว่และคนอื่น ๆ นั่งอยู่ในรถเหมือนเดิม แต่ทั้งหมดดูขาวซีดและไร้เรี่ยวแรงราวกับศพในห้องเก็บศพ มันแทบจะเหมือนกับว่า… พวกเขากำลังติดอยู่อีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์
ไม่มีใครบังคับรถ แต่มันกลับขับต่อไปด้วยตัวของมันเอง ฉินเย่อ้าปากค้าง ขนลุกชันไปทั้งร่าง
คำอธิบายเพียงอย่างเดียวสำหรับปรากฏการณ์นี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกล้อมรอบโดยพลังหยินที่ท่วมท้นจนมีอยู่ทั่วทุกที่ แววตาของเด็กหนุ่มวาววาบขึ้น เขาเคยสัมผัสกับความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน
ในครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับตี้ทิงในเมืองเป่าอัน ความหนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อของพลังหยินทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอย่างวิญญาณผู้หญิงหวีผมของเขาในเวลากลางวัน ความหวาดกลัวที่พุ่งพล่านไปทั่วทุกส่วนของร่างกายในวันนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง ในตอนนั้น อาร์ทิสอธิบายว่ามันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถตรวจจับพลังหยินได้ แต่มันเป็นเพียงเพราะว่าพลังหยินของฝ่ายตรงข้ามนั้นมหาศาลจนมีอยู่ทั่วทุกที่ แพร่กระจายไปทั่วทั้งมณฑล หรือแม้แต่พื้นที่ขนาดเล็ก ราวกับว่ามันคือชั้นบรรยากาศปกติทั่วไป
หรือว่า…จะมีวิญญาณที่มีระดับพลังขั้นเดียวกับตี้ทิงซ่อนตัวอยู่แถวนี้?
เด็กหนุ่มไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ ความคิดเดียวที่อยู่ภายในหัวของเขาก็คือหนี! เขาถีบประตูอย่างแรง แต่ก็ต้องพบว่ามันถูกปิดอย่างหนาแน่น!
ทันใดนั้น ขบวนผู้ไว้ทุกข์ก็เริ่มร้องบทเพลงที่น่าขนลุก ราวกับพวกเขากำลังสะอื้นไห้และคร่ำครวญต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก มันไม่ต่างอะไรกับการประสานเสียงของอีกาเลยแม้แต่น้อย ฉินเย่หันกลับไปจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความหวั่นสะพรึง เสียงเพลงจากเหล่าผู้ไว้ทุกข์ในเวลากลางคืนไม่ได้ช่วยลดความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขาลงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ราวกับน้ำที่ถูกเทใส่กระทะที่มีน้ำมันร้อนเดือดอยู่!
“นี่มันวิญญาณตนใดกัน?!” ฉินเย่กัดฟันกรอดและหันกลับมาดังเดิม และทันใดนั้น รถที่เขานั่งอยู่ก็หยุดชะงักลง
คลิ้ก ประตูรถปลดล็อกด้วยตัวของมันเองและเปิดออก
ฟิ้ว~… สายลมยามค่ำคืนพัดมา ใบไม้ที่ตกอยู่บนพื้นส่งเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ตอนนี้เขาอยู่ที่ลานกว้างซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเศษซากอาคารที่พังทลายจำนวนมาก แต่ใจกลางของพื้นที่ทั้งหมดกลับมีแท่นพระพุทธรูปหินสูงสองเมตรตั้งอยู่ การมีอยู่ของมันช่วยให้เศษซากปรักหักพังโดยรอบดูงดงามอย่างบอกไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่าแท่นไม้ตรงหน้าถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว สีเดิมของมันได้ลอกและหลุดร่วงไป ในขณะที่เศษผ้าสีแดงที่ฉีกขาดปลิวไหวไปตามแรงลม ผลไม้จำนวนหนึ่งถูกวางอยู่เบื้องหน้าของพระพุทธรูปหินเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการ ในขณะที่ในมือทั้งสองข้างขององค์พระพุทธรูปมีเทียนเล่มหนาสีแดงที่ยังคงสว่างไสวด้วยเปลวไฟอันอ่อนโยนตั้งอยู่ ภายใต้ความสลัวของแสงเทียน ฉินเย่สามารถบอกได้ว่านี่คือพระพุทธรูปของ…พระกษิติครรภโพธิสัตว์
ขบวนแห่วิญญาณในตอนกลางคืน นำมาสู่การเผชิญหน้ากับแท่นบูชาที่มีพระพุทธรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ตั้งอยู่
ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง และเขาก็พบว่าขบวนแห่ไว้ทุกข์เมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว ราวกับว่าพวกมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ค่ำคืนที่มืดสนิท และซากปรักหักพังที่ล้อมรอบพระพุทธรูปหิน เงาดำที่ทอดยาวลงมาไหววูบอย่างน่ากลัว แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันกำลังซ่อนวิญญาณร้ายจำนวนมากที่เตรียมพร้อมจะจู่โจมเอาไว้ ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลขณะที่เดินเข้าไปใกล้พระพุทธรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ “แม้แต่วิญญาณที่โง่เขลาที่สุดก็ไม่มีทางกล้าปลอมตัวเป็นท่าน…”
“ท่าน…คือผู้ที่เรียกข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
10 นาทีผ่านไป… 20 นาทีผ่านไป… ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เป็นเวลา 23.50 น.แล้ว ฉินเย่จ้องมองพระพุทธรูปหินนิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรทั้งสิ้น
ทว่าทันทีที่เขาตัดสินใจที่จะลุกยืนขึ้น พระพุทธรูปหินตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน!
ภายในลานกว้างที่แตกสลาย ในขณะที่เสียงระฆังดังขึ้นท่ามกลางการปลิวว่อนของเงินกระดาษจำนวนมาก ในค่ำคืนที่เงียบสนิท พระพุทธรูปหินที่ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันสบตาเข้ากับมนุษย์เพียงผู้เดียวในสถานที่แห่งนี้
ความมืดมิดปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด ฉินเย่สามารถสัมผัสได้ว่าเหล่าวิญญาณโดยรอบกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวขณะที่พากันถอยห่างออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลหวนกลับ แต่ไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองถูกตรึงอยู่กับพื้นโดยสมบูรณ์!
พระพุทธรูปหินเผยให้เห็นดวงตาสีทองประกายที่สุกใสมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินเย่เคยพบเห็นมา! มันส่องสว่างไปทั่วทุกที่ สว่างเสียจนเขาไม่สามารถระบุถึงสีเดิมของดวงตาของพระพุทธรูปนี้ได้เลย!
ยิ่งกว่านั้น มันยังไม่มีทั้งความเกลียดชังหรือความกระหายเลือดในแววตานั้นอีกด้วย กลับกัน มันเต็มไปด้วยความมีเมตตา
“ช่างน่าเสียดายเสียจริง” พระพุทธรูปหินเปิดปากเล็กน้อย “หากท่านเป็นเหมือนกับจ้าวนรกทั้งสองรุ่นก่อน ท่านก็คงจะสามารถรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของข้าผ่านทางสัมผัสที่ 8 อาลยวิญญาณ และตระหนักได้แล้วว่าข้าคือผู้ใด” [1]
พระกษิติครรภโพธิสัตว์?
พระกษิติครรภโพธิสัตว์จริง ๆ น่ะหรือ?
ฉินเย่อ้าปากค้าง เขาส่ายศีรษะไปมาด้วยความเหลือเชื่อ และแม้กระทั่งเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่เขาทำอย่างนั้น เขาก็พบว่าแขนเสื้อของเขาถูกยึดไว้โดยไม้ขักขระของพระพุทธรูปหิน
“มาหลบอยู่ด้านหลังของข้า” พระพุทธรูปหินเอ่ยช้า ๆ “พวกเขา…กำลังจะมาถึงที่นี่แล้ว”
[1] คัมภีร์ลังกาวตารสูตร กล่าวว่า “อาลยวิชญาณ เป็นฐานแห่งสรรพสิ่ง สร้างสรรค์สรรพสิ่ง เป็นมูลฐานของโลก และปรากฏการณ์สรรพสิ่ง เป็นเงา หรือเป็นภาพของอาลยวิชญาณซึ่งมีสภาวะเป็นอัพยากฤต (กลาง) เกิดดับสืบเนื่องกันมาไม่ขาดสายนับแต่กาลปรากฏเบื้องต้น มีหน้าที่เก็บก่อ คือเก็บพีชะของสิ่งทั้งปวงไว้และนำพีชะที่เก็บไว้มาสร้างสรรค์”