ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 378: ทหารวิญญาณ
บทที่ 378: ทหารวิญญาณ
ฉินเย่บิดตัวเล็กน้อยและรีบสอดตัวเข้าไปหลบอยู่ในซอกเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างด้านหลังของพระพุทธรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์และแท่นบูชาทันที
ทำไมน่ะหรือ?
ไอ้โง่ที่ไหนกล้าถามคำถามพวกนี้กัน?! นี่พยายามจะทำลายชื่อเสียงของเขาหรืออย่างไร?!
ทำไมเขาถึงต้องไม่ยอมซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ตามที่อีกฝ่ายบอกให้ทำด้วย? คิดว่าเขามีคุณสมบัติที่จะไม่ทำตามคำสั่งของคนที่อยู่คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิงหรืออย่างไร?
คิดว่าเขากำลังกลัวล่ะสิ? ไม่ใช่! เขาแค่บ่นเท่านั้น! เขาจะยอมขัดคำและทำให้อีกฝ่ายอับอายได้อย่างไร?!
เด็กหนุ่มหลบอยู่หลังหอคอยป้องกันที่แข็งแกร่งและรอให้เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ขณะนั้นเองเมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนตรง เสียงเปิดประตูก็ดังก้องไปทั่วเมืองกู่เฉิง
มันเป็นเสียงที่เบามาก แต่มันกลับดังอยู่ให้ได้ยินในหูของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอย่างน่าแปลกประหลาด
ซ่ากกก… ฮือออ… และมันก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของเหล่าวิญญาณ
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงที่คมชัดก็ดังมาจากด้านหลังของแท่นบูชาที่พระพุทธรูปของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ตั้งอยู่
ตึก…ตึก… เสียงของมันเป็นระเบียบและพร้อมเพรียง และมันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองออกไปด้านนอกเป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้เขาจ้องมองไปที่พระพุทธรูปหินตรงหน้าของเขาจนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังเลยสักนิด ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่เขาพบว่าด้านหลังของพระพุทธรูปหินมีหอบรรพชนเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
มันทรุดโทรมมากแล้ว แต่ก็ยังคงตั้งตระหง่านราวกับยักษ์ใหญ่ที่กินพื้นที่มากกว่าร้อยเมตร แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าวัชพืชที่งอกออกมาตามรอยแตกของพื้นอาคารกำลังขยับไปมาอย่างบ้าคลั่ง แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันถูกเหยียบย่ำโดยกองกำลังที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ ตะเกียงไฟเก่าที่แขวนอยู่บนผนังของอาคารที่ถูกทิ้งร้างก็สว่างขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
บางสิ่งบางอย่างกำลังออกมาจากหอบรรพชน… และพวกมันก็กำลังเดินตรงมาที่นี่…
“นี่มัน…” ภายในหัวของฉินเย่ตื้อชา “เสียงฝีเท้า!”
“นี่คือเสียงของทหารวิญญาณ!!”
หวู๊ดดดดด! เสียงแตรที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นห่างออกไป ราวกับต้องการประกาศถึงการเดินทัพของเหล่านักรบผู้กล้า ในขณะเดียวกัน เสียงก้าวเดินที่พร้อมเพรียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ! หากพูดกันตามจริง…ฉินเย่ยังได้ยินเสียงของดาบและหอกที่กระทบกับฝักของมันอีกด้วย!
พื้นที่โดยรอบของเขาถูกล้อมรอบด้วยความมืด และเขาก็มองไม่เห็นทหารวิญญาณเลยสักตน แต่ถึงกระนั้น ความหวาดกลัวที่มองไม่เห็นก็น่าสะพรึงกลัวเพียงพอที่จะเข้าเกาะกุมหัวใจของมนุษย์!
ตึก ตึก ตึก ตึก… เสียงเดินดังขึ้นเรื่อย ๆ ภายในหัวของฉินเย่รีบทำงานอย่างรวดเร็ว จากเสียงของมัน เขาสามารถบอกได้ว่าจำนวนทหารวิญญาณที่มุ่งหน้ามาที่นี่น่าจะอยู่ที่ประมาณหมื่นนาย! แม้ว่าเขาจะอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ แต่เขาก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะยอมเสี่ยงทุกอย่างและสู้กับกองกำลังที่ตัวเองไม่รู้จัก รวมถึงไม่รู้ถึงอาวุธและวิชาที่อีกฝ่ายใช้
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอยู่ในร่างยมทูตของตัวเองอย่างช้า ๆ และดวงตาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนสี ทันใดนั้น พระพุทธรูปหินก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “อย่าขยับ หากเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะถูกพบทันที”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหดตัวกลับเข้าไปด้านหลังและเอนตัวพิงกับพระพุทธรูปหินตรงหน้าทันที
พระพุทธรูปหิน: ……
สหาย… ท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่าการกระทำเช่นนี้ของท่านมันอาจจะดูไม่ค่อยเหมาะสมนัก?
ตึก ตึก ตึก ตึก… ทหารวิญญาณยังคงเดินหน้าต่อไปในค่ำคืนที่เงียบสงัด สายลมนรกเบา ๆ พัดผ่านบริเวณใกล้เคียง และอุณหภูมิของพื้นที่บริเวณนั้นก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ฉินเย่กำเศษตราจ้าวนรกในมือแน่น เตรียมพร้อมที่จะหนีไปทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน มันสามารถพูดได้เลยว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกนั้นเปรียบดังสรวงสวรรค์เมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีใครในสำนักที่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ในขณะที่โลกด้านนอก…กำลังเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวในทุก ๆ ฝีก้าว!
ตึก… ตึก… เสียงนั้นดังใกล้เข้ามากเรื่อย ๆ ฉินเย่กำเศษตราในมือแน่นกว่าเดิม เม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก เขาสามารถบอกได้เลยว่าทหารวิญญาณพวกนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงห้าเมตร และอีกฝ่ายก็จะเดินมาถึงเขาในเวลาไม่นาน
ตึก!!
จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่ว พื้นที่รอบ ๆ เขาเย็นยะเยือกในฉับพลัน ในขณะที่ต้นไม้และดอกไม้ รวมถึงหญ้าและวัชพืชบนพื้นต่างเปลี่ยนเป็นสีดำ และเหี่ยวเฉาลงราวกับพื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย! แต่ถึงกระนั้น… มันกลับไม่มีเสียงชักอาวุธออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว!
เป็นเพราะว่าพวกนั้นไม่เห็นเขาหรือ…? หัวใจของฉินเย่เต้นแรงขึ้นขณะที่เสียงเดินของทหารวิญญาณยังคงดังอยู่รอบตัวเขา หนักแน่นราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกรากของแม่น้ำหวงเหอ จินตนาการภายในหัวของเขาโลดแล่นอย่างบ้าคลั่ง และเขาก็เห็นกองทัพทหารที่น่าสะพรึงกลัวกว่าพันนายถือหอกขณะที่เดินไปอย่างพร้อมเพรียง พลังหยินที่หนาแน่นปกคลุมไปทั่วทุกที่ สาดซัดพื้นที่ทั้งหมดราวกับกระแสน้ำ
ช่างเป็นตัวตนที่มองไม่เห็นที่น่ากลัวจริง ๆ เสียงย่ำเท้าอย่างพร้อมเพรียงของทหารเหล่านั้นดังเป็นจังหวะที่น่าสะพรึงกลัว มันไม่หยุดหย่อน มองไม่เห็น และไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เป็นระยะเวลากว่า 20 นาที ฉินเย่ก้มหัวต่ำ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าทั้งหมดห่างออกไป เมื่อเสียงเบาลง บรรยากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยเสียงกระพือของยันต์และกระดิ่งไล่วิญญาณอีกครั้ง เสียงเหล่านี้เป็นเหมือนกับอากาศบริสุทธิ์สำหรับเขา
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาพบว่าพื้นที่โดยรอบของตัวเองตอนนี้ล้วนกลายเป็นสีดำน่ากลัว ที่ซึ่งถูกย้อมจากพลังหยินหนาแน่นที่พัดผ่านก่อนหน้านี้ โชคดีที่พลังหยินที่ลดลงยังหมายถึงการหายไปของจุดด่างดำต่าง ๆ เหมือนกับเซลล์มะเร็งที่บรรเทาลงอีกครั้ง
เขารีบหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาและหาตั๋วรถไฟเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ถัดไปทันที…
ให้ตายเถอะ… แดนมนุษย์นี่อันตรายเกินไปแล้ว! เราควรจะรีบปักตะเกียงหวนหยางได้แล้ว! แม่ครับ…ผมอยากกลับบ้านแล้ว!
“คุณฉิน” ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของเขา โดยไม่ลังเล ไม้ขกสังปั๊งปรากฏขึ้นในมือและพุ่งเข้าใส่แหล่งที่มาของเสียงทันที
เจิงไสว่…
ไม้ขกสังปั๊งของเขาหยุดลงห่างจากอีกฝ่ายเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ไม่สามารเข้าไปใกล้มากกว่านี้ได้ เจิงไสว่ประกบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน และท่าทางของเขาก็ดูแปลกประหลาดมากในตอนนี้
รัศมีของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หากเขาอธิบายรัศมีของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ว่าเป็นเพียงผู้ฝึกตนมือใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะให้ฉินเย่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเมืองกู่เฉิง เช่นนั้นรัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับภูเขาขนาดใหญ่ มหาสมุทรอันไร้ขอบเขตและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่รวมกัน
มันลึกล้ำและไม่สามารถหยั่งถึง
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” ฉินเย่กระชับมือรอบไม้ขกสังปั๊งของตัวเองแน่นขึ้นและจ้องมองเจิงไสว่เขม็ง
“อมิตาพุทธ” เจิงไสว่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเรา…เพิ่งพูดคุยกันไปเมื่อครู่นี้หรอกหรือ?”
ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงมาโดยไม่บอกกล่าว ฉินเย่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง “ท่านคือ…พระกษิติครรภโพธิสัตว์!?”
เจิงไสว่ยังคงเงียบ เขาเพียงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าดวงตาของเขาในตอนนี้กำลังเปล่งประกายสว่าง ในขณะที่รูม่านตาของเขามีสัญลักษณ์สวัสติกะปรากฏอยู่!
กรี๊ดดดดดด! เหล่าวิญญาณภายในเมืองกู่เฉิงต่างกรีดร้องออกมาทันทีที่เจิงไสว่เงยหน้าขึ้น… ไม่สิ มันไม่เพียงแต่เมืองกู่เฉิงเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้กลับเกิดขึ้นทั่วทั้งมณฑลเจียงซูและมณฑลซานตง… แม้ว่าเหล่าวิญญาณที่มีสติปัญญาในมณฑลจูเจียงเองต่างก็สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวขณะที่หันหน้าไปมองยังทิศที่ตั้งของเมืองกู่เฉิง
…………….
ณ เมืองจูโจว เมืองที่มีภัตตาคารหรูตั้งบนชั้นสูงสุดของหอโทรทัศน์ สภาพแวดล้อมโดยรอบงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ได้รับการออกแบบด้วยการตกแต่งแนวยุโรป ผู้ที่เข้ามาทานอาหารที่นี่จะได้เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองจากจุดนี้ เพล้ง! แก้วกาแฟในมือของสุภาพสตรีผู้หนึ่งตกลงกับพื้น ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะยกยิ้มบางและถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
หญิงคนดังกล่าวยังคงเงียบ และหันไปมองยังจุดที่อยู่ห่างออกไป แววตาของเธอไหววูบ และเปล่งประกายสีแดงออกมาอย่างผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้น…” ทว่าชายคนนั้นกลับเห็นประกายแปลกประหลาดในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ผู้หญิงตรงหน้าเอียงศีรษะเล็กน้อย และทั่วทั้งภัตตาคารก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
“นี่มัน… พระกษิติครรภโพธิสัตว์? พระกษิติครรภโพธิสัตว์?!”
ไม่กี่วินาทีต่อมา มือเรียวทั้งสองข้างถูกยกขึ้นลูบไปตามใบหน้าและกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง “เป็นไปได้อย่างไร?! ไม่ใช่ว่าพระกษิติครรภโพธิสัตว์ขึ้นสู่สวรรค์หลังจากที่บรรลุปณิธานของตัวเองหรอกหรือ?! เหตุใดเขาจึงปรากฏตัวขึ้นที่แดนมนุษย์อีกครั้ง?! มัจจุราช…มัจจุราชแห่งยมโลกของข้าอยู่ที่ใด?!”
ฟึ่บ… สายลมรุนแรงพัดมาทางภัตตาคารหรู ก่อนจะก่อตัวเป็นตัวตนที่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นวิญญาณที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ สามตนอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ ในขณะที่มีอีกสามตนอยู่ขั้นตุลาการนรกระดับสูง! ผู้หญิงคนนั้นกำเข้าที่อกที่ซึ่งกำลังกระเพื่อมอย่างหนักหน่วงของตัวเองขณะที่เอ่ยสั่งออกไปด้วยเสียงที่สั่นเทา “ตรวจสอบ… รีบไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้! แล้วมาบอกข้า… ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!!”
ฟึ่บ! สายลมนั้นพัดหายไปอีกครั้ง
ทั่วทั้งภัตตาคาร รวมทั้งพนักงานและลูกค้าคนอื่น ๆ ล้วนถูกรัดคอจนตายและหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากเส้นผมบนศีรษะของผู้หญิงคนดังกล่าว
มันคือเหตุการณ์นองเลือดดี ๆ นี่เอง
…………….
ย้อนกลับมาที่เมืองกู่เฉิน ฉินเย่มองไปโดยรอบด้วยความตกตะลึง เสียงกรีดร้องของเหล่าวิญญาณบอกเขาว่าเขาไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเจิงไสว่อีกต่อไป เพราะอย่างไรแล้ว การแสดงพลังที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้… ก็หมายความว่าอีกฝ่ายคือพระกษิติครรภโพธิสัตว์อย่างแท้จริง!
“โลกใต้พิภพมีชะตากรรมของตัวเอง” เจิงไสว่เอ่ย “สิ่งที่ท่านเห็นคือการประทับร่างของเทพเจ้า มันสามารถทำได้โดยใช้วิชาโบราณที่แพร่หลายในทางตะวันออกเฉียงเหนือ นี่คือเหตุผลเดียวว่าเหตุใดตอนนี้ข้าจึงสามารถสื่อสารกับท่านได้โดยตรง”
ฉินเย่ยิ้ม
“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะกลับมาจริง ๆ คารวะ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ผู้สูงศักดิ์ ข้าจะตั้งตารอคำชี้แนะจากท่าน” จากนั้น ด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ เขาหันหลังกลับ “เช่นนั้น หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน พอดีในยมโลกยังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ…ขออภัยที่มิได้เตรียมการต้อนรับอย่างสมเกียรติ…”
ทันทีที่เอ่ยจบ ฉินเย่ก็เริ่มเดินจากไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเจิงไสว่ดังขึ้น “ท่านจ้าวนรก จ้าวแห่งยมโลก ท่านจ้าวฉิน โปรดเข้าใจด้วยว่าตัวข้าเองก็มีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน ข้ารู้ดีว่าภายในใจของท่านนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ได้โปรด…ฟังข้าก่อน”
“ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องตำหนิ” ฉินเย่เอ่ยโดยไม่หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เสียงของเขายังคงราบเรียบดังเดิม “แต่ ไม่ใช่ว่าท่านควรจะอธิบายขีดจำกัดของท่านให้กับมนุษย์กว่า 1.5 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินจีนตอนนี้ได้ฟังหรอกหรือ? ผู้ที่รู้สึกขมขื่นและโกรธเกรี้ยวคือพวกเขา หาใช่ข้าไม่”
อย่างไรก็ตาม เขายังคงหยุดอยู่กับที่เพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย
ฟิ้ว~… สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ส่งผลให้เสื้อคลุมของเจิงไสว่สะบัดไปมาเบา ๆ เขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ปณิธานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่สามารถนับได้ว่าเป็นปณิธานอีกต่อไปเมื่อมันบรรลุ นอกจากตัวข้าแล้ว แม้แต่จ้าวนรกองค์ก่อน ชายผู้แข็งแกร่งอย่างไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ในทั้งสามโลก ก็ไม่คิดว่า… การตรัสรู้ของข้าจะทรงพลังจนสามารถชำระล้างวิญญาณทั้งหมดในยมโลกได้”
“แต่อย่างไรก็ตาม… เขามีพลังที่จะสามารถหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนั้นได้” เจิงไสว่ก้มหน้าลงและจ้องไปยังแผ่นหลังของฉินเย่ “ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองมีพลังอำนาจมากกว่าที่เราคนใดจะสามารถจิตนาการได้ มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าเขามีพลังเพียงพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แม้แต่สวรรค์เองก็ยังต้องระงับพลังอำนาจของมันเพื่อทำตามความปรารถนาของเขา คำพูดของเขาคือกฎ แต่…ถึงกระนั้น เขากลับเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“เขามองดูข้าชำระล้างยมโลก และยอมจำนนต่อโชคชะตาของการอยู่อย่างเดียวดาย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่ดวงดาวหรือดาวเคราะห์ดวงใด แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง?”
ฉินเย่หันกลับไปหาอีกฝ่ายในที่สุด
เป็นไปได้อย่างไร… การล่มสลายของยมโลกคือสิ่งที่สามารถหยุดยั้งได้? แต่จ้าวนรกองค์ที่สอง… ชายผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติกาล…กลับยอมจำนนต่อการล่มสลายครั้งใหญ่นี้?
นี่อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่?
ในที่สุดเขาก็ยอมฟัง… เจิงไสว่ถอนหายใจออกมา “เพราะว่า…เมื่อปราศจากการล่มสลาย ก็จะปราศจากการเปลี่ยนแปลงใหม่”
“ท่านฉิน ท่านเคยคิดหรือไม่ว่ายมโลกที่ผ่านมานั้นถูกขับเคลื่อนโดยระบบศักดินามาโดยตลอด? ระบบราชสำนักของยมโลกถูกออกแบบตามแดนมนุษย์ หลังจากที่คงอยู่มาเป็นระยะเวลากว่าพันปี ท่านคิดว่ามีตระกูลสำคัญกี่ตระกูลที่ปรากฏขึ้นในยมโลก? มีเทพแห่งสงครามปรากฏขึ้นกี่คน?”
“ลัทธิขงจื๊อ ตระกูลจ้าว ตระกูลหลี่ ตระกูลหลิว ตระกูลอ้ายซิน… และยังมีสายเลือดของเหล่าจักรพรรดิ รวมถึงเทพแห่งสงครามจากราชวงศ์สุย เทพแห่งสงครามจากราชวงศ์ถัง เทพแห่งสงครามจากราชวงศ์ซ่ง และอื่น ๆ อีกมากมาย กองกำลังของยมโลกเหล่านี้ล้วนพัวพันกับประวัติศาสตร์ และความซับซ้อนในการรับมือกับตระกูลเหล่านี้ก็อยู่เหนือเกินกว่าที่ท่านจะสามารถจินตนาการได้ หากพูดกันตามตรง มันอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่แดนมนุษย์เคยเผชิญหน้ามา! การกระตุ้นเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง! ท่านคิดว่าในยมโลกมีเพียงแค่พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบอย่างนั้นหรือ? ผิดแล้ว ในยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุด ยมโลกมีวิญญาณที่มีพลังเทียบเท่ากับขั้นพระยมอยู่ถึง 30 ตน! ทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลต่าง ๆ ที่เคยมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ พวกเขาล้วนเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งและราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของตัวเอง ดังนั้น…ท่านคิดว่าพวกเขาจะน่ากลัวเพียงใด?”
เจิงไสว่รีบเอ่ยต่อราวกับกลัวว่าฉินเย่จะวิ่งหนีทันทีที่ตนหยุดพูด “ในตอนที่ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองเข้ารับผิดชอบราชการทั้งหมด ยมโลกก็ก้าวไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถหวนกลับได้อีกแล้ว จากด้านนอก มันอาจจะดูรุ่งโรจน์ แต่ในกิจการภายใน…กลับไม่ต่างอะไรกับช่วงปลายของยุคราชวงศ์หมิงเลยแม้แต่น้อย มีรูรั่วอยู่ในระบบเต็มไปหมด และแต่ละรูก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลและราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ค่อย ๆ โผล่ตัวออกมาจากเงามืดพร้อมกับกองกำลังที่ทรงพลังหนุนหลัง แม้แต่พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบก็ยังต้องเจรจากับพวกเขาเพื่อเสนอนโยบายในการร่วมมือ มีเพียงท่านจ้าวนรกองค์ที่สองเท่านั้นที่มีพลังเพียงพอที่จะควบคุมพวกเขาเอาไว้”
“ผู้ใดจะเข้ามายังยมโลก ผู้ใดจะไปเกิด คำถามเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวนรกจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง นอกจากนี้ มันก็ยังมีปัญหาเรื่องสิทธิ์ทางการทหาร นโยบาย และเรื่องต่าง ๆ อีก ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองนั้นไม่เหมือนกับท่าน เขาไม่เชี่ยวชาญในเรื่องของการเมือง ทั้งหมดที่เขาให้ความสนใจก็คือการก้าวข้ามปัญหาไปให้ได้ และผู้คนจะต้องเชื่อฟังและทำตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูด เขาสามารถกำหนดขอบเขตโดยรวมและทิศทางของมุมมองของตัวเองโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน แต่ทันทีที่มีการดำเนินตามนโยบายกำจัดรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ออกไป พวกตระกูลและราชวงศ์ที่ทรงพลังก็เริ่มรวบรวมกองกำลังจะประท้วงสิ่งเหล่านี้ ด้วยการที่มาจากยุคสมัยใหม่ ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจถึงข้อบกพร่องของระบบศักดินาเป็นอย่างดี มันเป็นเพียงโครงสร้างสังคมที่ถูกสร้างขึ้นก็จริง แต่โครงสร้างนี้ก็คงอยู่มาเป็นระยะเวลากว่าพันปีแล้ว”
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ “มันสามารถปรับเปลี่ยนได้หรือไม่?”
“ท่านคิดว่าเราจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้อย่างไร?”
ฉินเย่เม้มปากและเงียบไป
เขาสามารถจิตนาการถึงการแผ่กิ่งก้านสาขาของระบบศักดินาพวกนั้น จีน…อยู่กับระบบศักดินามายาวนานที่สุดในโลก มันกินเวลากว่า 2,000 ปี และมันก็ยังคงมีแนวคิดบางอย่างที่ยังต้องได้รับการปรับเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่นแนวคิดที่ว่าโครงสร้างของรัฐบาลควรเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย และถึงอย่างนั้น แผ่นดินจีนในเวลานี้กลับยังถูกบีบบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยผ่านการทำสงครามอยู่ดี
แล้วยมโลกเล่า?
ไม่มีอะไรเลย
เมืองเฟิงตูดำรงอยู่มานานกว่า 3,000 ปี และนี่ก็ยังไม่ได้พิจารณาถึงตระกูลและกองกำลังที่มีอยู่มาก่อนที่เมืองเฟิงตูจะถูกก่อตั้งขึ้น ยมโลก…ถูกทำลายโดยเหล่าผู้มีอำนาจและราชวงศ์ต่าง ๆ
เขาเองก็เช่นกัน เคยสงสัยว่าเหล่าจักรพรรดิทั้งหลายเมื่อมาอยู่ในยมโลกแล้วจะได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ตำแหน่งใด แต่ในที่สุดทุกอย่างก็กระจ่าง ยมโลกแห่งเก่า… ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เห็นจากภายนอก หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของจ้าวนรกองค์ที่สองและความสามารถในการจัดการกับผู้ก่อความไม่สงบของอีกฝ่าย ยมโลกก็คงจะเกิดความโกลาหลไปนานแล้ว
ฉินเย่ไม่คิดเลยว่าการที่ได้มาพบกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์จะทำให้เขาได้รู้เรื่องอะไรมากขนาดนี้ แต่ในที่สุด…เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับยมโลกกันแน่