ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 384: การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (1)
บทที่ 384: การรวมกันของพลังหยินทั้งสาม (1)
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเยือกเย็นและสั่นเทาในบางครั้ง “คุณฉิน คุณไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เมืองกู่เฉิงเป็นเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นใหม่ ตั้งแต่มันเป็นที่รู้จัก มันก็มี…คฤหาสน์ผีสิงเกิดขึ้น”
อารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลอกกันได้ ในฐานะของคนในพื้นที่ หลู่ผิงอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเริ่มพูดถึงคฤหาสน์ผีสิงดังกล่าว แม้แต่มือที่กำลังจับพวงมาลัยของเขาเองก็เริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
“สถานที่อื่น ๆ อาจมีเรื่องราวที่คล้ายกันซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่คฤหาสน์ผีสิงของเมืองกู่เฉิง…เป็นความจริง 100% ผมกล้าพูดเลยว่าคนแทบจะทั้งเมืองได้เห็นและประสบมาด้วยตนเองทั้งสิ้น… ตั้งแต่ที่พวกเรายังเด็ก พวกเราทั้งหมดล้วนโตมากับเรื่องเล่าที่แสนน่ากลัวนี้…” เสียงของเขาสั่นเทาด้วยความกลัวที่ไม่สามารถบรรยายได้
“ผมเล่าต่อเอง” เฉินเหนียนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่พุ่งพล่านภายในใจของหลู่ผิง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่เปิดแฟ้มเอกสารในมือ “ชุมชนตงเฉิงเคยเป็นสุสานขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงยุค 50 ไปจนถึง 80 จากนั้นทางชุมชนก็ถูกใช้โดยสหกรณ์การเกษตร ซึ่งจากนั้นไม่นานก็ถูกนำไปใช้ใหม่โดยโรงงานผลิตหนัง ตั้งแต่ช่วงกลางของยุค 80 เมื่อโรงงานประสบผลสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งเมืองจึงเริ่มสร้างหอพักและที่อยู่อาศัยขึ้นในบริเวณใกล้เคียง นี่จึงเป็นที่กำเนิดของชุมชนตงเฉิง”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ยุค 80 คือช่วงที่โรงงานสารเคมีรุ่งเรือง ตอนนั้น บ้านพักและที่อยู่อาศัยไม่ได้ถูกสร้างไว้ซื้อขาย แต่เพื่อมอบหมายและแจกจ่ายให้คนงาน ดังนั้น ในยุค 90 เมื่อนายกรัฐมนตรีตัดสินใจในการปรับโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจ มันก็ทำให้เกิดการเลิกจ้างมากมาย และทั้งชุมชนในตอนนั้นก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก
มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไรที่จะได้ยินว่าคนสามรุ่นของตระกูลทำงานอยู่ในโรงงานเดียวกัน อันที่จริง ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนภาคภูมิใจมากที่พวกเขาสามารถทำงานในรัฐวิสาหกิจพวกนี้
เฉินเหนียนเอ่ยต่อ “แต่… มันก็ยังมีเหตุการณ์เกี่ยวกับอาถรรพ์เกิดขึ้นในพื้นที่แถวนั้นอีกด้วย และเกิดขึ้นก่อนที่มันจะกลายเป็นชุมชนตงเฉิงเสียอีก มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าอย่างน้อย 3 ในสิบของผู้อยู่อาศัยในเมืองกู่เฉิงล้วนเคยประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาแล้วทั้งสิ้น และเหตุผลที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนเคยทำงานในโรงงานผลิตหนังที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์ในตอนนั้นยังไม่ได้อันตรายถึงชีวิต อย่างมากที่สุดพวกมันก็ทำให้เราตกใจเท่านั้น”
“ต่อมาในยุค 90 โรงงานผลิตหนังก็เริ่มซบเซา จนกระทั่งล้มละลายลงไปในท้ายที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงชุมชนที่ถูกก่อสร้างขึ้นรอบ ๆ โรงงานเท่านั้น หลังจากปรึกษาหารือกัน ผู้จัดการโรงงานและคนงานก็ตัดสินใจที่จะขายที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานเสีย แต่…การดำเนินการขุดก็ทำให้เกิดเหตุขึ้น”
รถของคนทั้งหมดเริ่มเลี้ยวเข้าสู่ใจกลางเมือง แต่แล้วพวกเขาก็เลี้ยวอีกครั้งเพื่อเข้าไปสู่ถนนแคบ ๆ ด้านข้างที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ทั้งสองฝั่งทาง
ขณะที่พวกเขายังคงขับต่อไป เฉินเหนียนก็เอ่ยต่อ “เมื่องานรื้อถอนเริ่มขึ้น บริษัทก่อสร้างได้เชิญนักพรตเต๋าอู๋เหว่ยกวนที่อยู่ที่ภูเขาซานเซียนให้มาช่วยคุมงานที่นี่ พวกเราไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในคืนนั้น…ทั้งพื้นที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงกว่าพันคน มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นบางอย่างนอกหน้าต่าง! แต่พวกเธอกลับไม่เห็นคนเลยแม้แต่คนเดียว! เช้าวันต่อมา เราก็พบร่างของนักพรตเต๋าอู๋เหว่ยกวนนอนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นที่รื้อถอน เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด แต่ถึงกระนั้น ผู้พัฒนาก็ไม่ต้องการที่จะเสียเงินลงทุนไปโดยสูญเปล่า ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินงานต่อไป”
“นี่จึงนำไปสู่การพัฒนาของชุมชนตงเฉิง ในตอนนั้น มันใช้ชื่อว่าชุมชนเหมาหยวน มันเป็นชุมชนการค้าแห่งแรกของเมืองกู่เฉิง พอมาลองนึกย้อนดู มันค่อนข้างแปลกมากที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติพวกนั้นหายไปทันทีที่งานก่อสร้างเสร็จสิ้น อย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อตอนที่ชุมชนเหมาหยวนถูกนำไปรวมกับแผนการพัฒนาใหม่ของผู้พัฒนาอีกคนหนึ่ง หากพูดตามตรง มันก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลที่จะรวมชุมชนเหมาหยวนเข้าไปในแผนการพัฒนานี้ด้วยเมื่อดูจากอายุของมัน แต่แล้ว…”
ฉินเย่หลับตาลงและคาดเดาออกมา “เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น?”
เฉินเหนียนสูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยักหน้า “มันแย่กว่าครั้งแรกที่เกิดขึ้นในปี 98 เสียอีกครับ! ครั้งนี้มันทำให้เกิดเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นถึงสิบกว่าแห่ง และทั้งหมดก็เกิดขึ้นภายในสถานที่ปิดตายทั้งสิ้น จำนวนผู้เสียชีวิตบอกพวกเราว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน และที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือกล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพคนเข้าออกในระหว่างช่วงเวลาที่เกิดเหตุได้เลย! เมื่อประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทางหน่วยสอบสวนพิเศษจึงจัดให้เมืองกู่เฉิงเป็นเขตนักล่าในที่สุด”
เฉินเหนียนเอ่ยจบ แต่ทุกคนก็ยังคงเงียบดังเดิม
พวกเขาทุกคนรู้ถึงความหมายของเขตนักล่าเป็นอย่างดี – มันแสดงถึงพื้นที่ซึ่งมีวิญญาณร้ายขั้นยมทูตขาวดำปรากฏอยู่! เมืองกู่เฉิงเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่สืบสวนธรรมดา ๆ จากหน่วยสอบสวนพิเศษอยู่เพียงไม่มากกว่าสิบคนเท่านั้น พวกเขาจะสามารถจัดการกับสิ่งที่ร้ายกาจและทรงพลังอย่างนั้นได้อย่างไร?
“น่าเสียดายจริง ๆ” ฉินเย่เป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “อู๋เหว่ยกวนน่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณเป็นอย่างน้อย หรืออาจจะขั้นยมทูตขาวดำด้วยซ้ำ”
“หืม? เป็นไปได้อย่างไรกัน?” “ขะ เขาไม่ใช่แค่ผู้ฝึกตนธรรมดาหรอกหรือ?” “หากเขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำจริง เขาก็คงได้รับสิทธิพิเศษมากมายไปแล้ว! เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเคยได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน?”
ฉินเย่ส่ายหน้า “ผมเคยเห็นมาก่อน ผู้ฝึกตนบางกลุ่มนั้นใช้วิชาลับบางอย่างเพื่อปกปิดพลังที่แท้จริงของตนเอง เขาคาดว่า…เขาคงจะค้นพบถึงสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับชุมชนเหมาหยวนในตอนที่มันถูกรื้อถอนครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงพยายามปราบปรามสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในด้วยอาณาเขตเวทของตัวเอง แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งมาก และทั้งสองฝ่ายก็จบลงด้วยบาดเจ็บสาหัส แต่สุดท้ายแล้ว นักพรตเต๋าผู้นั้นก็ไม่สามารถต้านทานบาดแผลของตัวเองได้ และจากไปจากโลกนี้โดยไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับมุมมองใหม่นี้
“ผมก็แค่คาดเดาเท่านั้น” ฉินเย่ไม่ได้สนใจว่าคนพวกนี้จะเชื่อเขาหรือไม่ เพราะอย่างไรแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากเงื่อนงำเดียวที่เขามี – ซึ่งนั่นก็คือเขตนักล่านั้นตั้งอยู่ภายใต้ชุมชนเหมาหยวน ไม่เหมือนกับเขตนักล่าอื่น ๆ เขาไม่จำเป็นต้องหาเบาะแสเพื่อระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของมัน นี่เป็นข่าวดีสำหรับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่นานนัก
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์เหนือธรรมชาติแปลกประหลาดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันสามารถมองได้จากหลายมุมมอง วิญญาณสามารถอาศัยอยู่ได้ในทุกที่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถกระตุ้นมันได้! หากไม่มีเหตุผลที่แปลกประหลาดหรือสิ่งที่กระตุ้นมัน นั่นก็ย่อมหมายความว่าวิญญาณตนนี้…ดุร้ายเป็นอย่างมาก!
กร๊อบ กร๊อบ…ฉินเย่หักข้อนิ้วของตนเอง นี่เจ้าดุร้ายจนไม่สามารถต้านทานกลิ่นและรสชาติของเลือดเนื้อได้เลยอย่างนั้นหรือ? ขอภัย แต่ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าข้าสามารถดุร้ายได้เพียงใดกับเหล่าวิญญาณที่อยู่ต่ำกว่าขั้นตุลาการนรก
แต่…วิญญาณตนนี้มันเกี่ยวอะไรกับสัญลักษณ์ 水 บนใบหน้าของเขา? หรือว่ามันเป็นวิญญาณตัวเดียวกันกับที่หมายจะลอบสังหารเขาตอนอยู่ที่สถานีรถไฟกัน? หากไม่ใช่…
เรื่องในเมืองกู่เฉิงก็อาจจะแปลกกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้
บางที…เหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
“เอาล่ะ ผมว่าเมื่อได้เห็นเราก็คงรู้เอง ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณของตัวเอง หากนักพรตเต๋าผู้นั้นรู้ว่าตนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจะต้องทิ้งร่องรอยหรือคำใบ้ไว้สำหรับผู้ที่มารับหน้าที่ต่อจากตัวเองแน่”
ขณะนั้น รถก็หยุดลง
พื้นที่ตรงหน้าของพวกเขาถูกปิดล้อมจนหมด ไม่ใช่ด้วยเทปธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสายโซ่ที่ถูกแปะด้วยยันต์และกระดิ่งจำนวนมาก ประชาชนโดยรอบถูกอพยพไปจนหมด เหลือไว้เพียงแต่พวกตำรวจและทหารที่กำลังลาดตระเวนอยู่บริเวณใกล้เคียง
ช่างเป็นพลังหยินที่รุนแรงจริง ๆ…หัวใจของฉินเย่เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย วิญญาณในที่แห่งนี้จะต้องอยู่ขั้นยมทูตขาวดำระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย…และอีกฝ่ายก็อยู่ห่างจากการบรรลุเป็นขั้นตุลาการนรกอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น… เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่? โศกนาฏกรรมใดกันที่ทำให้วิญญาณร้ายตนนี้ปักหลักอยู่ที่นี่ พยายามทำลายแดนมนุษย์เพื่อตอบสนองต่อความโกรธเกรี้ยวของมัน?
พวกเขาลงจากรถ และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่อยู่โดยรอบก็รีบทำความเคารพผู้มาใหม่ทั้งหมดทันที หลู่ผิงพยักหน้าและเดินนำเข้าไป
สถานที่ซึ่งถูกปิดล้อมเป็นเพียงทางเดินแคบ พวกเขาเดินไปตามทางเดินและเลี้ยวเข้าไป และทันทีที่ทำเช่นนั้น ดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวและเบิกกว้างขึ้น
มันคือพื้นที่ก่อสร้าง พื้นที่ทั้งหมดยังคงถูกกั้นเอาไว้ แต่มันกลับไม่เคยถูกใช้งานเลยแม้ตอนนี้ กลับกัน มันยังคงดูน่าขนลุกและเงียบสงัดดังเดิม
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่าร้อยนายยืนประจำการอยู่รอบพื้นที่โดยเล็งปากกระบอกปืนของตนมาที่พื้นที่ก่อสร้าง ขนาดของพื้นที่ก่อสร้างเองก็ไม่ได้ใหญ่มากเช่นกัน อย่างน้อยมันก็มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับชุมชนปกติที่มักจะเห็นในเมืองหลวง แต่บรรยากาศตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นกลับทำให้มันดูราวกับเป็นเส้นแบ่งระหว่างดินแดนของคนเป็นและคนตายไม่มีผิด มันไม่ต่างอะไรกับการมีม่านบาง ๆ มาคอยป้องกันไม่ให้สิ่งดุร้ายบางอย่างหลุดไปยังแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่มองไปรอบ ๆ ทิวทัศน์ที่เขียวขจีนั้นค่อนข้างน่าประทับใจ ต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงล้วนแล้วแต่เป็นต้นไทรจีนที่วูบไหวไปมาตามสายลม
อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือภาพของย่านที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีประชาชนอาศัยอยู่ แต่เวลานี้ มันกลับเงียบสนิทไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บศพ เสียงกรอบแกรบของใบไม้ ราวกับเสียงของวิญญาณจำนวนมากที่กำลังขีดข่วนอยู่ที่บานประตู ขอให้ตนได้เข้ามายังแดนมนุษย์ มันทั้งน่ากลัวและน่าขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ
“เหล่าเฉิน” ทันทีที่พวกเขาไปถึง ชายสามคนในชุดปฏิบัติการสีขาวก็รีบเดินเข้ามา แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นฉินเย่ ทั้งสามก็อ้าปากค้างและใบหน้าพลันแดงก่ำด้วยความดีใจทันที พวกเขารีบวางเอกสารในมือและประทับกำปั้นไว้ที่อกขณะที่เอ่ยแนะนำตัว “นะ นักวิจัยฝึกหัดของ SRC เสิ่นโม่ ทำความเคารพท่านผู้สืบสวนระดับสูง!”
“ข้ามเรื่องที่ไม่จำเป็นแล้วบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดให้ผมรู้ที” ฉินเย่พยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปมองที่พื้นที่ก่อสร้าง
มันดูไม่ต่างอะไรกับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีเพียงทางเข้าและทางออกเลยสักนิด พื้นที่ส่วนอื่น ๆ ล้วนถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เส้นเล็กหลายชั้น ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไป รูม่านตาของฉินเย่ก็หดเล็กลงทันที!
ฟิ้ว~… ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่ามันคือเสียงของลมหรือเสียงร้องอันโหยหวนกันแน่ และในไม่กี่เสี้ยววินาทีต่อมา ทั่วทั้งพื้นที่ก็มืดลงเล็กน้อย แทบจะเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์ได้ถูกกลืนกินไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะค่อย ๆ กลับมาสว่างดังเดิมอีกครั้ง
อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ด้านนอกมีอุณหภูมิประมาณ 20 องศา แต่พื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่กลับอยู่แค่ประมาณ 15 องศาเท่านั้น! เครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดถูกวางอยู่ทั่วราวกับโลงศพขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เงาขนาดใหญ่ของพวกมันที่ทอดลงบนพื้น…เวลานี้กลับดูเหมือนว่ามันขยับเล็กน้อย…
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามันคือตำแหน่งที่คนทั้งหมดขุดลงไป หากมองอย่างผิวเผิน มันดูไม่ต่างอะไรกับหลุมธรรมดาทั่วไป แต่สิ่งที่สายตาของฉินเย่มองเห็นนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง – เขาเห็น…เปลวไฟขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้นมาจากในหลุม!
มันแทบจะเหมือนกับว่าหลุมตรงหน้านี้คือขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 มันเต็มไปด้วยเปลวไฟนรกและเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน มันยังมีแม้กระทั่งมือสีดำกว่าร้อยมือที่ยื่นออกมาจากหลุม พยายามเกาะที่ปากและผนังของหลุมอย่างสุดความสามารถในขณะที่ยังคงร้อยโหยหวนสุดเสียง ก่อนจะค่อย ๆ ถูกลากกลับลงไปยังหลุมที่ดูเหมือนจะไร้ก้นบึ้งนี้
มันแทบจะเหมือนกับว่ามีผู้คนหลายร้อยกำลังพยายามที่จะปีนออกมาจากหลุมเพื่อหลบหนีจากการทรมานอันไร้ที่สิ้นสุด เพียงเพื่อที่จะถูกลากกลับไปยังนรกด้วยเสียงกรีดร้องที่สิ้นหวัง
“ตายจากการถูกเผาไหม้?” ฉินเย่ยังคงเงียบ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมองเห็นชีวิตและความตายของวิญญาณได้เมื่อเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรก อาร์ทิสไม่เคยพูดถึงพลังนี้ให้เขาฟังมาก่อน
หรือว่า…นี่คือข้อดีของการที่เป็นยมทูตของยมโลกอย่างเต็มตัว? มันแตกต่างไปจากพวกวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเราอย่างแท้จริง…
“มันแปลกที่เราไม่สามารถอ่านค่าพลังหยินของพื้นที่แห่งนี้ได้เลย” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นข้าง ๆ ฉินเย่ ส่งผลให้เด็กหนุ่มกลับมาได้สติ เด็กหนุ่มหันไปมองเสิ่นโม่ ผู้ที่ตอนนี้ถือยันต์แปดเหลี่ยมไว้ในมือขณะที่มองลงไปจากปากหลุม
ฮือออออ…
มันราวกับมีผู้คนจำนวนมากกำลังพูดคุยอยู่รอบ ๆ พวกเขา และวิญญาณนับพันก็ร้องโหยหวนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้น ฉินเย่ก็ได้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ
หลุมของโครงกระดูกนับพัน!
ก้นหลุมน่าจะอยู่ลึกลงไปประมาณ 5-6 เมตรจากระดับพื้นดิน แต่…ที่ก้นหลุมกลับไม่มีหินอยู่เลยสักก้อน กลับกัน…มันเต็มไปด้วยโครงกระดูกจำนวนมาก!
มันคือโครงกระดูของร่างที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน และโครงกระดูกของคนที่มีลักษณะท่าทางต่าง ๆ ทุกอย่าง รวมถึงหัวกะโหลก ซี่โครง และกระดูกส่วนอื่น ๆ ล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน! มันเป็นภาพที่ทำให้หัวตื้อไปหมด!
แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือ…ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันล้วนสวมเสื้อผ้าอยู่ทั้งหมด! และเสื้อผ้าที่ยังใหม่เอี่ยมเสียด้วย!
แต่มันก็อาจจะไม่เหมาะนักที่จะบอกว่าทั้งหมดนี้คือเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเสื้อผ้าในสมัยยุค 40 และยุค 50 ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตลายดอกและเสื้อคลุมสีขาว แต่ถึงกระนั้น…ทุกอย่างกลับดูเหมือนเดิมทุกประการ ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน!
เป็นไปได้อย่างไร?!
หลังจากที่ถูกฝังมาเป็นเวลานาน เสื้อผ้าของพวกเขาควรจะย่อยสลายและเน่าไปนานแล้ว แต่แล้ว…เสื้อผ้าพวกนี้กลับดูไม่ต่างอะไรกับดวงตาที่ยังคงเปิดอยู่แม้ว่าจะตายไปแล้ว จ้องมองมายังผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยความเคียดแค้นมหาศาล!
“นี่คือรายงานล่าสุดครับ” เสียงของเสิ่นโม่สั่นเทาเล็กน้อย “อันที่จริง…ก่อนหน้าที่จะถูกใช้เป็นโรงงานผลิตหนัง ที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสุสานขนาดใหญ่มาก่อน และมัน…ก็มีอดีตที่น่าสะพรึงกลัว…”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ในช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น [1] ที่นี่…คือโรงงานผลิตผ้าไหมแห่งที่แปดของมณฑลเจียงซูที่ถูกยึดโดยกองกำลังญี่ปุ่น”
“มีคนงานอยู่ทั้งสิ้น 200 คน และทั้งหมดก็ล้วนเป็นผู้หญิง จากนั้น ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่สงครามจะจบลง พวกเธอทั้งหมดก็หายตัวไปครับ”
[1] สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1937-1945