ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 392: ตะเกียงเถาฮวา
บทที่ 392: ตะเกียงเถาฮวา
นี่คือสิ่งที่ท่านควรพูดเมื่อมาเยี่ยมผู้ป่วยที่บาดเจ็บสาหัสอย่างนั้นหรือ?
ต้องพูดเลยว่าหลังจากที่กลับมายังดินแดนของตัวเอง ความเกรี้ยวกราดของฉินเย่ก็เพิ่มสูงขึ้นมาก เขาปรายตามองอาร์ทิสอย่างเย็นชา “หากท่านสามารถรอดจากการโจมตีของทหารวิญญาณกว่า 6 หมื่นตนที่ถูกนำโดยขั้นตุลาการนรก 13 ตน และยังกลับมาเล่าต่อได้ ข้าจะยอมเปลี่ยนไปใช้สกุลท่านทันที”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปและหุบรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของตนทันที “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงมีทหารวิญญาณอยู่ที่นั่น? เล่ามาให้หมด อย่าขาดไปแม้แต่นิดเดียว!”
ทันใดนั้นเอง เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาจากทางประตู และโนบูนางะและกู่ชิงก็เดินเข้ามาพร้อมกัน “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเหตุใดท่านฉินจึงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูนรกในวันนั้น แถมร่างยังเปียกโชกไปด้วยเลือด ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านทำให้ทุกคนในยมโลกตกใจมากเพียงใด? ผู้ใดกันที่สามารถทำให้ท่านบาดเจ็บได้ถึงเพียงนั้น?”
ชุดเกราะของโนบูนางะมีรอยร้าวและแตกในหลาย ๆ จุด และมันเผยให้เห็นแม้กระทั่งร่องรอยของพลังหยินที่เดือดพล่านอยู่ภายในรอยแตกนั้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และยังแผ่รัศมีของความยิ่งใหญ่และความดุดันของราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับญี่ปุ่นเมื่อสี่ร้อยปีก่อนออกมาอีกด้วย
สีหน้าของกู่ชิงเองก็แฝงไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง เพราะอย่างไรแล้ว ฉินเย่ก็เป็นเสาหลักของการสนับสนุนของยมโลก พวกเขาสามารถสูญเสียใครก็ได้ในยมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ยมโลกจะเต็มไปด้วยผู้ที่มีพรสวรรค์อีกครั้ง แต่คนเดียวที่ไม่สามารถแทนที่ได้ก็คือตัวของฉินเย่เอง
เมื่อตัดความเจ้าเล่ห์และความเอาแต่ใจของเด็กหนุ่มออกไป ฉินเย่ก็ไม่เคยทำผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียวเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญและเรื่องของยมโลก
มันแทบจะเหมือนกับว่าเขามีแผนการอยู่ภายในหัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อไม่นานมานี้ ห้องโถงเพิ่งได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ มันเต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกในการฟื้นฟูของฉินเย่ ฉินเย่หันไปมองโนบูนางะอย่างสงสัย “นี่มันอะไรกัน?”
“ตามคำสั่งของท่าน” โนบูนางะยิ้มตอบ “เมื่อครึ่งเดือนก่อน ข้าได้นำทหารวิญญาณไปยังประตูทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฟิงตู ที่ซึ่งเราสามารถยึดป้อมปราการกลับมาได้ถึงเจ็ดแห่ง ตอนนี้มันได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นฐานทัพชั่วคราวของยมโลกแห่งใหม่ หากท่านฉินมีเวลาว่าง ข้าก็ขอเชิญท่านให้เดินทางไปดูมันด้วยตัวของท่านเอง”
การต่อสู้ครั้งแรกกับแมลงแห่งหายนะจบลงแล้วอย่างนั้นหรือ?
แววตาของฉินเย่วูบไหวอย่างรุนแรง และความตื่นเต้นภายในใจของเขาก็ทำให้เขาลืมเลือนความเจ็บปวดที่หัวไหล่ไปจนหมด นี่คือก้าวสำคัญของยมโลก เพราะอย่างไรแล้ว ทุก ๆ เป้าหมายของยมโลกนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของภารกิจของโนบูนางะ การสำรวจดินแดนไปสู่มณฑลซานตงจำเป็นต้องให้ทหารทุกนายของพวกเขาสวมชุดเกราะที่ถูกทำขึ้นมาจากกระดองของแมลงแห่งหายนะ และนอกจากนี้…ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีความคืบหน้าในยมโลกแห่งเก่าก็หมายความว่าสมบัติชิ้นอื่น ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในส่วนลึกของยมโลกแห่งเก่าก็จะสามารถนำออกมาได้ เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก!
นอกจากนี้ ฉินเย่รู้ดีว่าความสำเร็จของโนบูนางะในครั้งนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองข้ามได้ เขาเองก็เคยไปที่เมืองเฟิงตูมาก่อน และเขาก็รู้ดีว่ากำแพงของเมืองเฟิงตูนั้นยาวเพียงใด เขารู้ดีว่าการจะสามารถยึดครองป้อมปราการของยมโลกแห่งเก่ามาได้สักแห่งหนึ่งจำเป็นต้องใช้การเสียสละมากเพียงใด การที่สามารถได้ผลลัพธ์เช่นนี้โดยที่ถูกล้อมรอบด้วยแมลงแห่งหายนะนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
“แล้วจำนวนผู้สูญเสียเล่า?” ฉินเย่ยังคงถามออกไปเสียงเรียบ แม้ว่าเขาจะเผลอละทิ้งบุคลิกที่เย็นชาและห่างเหินของตัวเองต่อหน้าโนบูนางะไปแล้วหลายครั้งก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วที่จะรักษาบุคลิกนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
“ทหารวิญญาณ 2,500 นาย” โนบูนางะประสานกำปั้นและเอ่ยรายงาน “โดยธรรมชาติแล้วพวกแมลงแห่งหายนะจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่จะต้องแบ่งกองกำลังออกเป็นหลายส่วนเพื่อแบ่งแยกพวกมันและเอาชนะ หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมของท่านโจวช่วยได้มากทีเดียว แม้ว่ากระดองของแมลงแห่งหายนะจะไม่สามารถถูกทำลายได้โดยเปลวไฟ แต่เปลวไฟแห่งกรรมก็สามารถทำลายพวกมันจากภายในได้ จากการเดินทางครั้งนี้ เราได้ใช้จำนวนสลักเกลียวไปทั้งสิ้น 83,542 ดอก และสังหารแมลงแห่งหายนะไปมากกว่า 100,000 ตัว!”
เยี่ยมยอด!
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับวัสดุสำหรับการทำชุดเกราะในยมโลกไปอีกสักพักใหญ่ ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่ทำให้พวกเขาไม่ได้เดินทางไปยังมณฑลซานตงทันทีก็คือผลลัพธ์จากการเดินทางไปยังยมโลกแห่งเก่าของโนบูนางะในครั้งนี้ รวมถึงการปักตะเกียงหวนหยางเพื่อนำทางอีกด้วย
อสูรวิญญาณ… นั่นจะเป็นจุดที่จะทำให้หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง!
“แล้วเจ้าเล่า เหล่ากู่?” ฉินเย่อารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก เขาหันไปถามกู่ชิงด้วยรอยยิ้มจริงใจ
กู่ชิงยิ้มตอบ “ท่านฉิน ช่วงนี้ที่ยมโลกไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญอะไร หลังจากการประชุมหลายครั้ง พวกเราได้สรุปกันว่ามันอาจจะเป็นการดีกว่าหากยมโลกจะเปิดตัวระบบการเงินหลังจากที่เมืองท่าแห่งใหม่ได้รับการเปิดตัวในที่สุด ไม่เช่นนั้น ผลผลิตที่น้อยนิดของยมโลกในตอนนี้คงไม่สามารถที่จะสนับสนุนและสร้างความมั่นคงให้กับระบบการเงินได้ แทนที่จะปล่อยให้มันพังทลายลงในอนาคตอันใกล้และพยายามนำมันกลับมาหลังจากนั้น มันน่าจะเป็นการดีกว่าที่จะเปิดตัวมันในช่วงเวลาที่เหมาะสม ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยเราประหยัดทรัพยากรซึ่งสามารถส่งไปยังพื้นที่ได้มากขึ้น”
ฉินเย่พยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น
เขาไม่ใช่พระเจ้า ยมโลกคือเมืองที่เพิ่งอยู่แค่ขั้นแรกเริ่มของการพัฒนาเท่านั้น แต่มันกลับจะต้องถูกใช้ให้เป็นบ้านของวิญญาณนับพันล้านภายใน 100 ปี แน่นอน ฉินเย่สามารถทำได้เพียงออกนโยบายระดับทั่วไปที่สุดโดยพิจารณาถึงข้อกำหนดดังกล่าว แต่รายละเอียดเฉพาะและการดำเนินการตามนโยบายเหล่านี้ตกเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีเวลาและความเชี่ยวชาญมากกว่าเขาในการจัดการกับการพิจารณาในทางปฏิบัติ
“แต่เรายังมีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือการก่อตั้งของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลกได้สรุปออกมาแล้ว และทางเราก็คาดการณ์ว่ามันน่าจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการก่อนที่การเดินทางสำรวจดินแดนทางตะวันออกจะเริ่มต้นขึ้น”
“อย่างนั้นหรือ?” แววตาของฉินเย่เป็นประกาย “เหล่ากู่ เจ้าได้เห็นถึงความสำคัญและอิทธิพลของสื่อมาแล้วด้วยตนเอง และเจ้าก็คงจะรู้ดีกว่าผู้ใดว่าสื่อนั้นเป็นกระบอกเสียงของชาติ ข้าจะไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะสามารถจัดการกับรายละเอียดต่าง ๆ ในเรื่องนี้และหาผู้สมัครที่เหมาะสมในการมารับหน้าที่ผู้นำอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
“รับทราบ” กู่ชิงโค้งคำนับ “จนถึงตอนนี้…ผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดที่ทางเราได้เลือกมาสำหรับรับหน้าที่ผู้บริหารของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลกก็คือชางเจี๋ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประชาบาลและโฆษณาการ เขาคือหนึ่งในพิธีกรหลักของสถานีโทรทัศน์ในเมืองไดซาน ฝีมือค่อนข้างดี นอกจากนี้ มันเป็นเพราะว่าข้ารู้ดีว่าสื่อนั้นแสดงถึงภาพลักษณ์ของชาติ ข้าจึงมารายงานเรื่องนี้กับท่านฉินด้วยตัวเอง หากท่านอนุมัติ ข้าจะเริ่มจัดการเรื่องทั้งหมดต่อในทันที”
ทันทีที่การเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันออกเริ่มขึ้น โนบูนางะจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองนรก ในขณะที่กู่ชิงจะทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ของอาร์ทิส ฉินเย่ได้สั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าทั้งสองจะต้องให้ความร่วมมือกันและกันอย่างเต็มที่ในการทำงาน
“หากเจ้าได้ปรึกษาหารือเรื่องนี้กับโนบูนางะแล้ว เจ้าก็สามารถจัดการได้เลย” ฉินเย่โบกมืออย่างผ่าน ๆ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักไป
เขาเผลอโบกมือขวาของตัวเอง
และนั่นก็บังเอิญว่าเป็นแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บอย่างพอดิบพอดี
แต่…บาดแผลบนไหล่ของเขาที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล…กลับหายดีแล้ว?
ฉินเย่ตกตะลึง แต่อาร์ทิสกลับเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับเป็นเรื่องปกติ “เหตุใดท่านจึงดูตกใจนัก? ท่านคือจ้าวผู้ปกครองหนึ่งในสามโลก มันจึงใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันเท่านั้นในการฟื้นตัวจากบาดแผล หากพูดกันตามตรง ยมโลกแห่งใหม่สามารถฟื้นฟูดวงวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บให้กลับมาสมบูรณ์ได้ด้วยซ้ำ ตราบใดที่ดวงวิญญาณของท่านยังไม่ถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ โดยศัตรู”
ยมโลกสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือ?
ฉินเย่ถอดผ้าพันแผลของตนออกและเขาก็พบว่าไหล่ของเขากลับมาดีดังปกติแล้ว หากพูดกันตามความจริง มันไม่มีแม้แต่ร่องรอยหรือรอยแผลจาการบาดเจ็บที่เขาได้รับด้วยซ้ำ
ดีมาก…
เขาค่อย ๆ ไล่นิ้วไปตามไหล่ของตัวเอง และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก หากอีกฝ่ายไม่สามารถฆ่าเขาได้ เช่นนั้น…มันก็ถึงเวลาโต้กลับแล้ว!
พยายามจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายใช่หรือไม่?
นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาไม่มีกำลังหนุนเลยอย่างนั้นหรือ?
คอยดูเถิด คนพวกนั้นจะต้องตัวสั่นเทาเมื่อได้เห็นเทพแห่งสงครามในตำนานอย่างโนบูนางะเดินเข้าไปในสนามรบ! ทีนี้เราก็มาเล่นเกมกัน สหาย!
“โนบูนางะซัง” ฉินเย่กัดฟันแน่น “รีบรวบรวมกองกำลังทั้งหมด…และไปที่เมืองกู่เฉิงกับข้า! พวกเราจะกำจัดวิญญาณที่นั่นทั้งหมด! ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว!”
เจ้ากล้าลอบสังหารว่าที่จ้าวนรกแห่งยมโลกอย่างนั้นหรือ? เจ้าพวกกบฏ! วิญญาณทุกตนในเมืองกู่เฉิงล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และจะไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากอาชญากรรมในครั้งนี้ไปได้! เราจะสร้างตัวอย่างให้วิญญาณตนอื่น ๆ! ไม่เช่นนั้น วิญญาณพวกนี้จะหวาดกลัวและหวั่นเกรงในการมีอยู่ของยมโลกได้อย่างไรกัน?!
ชาติใหญ่ ๆ ทุกชาติล้วนได้รับความเคารพที่พวกเขาสมควรได้
พวกเขาจะต้องได้รับการเคารพในฐานะของนักบุญจากภายใน และในฐานะของกองกำลังที่แข็งแกร่งจากภายนอก!
“เดี๋ยวก่อน” อาร์ทิสยกมือขึ้น “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน? ท่านคือผู้ที่ได้กลิ่นภยันตรายดีกว่าวิญญาณตนใด ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถทำให้ท่านอยู่ในสภาพนั้นได้ย่อมหมายความว่า…เราจะประมาทพวกมันไม่ได้เด็ดขาด”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เมืองกู่เฉิงให้คนทั้งหมดฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงระคนหวั่นสะพรึงเมื่อได้ยินเกี่ยวกับการมีอยู่ของกองกำลังทหารวิญญาณกว่า 6 หมื่นนายที่ถูกนำโดยขั้นตุลาการนรก 13 ตน
นี่คือกองกำลังที่แข็งแกร่งมากพอที่จะยึดครองเขตทั้งเขตของจีน! นอกจากนี้ มันยังเป็นที่ชัดเจนอีกด้วยว่ากองกำลังที่ฉินเย่เจอนั้นคือกองกำลังพันธมิตรหรืออะไรแนวนั้น!
“ฆ่ามัน เราจะต้องกำจัดพวกมันเสียให้สิ้นซาก” ดวงตาของโนบูนางะวาวโรจน์อย่างดุเดือด “ท่านฉิน โปรดวางใจ ท่านไม่ได้มากว่าสองวัน และกองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลกก็ได้พักมาเป็นเวลาห้าวันแล้วนับตั้งแต่การออกรบครั้งล่าสุด ข้าจะไประดมกองกำลังทั้งหมดและตามท่านกลับไปยังเมืองกู่เฉิงเพื่อกำจัดกองกำลังของศัตรูทันที!”
“ช้าก่อนเถิด!!” กู่ชิงรีบเอ่ยแทรกขึ้น “โอดะซัง พวกเรากำลังพูดถึงกองกำลังทหารกว่า 6 หมื่นนายและขั้นตุลาการนรกอีก 13 ตนนะ การส่งกองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลกไปสู้กับกองกำลังเช่นนั้น…ไม่ต่างอะไรกับการปาไข่ใส่หิน พวกเราไม่สามารถสูญเสียไข่ทั้งหมดที่มีไปแบบนั้นได้!!”
โนบูนางะส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “เหล่ากู่ เราไม่สามารถอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำสิ่งใดเลยได้ หากราชวงศ์ถังต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเองก็ต้องยอมทุ่มสุดกำลังเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเป็นแน่! ชาติจะต้องยิ่งใหญ่สมชื่อของมัน! เจ้าคิดว่าการกระทำของพวกมันหมายความว่าอย่างไร? มันคือการก่อกบฏ! เราจะยอมนิ่งเฉยและทนต่อการกระทำเช่นนั้นได้อย่างไร?!”
แต่ถึงกระนั้น เขากลับมีรอยยิ้มแปลกประหลาดพร้อมกับพูดว่า “แต่มันก็คงเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ตัวข้าเองก็ไม่ได้โง่พอที่จะปะทะกับกองกำลังทหาร 6 หมื่นนายโดยตรง…”
“เช่นนั้นท่าน–…” กู่ชิงสับสนไปหมด การหารือในตอนนี้เริ่มมุ่งไปยังเรื่องของการทหาร และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างกู่ชิง ผู้ซึ่งมักจะเชี่ยวชาญในเรื่องของกิจการภายในจะเชี่ยวชาญเลยแม้แต่น้อย
“ตะเกียงเถาฮวา” ทันใดนั้น อาร์ทิสที่มองออกไปด้านนอกก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏขึ้นในสถานที่แบบนั้น…”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “ตะเกียงเถาฮวา… นั่นหมายถึงวัตถุหยินที่สามารถทำร้ายข้าได้ใช่หรือไม่? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมาจากที่ใด?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยและถอนหายใจออกมาเสียงเบา “แน่นอน ข้ารู้จักมัน… เพราะว่ามันคือวัตถุหยินที่ท่านอาจารย์ของข้าเคยใช้ และอาจารย์ของข้าก็มีนามว่า…กยาโม-บซา”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว นั่นมันผู้ใดกัน?
“กยาโมบซา…” คนทั้งหมดเงียบไป จนกระทั่งไม่กี่วินาทีต่อมา กู่ชิงก็ลุกพรวดขึ้น “กยาโมบซา? กยาโมบซา?! อาจารย์ของท่าน…คืนนางจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?!”
“ผู้ใดกัน?” ฉินเย่ถามออกไปทันที
กู่ชิงลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวลและจ้องหน้าอาร์ทิสด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ ‘กยาโม’ ในภาษาทิเบตหมายความว่าหญิงสาวเชื้อสายฮั่น ‘บซา’ หมายถึงเทพธิดา เมื่อนำมารวมกันจึงมีความหมายว่าพระชายาชาวจีน ตามประวัติศาสตร์…มีบุคคลเพียงบุคคลเดียวที่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้… ไม่สิ ข้าควรจะบอกว่ามีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวมากกว่า…”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ “องค์หญิงเหวินเฉิง”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปมองอาร์ทิสด้วยสายตาราวกับเห็นผี “องค์หญิงเหวินเฉิง…องค์หญิงเหวินเฉิงในพระเจ้าซรอนซันกัมโปน่ะหรือ?” [1]
อาร์ทิสพยักหน้า
พระเจ้า…
ฉินเย่จ้องมองอาร์ทิสด้วยแววตาเหลือเชื่อ – นี่องค์หญิงเหวินเฉิงทรงเลี้ยงดูแม่มดผู้ชั่วร้ายที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้ซึ่งแปรพักตร์จาก—…
อ่าาา เขาพูดนอกเรื่องอีกแล้ว…
แต่… เขาหมายถึง… ไม่ใช่ว่าความเป็นราชวงศ์และความสง่างามของพระองค์ควรจะตกทอดมาอยู่ที่อาร์ทิสบ้างหรอกหรือ?!!
“นางเป็นเพียงอาจารย์ของข้า! อาจารย์ทางวิชาการความรู้! นี่ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่?!” อาร์ทิสหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดัน “ข้าได้ยินมาว่านางสามารถบรรลุสู่ขั้นฝู่จวินได้ในช่วง 30 ปีก่อนที่ยมโลกจะเกิดการล่มสลายครั้งใหญ่ ตะเกียงเถาฮวาคือวัตถุหยินที่นางรักและหวงแหนมากที่สุดในชีวิต และมันก็ถูกฝังมาพร้อมกับนางในตอนที่นางเสียชีวิต นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึงกลายเป็นวัตถุหยินของนาง ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะถูกนำมาใช้ในเมืองกู่เฉิง!”
“แต่ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว…” ประกายอาฆาตฉายชัดออกมาจากแววตาของนาง “เช่นนั้น…เราก็ต้องนำวัตถุหยินชิ้นนั้นมาจากมือของผู้ที่ไม่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด!”
“โปรดรอก่อน ท่านอรากษส” โนบูนางะเอ่ยแทรกขึ้น “มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ข้าเสนอความคิดเมื่อครู่นี้ขึ้น”
“ประการแรก พวกเขารู้แล้วว่าคนบาปแห่งขงจื๊อได้หลบหนีไปยังแดนมนุษย์ เขาอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในยมโลก แต่เขาคงสามารถเดาได้คร่าว ๆ จากสถานการณ์ในแดนมนุษย์ในเวลานี้ หากท่านเป็นเขา ท่านจะยังอยู่เฉย ๆ ในเมืองกู่เฉิงหลังจากที่ทำตามแผนการไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ?”
ไม่มีทาง
ฉินเย่เอ่ยชมโนบูนางะในใจ และแม้กระทั่งมองไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตาชื่นชม
ชายผู้นี้ควรค่าแก่การถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในแม่ทัพและเทพสงครามที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาลอย่างแท้จริง ฉินเย่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการจะสื่ออะไร เจตนาในการลอบสังหารจ้าวนรกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปกปิดได้ จนถึงตอนนี้ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของยมโลก หากกล่าวด้วยคำพูดของยุคสมัยใหม่ มันก็คงจะเหมือนกับการที่ใครบางคนลอบวางระเบิดสถานทูตจีนในต่างประเทศ หากพิจารณาอย่างจริงจัง ผู้ที่ได้รับผลกระทบคงมีน้อยกว่าผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิดมาก… แต่เหตุใดจีนจึงก้าวออกมาและจัดการเรื่องทั้งหมด และแม้กระทั่งตบหน้าอีกฝ่ายอย่างจัง?
มันคือการแสดงพลังภายใต้ขอบเขตของการปราบปราม
พวกเขารู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะผู้กระทำผิดได้หากต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง การระดมกองกำลังเพื่อเหตุผลนั้นจึงถูกตัดออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำอย่างไรล่ะ?
สถานการณ์ในตอนนี้จึงเหมาะสมที่สุดที่จะทำเช่นนั้น
สู้!
กวาดล้างเขตไล่ล่าและเขตนักล่าทั้งหมดภายในเมืองกู่เฉิง และไม่ปล่อยให้วิญญาณตนใดเหลือรอด!
ผู้กระทำผิดทั้งหมดไม่มีทางรู้ว่ากองกำลังที่ถูกระดมมานั้นคือกองกำลังทั้งหมดของยมโลกแห่งใหม่ การแสดงพลังของพวกเขามีเจตนาเพื่อที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคู่ต่อสู้และยับยั้งกระแสของสงครามก่อนที่มันจะเกิดขึ้น! นี่คือครั้งแรกที่ยมโลกจะแสดงตนให้เป็นที่รู้จักนอกเหนืออาณาเขตของเมืองเป่าอัน และสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือทำให้มันดูยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นคำเตือนแก่เหล่าวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ภายนอกว่าอย่าริอาจคิดที่จะมาเหยียบหางเสือ!
[1] องค์หญิงเหวินเฉิง (628-680/682) พระราชนัดดาในจักรพรรดิถังไท่จงของจีน ที่ซึ่งอภิเษกสมรสกับพระเจ้าซรอนซันกัมโป พระมหากษัตริย์ทิเบตในปี ค.ศ. 640