ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 395: อสูรวิญญาณ - อสูรกลืนวิญญาณระดับสูง
บทที่ 395: อสูรวิญญาณ – อสูรกลืนวิญญาณระดับสูง
เสียงร้องแหลมดังก้องไปทั่วลิมโบ และกลุ่มหมอกพลังหยินโดยรอบก็ผันผวนอย่างบ้าคลั่ง ทุ่งดอกลบความทรงจำโอนเอนไปตามผลของการกรีดร้องนั้น และแม้กระทั่งเสื้อคลุมของอาร์ทิสและฉินเย่เองก็กระพืออย่างรุนแรง ดวงตาของฉินเย่วูบไหวขณะที่เขามองไปยังแหล่งที่มาของเสียง
“นี่มัน…” สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “ขั้นตุลาการนรก?”
“อสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรก” อาร์ทิสเลียริมฝีปากของตัวเอง “อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ลิมโบนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย เป็นธรรมดาที่จะได้เห็นอสูรวิญญาณอยู่แถวนี้ และจงอย่าคิดเกี่ยวกับการฝึกพวกมันให้เชื่องเพื่อใช้มัน พวกมันกินวิญญาณเป็นอาหาร และหากท่านนำมันไปยังยมโลก ข้ารับรองได้เลยว่าประชากรวิญญาณกว่าแสนตนของท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี”
ฉินเย่จ้องมองร่างที่วิ่งเข้ามาหาตนนิ่ง ๆ “มันกล้าดีอย่างไรถึงเข้ามาใกล้ตี้ทิง?”
“พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่ได้บอกท่านอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “กระดิ่งอสูรวิญญาณ…คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่ากระดิ่งของเล่นสำหรับแมว อย่างไรก็ตาม มันสร้างเสียงที่ไม่สามารถต้านทานได้สำหรับอสูรวิญญาณทั้งหมด อีกนัยหนึ่งก็คือ เสียงที่ดังออกมาจะเป็นเหมือนกับเสียงเรียกของโชคชะตา อสูรวิญญาณที่แตกต่างกันอาจจะได้ยินมันต่างกัน – บางทีอาจจะเป็นเสียงเรียกของศัตรู หรืออาจจะเป็นเสียงเรียกของคู่ผสมพันธุ์ ตอนนี้ตี้ทิงกำลังอ่อนแอมาก มากจนไม่สามารถแผ่รัศมีของมันออกมาได้ ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่พวกราชาอสูรวิญญาณจะกล้าเข้ามาใกล้ตี้ทิงในตอนนี้”
ตึ้ง! พื้นเบื้องล่างสั่นสะเทือนอีกครั้ง อสูรขนาดใหญ่ดูไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากม่านหมอก เข้ามาใกล้ฉินเย่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว มันคืออสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรก ฉินเย่มั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งเดียวที่เขาอยากทำตอนนี้ก็คืออยากเห็นว่าราชาอสูรวิญญาณในตำนานนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
ตึ้ง…ตึ้ง ตึ้ง…เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วลิมโบราวกับเสียงกลองอันหนักหน่วง แต่ละย่างก้าวที่เหยียบลงไปบนพื้นสร้างแรงสั่นสะเทือนกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง แทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 5 ริกเตอร์ ยิ่งมันใกล้เข้ามาเท่าไหร่ เงาที่ดูพร่าเลือนก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่นาทีต่อมา เปลวไฟนรกสีเขียวหยกคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในความมืด
มันอาจจะถูกต้องกว่าที่จะอธิบายมันว่าเป็นลูกไฟสองลูก เพราะแต่ละลูกของมันดูเหมือนว่าจะมีความกว้างอย่างน้อยสิบเมตร! พร้อมกับเสียงคำรามที่ดังก้อง อสูรตัวใหญ่ระเบิดคลื่นพลังหยินที่ทรงพลังออกมาและปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของอาร์ทิสและฉินเย่
มัน…ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีลักษณะการเดินที่ดูเหมือนกับแมมมอธ หากพูดกันตามตรง ร่างของเขาเองก็มีลักษณะคล้ายกับของแมมมอธเช่นกัน แต่ขาทั้งสี่ข้างกลับถูกแทนที่ด้วยมือของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น อสูรวิญญาณตัวนี้ยังมีหัวเป็นศีรษะของชายชราหัวล้านที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมด้วยจอนยาวเฟื้อยสีขาวที่พาดลงมาด้านข้าง โดยแต่ละข้างมีความยาวถึงร้อยเมตร และแกว่งไปมาข้างกาย
รอยยิ้มบนใบหน้าของมันแปลกยิ่งกว่า แทบจะเหมือนกับว่ามันถูกแช่แข็งอยู่กับที่ ช่องว่างระหว่างริมฝีปากเผยให้เห็นฟันแหลมคม ในขณะที่เขี้ยวขนาดใหญ่ซึ่งยาวกว่าร้อยเมตรยื่นออกมาจากปากราวกับแมมมอธโบราณ!
มันแปลกมาก
อาร์ทิสหันไปมองฉินเย่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อสูรกลืนวิญญาณระดับสูง เป็นอสูรกินเนื้อที่กลืนกินดวงวิญญาณเพื่อเป็นอาหาร มันดุร้ายและกระหายเลือดเป็นอย่างมาก จะให้ข้า? หรือท่านจะรับเกียรตินี้ดี?”
โฮกกกกก!!! ทันใดนั้น อสูรกลืนวิญญาณอาวุโสก็เปิดปากของมันออกและคำรามใส่ทั้งสอง
ทันใดนั้น หมอกพลังหยินบริเวณพื้นที่ทั้งหมดก็พลันถูกกวาดหายไป ลิ้นสีแดงเข้มที่ยาวหลายสิบเมตรกวัดแกว่งไปมาและเลียริมฝีปากของมันขณะที่อสูรกลืนวิญญาณจ้องมองมาที่ฉินเย่เขม็ง
หากพูดให้ชัดก็คือ มันกำลังจ้องมาที่กระดิ่งอสูรวิญญาณที่อยู่ภายในมือของฉินเย่
เด็กหนุ่มตกใจ “มันสัมผัสถึงรัศมีพลังขั้นตุลาการนรกจากเราไม่ได้หรือ? สิ่งใดกันที่ทำให้มันกล้าถึงขนาดนี้?”
“ท่านประเมินมันสูงเกินไป อสูรวิญญาณเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณของมันเท่านั้น พวกมันจะไปเอาสติปัญญามาจากที่ใด?” อาร์ทิสเอ่ยพร้อมส่งเสียงฮึดฮัด แต่ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันจบ สายฟ้าสีแดงก็ผ่าลงมาอย่างกะทันหัน!
ฉินเย่สะบัดมือไปโดยอัตโนมัติ และสมุดแห่งความเป็นตายก็ขยายตัวออก กลายเป็นกำแพงที่ป้องกันสายฟ้าสีแดงเส้นดังกล่าวเอาไว้
มันคือลิ้น
ลิ้นของอสูรกลืนวิญญาณระดับสูง
อสูรกลืนวิญญาณระดับสูงยังคงมีรอยยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้าดังเดิม และไม่กี่วินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง ลิ้นอีกประมาณสิบกว่าลิ้นก็พุ่งออกมาจากปากของมันและกระแทกเข้ากับกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสมุดอย่างแรง
ฉินเย่กำลังจะหยิบปากกาแห่งการพิพากษาของเขาออกมา แต่จู่ ๆ ลิ้นทั้งหมดก็หยุดลงกลางอากาศ
ราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งไป อสูรกลืนวิญญาณระดับสูงชะงักอยู่กับที่ ร่างขนาดใหญ่ของมันบิดไปมาเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของมันก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มเรียบเฉยเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง
กรร...โฮกกกก!!! มันคำรามออกมาอย่างดุร้าย แต่ถึงกระนั้น ร่างของมันก็ดูเหมือนว่าจะถูกตรึงด้วยบางอย่าง ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังแสบหู ร่างของมันก็ถูกจับฟาดลงกับพื้น ก่อนจะถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว!
เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่เกิดจากความตั้งใจของตัวมันเอง
หากพูดกันตามตรง ฉินเย่ยังเห็นด้วยว่ามันพยายามสะบัดมือทั้งสี่ข้างและดิ้นไปมาเพื่อต่อต้านแรงดึงนั้น อย่างไรก็ตาม มันแทบจะเหมือนว่ามีงูยักษ์ขนาดใหญ่ลากมันออกไป ไม่ว่ามันจะดิ้นมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ยังดูเปล่าประโยชน์
กรรร...กรรร!!! เสียงร้องของมันเจือไปด้วยความตื่นตระหนก มันพยายามคลานไปตามพื้นด้วยมือที่ซีดขาวของตัวเอง ขุดหลุมที่ยาวและลึกในลิมโบ และขุดแปลงดอกไม้สำหรับดอกลบความทรงจำเอาไว้ น่าเสียดาย…เพราะความพยายามของมันล้วนเปล่าประโยชน์เมื่อเทียบกับแรงของฝ่ายตรงข้าม!
“นี่มัน…” ฉินเย่อ้าปากค้าง นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น? สิ่งใดกันที่กำลังซ่อนตัวยู่ภายในความมืด แถมยังสามารถลาก อสูรกลืนวิญญาณระดับสูงที่ดิ้นไปมาอย่างสิ้นหวังได้ขนาดนี้?
ครืนนนน!!!
ทันใดนั้น ทั้งลิมโบก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สามวินาทีต่อมา หลุมสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างของตี้ทิง มันเริ่มดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ล้อมรอบ – ดอกลบความทรงจำ พลังหยิน อสูรกลืนวิญญาณระดับสูง และอื่น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง…ยกเว้นฉินเย่และอาร์ทิส
วูบบบ!!! แรงดูดจากหลุมดำดังกล่าวนั้นรุนแรงจนมันกลายร่างเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ขณะที่มันค่อย ๆ ดูดกลืนทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ! แม้แต่อสูรกลืนวิญญาณระดับสูงก็ไม่สามารถต้านทานแรงดูดมหาศาลนี้ได้ และมันก็ถูกดูดเข้าไปในพายุราวกับว่ามันถูกทำมาจากกระดาษ
ฟึ่บ…
สิบวินาทีต่อมา ทุกอย่างก็สงบลง บริเวณโดยรอบกลับมาเงียบลงอีกครั้ง
ดอกลบความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าก็ค่อย ๆ ร่วงลงมาราวกับสายฝน ตี้ทิงยังคงนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ อสูรกลืนวิญญาณระดับสูงได้หายไปอย่างสมบูรณ์
แต่…ฉินเย่กับอาร์ทิสสามารถบอกได้ว่าร่องรอยบาดแผลอันน่ากลัวบนหลังของตี้ทิงได้ฟื้นฟูขึ้นมาก!
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ฉินเย่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง เมื่อครู่นี้…ตี้ทิงคงได้รับอาหารแล้ว
แม้ว่ามันจะยังไม่ได้สติ แต่มัน…ก็ยังอยู่จุดสูงสุดของอสูรวิญญาณทั้งหมด! มันกินเมื่อมันต้องการ! ไม่มีสิ่งใดสามารถขวางทางมันได้!
นี่มันบ้ามาก...สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้ขนของฉินเย่ลุกชันมากกว่าการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างตี้ทิงกับอาร์ทิสก่อนหน้านี้เสียอีก และขั้นตุลาการนรกก็หายไปอย่างสิ้นเชิง… ฉินเย่ทิ้งน้ำหนักไปที่เท้าทั้งสองข้างของตน เตรียมพร้อมที่จะหนีทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ทว่าขณะที่ฉินเย่เริ่มถอยหลังไปเรื่อย ๆ กลุ่มผมกลุ่มหนึ่งก็พันรอบเอวของเขาเอาไว้และลากเขากลับมาที่เดิม “หยุดอยู่ตรงนั้น”
“ชู่ววว…” ฉินเย่หันไปมองอาร์ทิสและยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากของตัวเอง “เบา ๆ สิ! มันคงไม่ดีนักหากท่านตี้ทิงต้องตื่นจากห้วงนิทรา! เจ้าช่วยทำตัวให้เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร?”
อาร์ทิส: ……
อ๊ากกกก... ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ… เจ้าคุ้นชินกับมันแล้ว… มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะรักษาความสงบสุขภายในใจของตัวเอง… ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ นางเอ่ยตอบ “ท่านไม่มีความคิดอื่น ๆ เลยหรือ?”
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปหาตี้ทิงและโค้งคำนับมัน “ขออภัยที่รบกวนการพักผ่อน พวกเราขอตัว”
จากนั้นเขาก็กลับหลังหันและเดินจากไป
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! ครั้งนี้ กลุ่มผมจำนวนมากก็พันรอบตัวของเขาราวกับเครื่องพันธนาการ อาร์ทิสโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกมากมายที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจ “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดเราจึงมาที่นี่?! เคลื่อนย้ายจักรวาล!!! นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของเรา! ท่านช่วยพัฒนาสมองของตัวเองสักนิดได้หรือไม่?!”
อ่าาา ใช่แล้ว มันยังมีเรื่องนั้นอีก...
“ข้าหมายถึง…ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือที่บอกให้ข้าหยุด? เหตุใดเราถึงมัวเสียเวลาและความพยายามอยู่ที่นี่–… ข้าเข้าใจแล้ว! เจ้าพยายามจะให้ข้าถูกฆ่าตายที่นี่ใช่หรือไม่? พอ ๆๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งสิ้น ยิ่งเจ้าอธิบายมากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งผิดมากขึ้นเท่านั้น! ข้าพูดถูกใช่หรือไม่? ในที่สุดความจริงก็เปิดเผยออกมา!” ฉินเย่ตะคอกกลับ
“ท่าน–… ข้า–…” หัวใจของอาร์ทิสพองโตด้วยความโกรธ มันจะผิดหรือไม่ถ้าจะสังหารจ้าวนรกตรงหน้านี้เสีย? เร็วเข้า ใครก็ได้ช่วยบอกข้าที!
อาร์ทิสหลับตาลงและพยายามอดกลั้นจนถึงที่สุด จากนั้น นางก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจและเอ่ยต่อ “ข้าเพิ่งนึกถึงวิธีที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เคยเล่นกับแมว–… ข้าหมายถึงตี้ทิง ลองพลิกกระดิ่งอสูรวิญญาณและดูว่ามีก้อนอะไรบางอย่างถูกติดไว้ในกระดิ่งหรือไม่?”
ฉินเย่พลิกมันตามคำบอกของอีกฝ่าย และเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่ามันมีก้อนขนบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน!
“กระดิ่งอสูรวิญญาณอาจทำให้ตี้ทิงอยู่ในสภาวะตื่นเต้นเป็นอย่างมากได้ ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะป้องกันสิ่งนั้นไม่ให้เกิดขึ้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงทำการดัดแปลงกระดิ่งเพื่อลดประสิทธิภาพของมันลง” อาร์ทิสอธิบาย “ด้วยเหตุนั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงทำการเปิดช่องเล็ก ๆไว้ภายในกระดิ่งและซ่อนวัตถุศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ว่ากันว่ามีเพียงแค่ตอนที่ใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ควบคู่กับกระดิ่งเท่านั้นที่จะสามารถทำให้ตี้ทิงตื่นเต้นโดยสมบูรณ์ได้”
อย่างนี้นี่เอง… ฉินเย่ดึงก้อนดังกล่าวออกมา ก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ข้าจะเริ่มแล้วนะ”
อาร์ทิสพยักหน้า จากนั้นจึงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
กริ๊ง!!!
ฉินเย่สั่นกระดิ่งอสูรวิญญาณเบา ๆ แต่เสียงของมันครั้งนี้กลับคมชัดและก้องกังวานมากกว่าเดิม ฉินเย่รู้สึกได้ว่ากระดูกของเขาสั่นไปตามคลื่นเสียงนี้ ระลอกคลื่นสีทองกระเพื่อมออกมาเป็นวงกว้าง แทบจะเหมือนกับคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ที่สาดซัดไปทั่วทุกทิศทาง หมอกพลังหยินที่อยู่โดยรอบสลายไปในทันที
ขณะที่กระดิ่งดัง เส้นไหมสีเขียวอ่อนค่อย ๆ คลายออกมาจากแกนของมันและล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดโดยเร็ว ในขณะเดียวกัน หมอกที่ดูสวยงามและสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิก็ปรากฏขึ้น แต่ภายในห้าวินาที เส้นไหมทั้งหมดก็ขยายใหญ่ขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นสายฝนของสิ่งที่คล้ายกับขนนกที่ตกลงมา ลงบนร่างขนาดใหญ่ของตี้ทิงราวกับหิมะ
ทำไมกลิ่นถึงคุ้นนัก… ฉินเย่คิดขณะที่เขายังคงสั่นกระดิ่งไปเรื่อย ๆ เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำสีหน้าตกตะลึงราวกับฟ้าผ่า เขารีบหยิบสิ่งของสีเขียวขึ้นมาแล้วดมมัน ก่อนจะเอ่ยอออกมาเสียงดัง “เวร!!! นี่มันกัญชาแมวไม่ใช่หรือ?!!!”
“ท่านรู้จักมันหรือ?” อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสายตาราวกับเห็นผี “ท่าน…รู้จักวัตถุศักดิ์สิทธิ์ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ไม่ได้สนใจกับคำพูดของอีกฝ่าย เขายังคงมองไปยังตี้ทิงด้วยความเหลือเชื่อ – เป็นไปไม่ได้… เขาจะต้องฝันอยู่แน่ ๆ… ทำไมจู่ ๆ สิ่งมีชีวิตตรงหน้าถึงเหมือนแมวแบบนี้?! มันคล้ายคลึงกันตรงไหน? ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่เหมือนแมวเลยสักนิด! ทำไมถึงตื่นเต้นเพราะกัญชาแมวกัน?!
ลิมโบที่ดูมืดมนก่อนหน้านี้พลันเต็มไปด้วยประกายแสงที่ดูเหมือนจะเป็นเอฟเฟกต์พิเศษ จากนั้น ฉินเย่ก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เมื่อตี้ทิง…ลืมตาขึ้น!
ให้ตายเถอะ… มัน… ได้ผลจริง ๆ…
ฉินเย่พูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มจากตรงไหน ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น อสูรขนาดใหญ่ วิญญาณร้าย และมนุษย์ผู้อ่อนแอต่างสบตากันและกัน ด้วยการตื่นขึ้นของตี้ทิง พลังหยินที่อยู่โดยรอบเริ่มสั่นไหวราวกับน้ำเดือด เสียงร้องของอสูรวิญญาณจำนวนมากดังก้องไปทั่ว ก่อนจะค่อย ๆ เงียบลงราวกับพวกมันกำลังหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
พรึ่บ…ทะเลพลังหยินพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินราวกับระลอกคลื่นขนาดใหญ่ ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา ร่างของอาร์ทิสและฉินเย่ต่างตึงเครียดอย่างถึงที่สุด โดยไม่ต้องพูดอะไร พวกเขารีบควบคุมพลังหยินภายในร่างของตัวเองเพื่อที่จะสามารถหลบหนีได้อย่างทันเวลาทันที
ความเงียบที่แสนอึดอัดดำเนินไปเป็นเวลานานกว่าครึ่งนาที จากนั้น ตี้ทิงก็กะพริบตาปริบ ๆ และอ้าปากออกกว้าง “เมี๊ยวว~~~”
หะ?!!
อ๊ากกก... นี่มันตอบสนองต่อกัญชาแมวเหมือนอย่างที่แมวตัวอื่นเป็นจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากัญชาแมวจะสามารถใช้แบบนั้นได้ด้วย… ไม่ใช่ว่าอสูรขนาดใหญ่ตรงหน้ามักจะขู่และคำรามใส่พวกเขาหรืออย่างไร? นะ นี่มัน… มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… เหตุใดจู่ ๆ ท่านตี้ทิงผู้รอบรู้และทรงพลังถึงกลายเป็นเพียงแมวบ้านธรรมดาแบบนี้ได้…
แต่เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…
ตี้ทิงไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสองในสายตา มันหรี่ตาลง ราวกับกำลังเพลิดเพลินไปกับกัญชาแมวที่อยู่บนร่างของมัน จากนั้น…สามนาทีต่อมา…มันก็เริ่มกลิ้งร่างขนาดใหญ่ของมันไปบนพื้น!
แม้แต่หางของมันก็ชี้ขึ้นฟ้าและกระดิกไปมาเหมือนกับแมวที่กำลังมีความสุข!
“เมี๊ยวว~~~ เมี๊ยวว~~~” เสียงร้องเหมียว ๆ อย่างมีความสุขของมันดังก้องไปทั่วลิมโบ พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจากการกลิ้งไปมาของตี้ทิง ไร้ซึ่งการป้องกันโดยสมบูรณ์ ฉินเย่เพียงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า กำลังสงสัยว่าตนต่อสายกระดิ่งผิดใบหรือเปล่า…