ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 398: แม่ทัพหยาง
บทที่ 398: แม่ทัพหยาง
ณ ไมนิลา เมืองหลวงและเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของฟิลิปินัส
เมืองไมนิลาตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไมนิลา ซึ่งอยู่ทางขอบชายฝั่งตะวันตกของลูซอน หรือที่มักจะรู้จักกันในชื่อ “ลูซอนเล็ก” มันตั้งอยู่ที่ท่าเรือธรรมชาติของอ่าวไมนิลา และยังเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปินัสอีกด้วย เมืองทั้งเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับสยามหรือไดเวียตซึ่งมีรากฐานอันแข็งแกร่งของนิทานพื้นบ้านและตำนาน ไมนิลานั้นมีความเป็นสากลอย่างมาก
พระราชวังมาลากันยัง สถานที่พำนักและสถานที่ทำงานอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีของฟิลิปินัส มันเป็นอาคารสไตล์โคโลเนียล ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว มีเพียงแสงไฟถนนและไฟเฝ้าระวังเท่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่ ในขณะนั้นเอง เหล่าผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลัง ในขณะเดียวกัน…ต้นไม้ วัชพืชมากมายที่อยู่โดยรอบก็ส่งเสียงพริ้วไหวเบา ๆ เหมือนกับจะบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างได้พัดผ่านพวกมันไป
“นั่นมันอะไรน่ะ?” “คงไม่ใช่ผีหรอกใช่ไหม?” “จะเป็นไปได้อย่างไร? ที่นี่มันทําเนียบประธานาธิบดีนะ”
น่าเสียดาย ที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมืองวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชวังมาลากันยังแห่งนี้นี่เอง
เมืองวิญญาณดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในลักษณะเดียวกันกับพวกสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ฮั่นหรือราชวงศ์ถัง และมันก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยความหรูหราของราชวงศ์หมิงเช่นกัน นอกจากนี้ มันยังดูยิ่งใหญ่กว่าสิ่งก่อสร้างที่มักจะเห็นในราชวงศ์ซ่ง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยความงดงามและการออกแบบที่ประณีตจนแสดงให้เห็นถึงความละเอียดของผู้ออกแบบ ศาลาปรากฏให้เห็นทั่วทุกหนแห่งภายใต้หลังคาขนาดใหญ่ เมืองทั้งเมืองกินพื้นที่กว้างเป็นอย่างมาก ในขณะที่โรงพนันดูเหมือนจะมีผู้คนเข้าออกอย่างไม่หยุดหย่อน วิญญาณจำนวนมากล่องลอยไปตามท้องถนน มันเป็นภาพที่ดูยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาที่นี่จะต้องสงสัยทันทีว่าพวกเขาได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคสมัยราชวงศ์ซ่งอีกครั้งอย่างนั้นหรือ แม้ว่ามันจะเจริญรุ่งเรืองกว่าสมัยนั้นมากก็ตาม
แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองก็คืออาคารไม้เจ็ดชั้น หยางจีเย่นั่งอยู่บนบัลลังก์โดยสวมชุดเกราะคู่กาย เปลวไฟสูงประมาณหนึ่งเมตรลุกโชนอยู่บนปลายเทียนเล่มหนาสองเล่มที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเขา ฉายให้เห็นแผนที่ของทวีปตะวันออกซึ่งแขวนอยู่ด้านหลังอีกที ในขณะที่แม่ทัพของตระกูลหยางทั้งหมดต่างนั่งประจำที่ของตน
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เหตุผลใดกันหรือที่ทำให้ท่านต้องเรียกพวกเรามาประชุมกันในวันนี้?” ชายผู้มีใบหน้าสุขุมเอ่ยถามด้วยความเคารพจากทางซ้ายมือของห้องโถง
หยางจีเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป กลับกัน เขาเพียงหยิบแผนที่ขนาดเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าและจ้องมองมัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำออกมา “ทางยมโลกแห่งใหม่ได้ส่งพระราชกฤษฎีกามา สั่งให้ลูซอนส่งกำลังเสริมไป พวกเราจะต้องเดินทางไปยังยมโลกแห่งใหม่ และให้ความช่วยเหลือแก่ยมโลกในการเดินทางจากเมืองเป่าอันไปยังเมืองหวู่หยาง พูดอีกอย่างก็คือ พวกเรากำลังพูดถึงการสร้างเส้นทางจากมณฑลอันฮุ่ยไปยังปากของแม่น้ำหวงเหอในมณฑลซานตง”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
หยางจีเย่ปกครองกองทัพของเขาด้วยความเด็ดขาด ผู้ใดก็ตามที่ถูกเกณฑ์เข้ามาจะต้องได้รับตำแหน่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่สนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบใดกับผู้ที่อยู่โดยรอบก็ตาม
เขาเงยหน้าขึ้น เปลวไฟนรกในดวงตาลุกโชนอย่างโชติช่วง “ผู้ใดเต็มใจจะอาสาไปในครั้งนี้บ้าง?”
แทบจะทุกคนภายในห้องลุกยืนขึ้นพร้อมกัน “ข้าขออาสา!!”
หยางจีเย่ยิ้ม “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งทุกคนไป พวกเรายังต้องการกำลังคนในการคุ้มกันฟิลิปินัส ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา การรุกรานทางน่านน้ำของเรานั้นเพิ่มขึ้นมาก หากพูดกันตามตรง เมื่อเดือนที่แล้ว ระหว่างการประชุมราชสำนัก พวกเรายังตรวจพบถึงอสูรทะเลสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 300 ตัวอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 300 ไมล์ทะเลอีกด้วย พวกเราจะลดการป้องกันลงไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง และปรับสีหน้าเป็นจริงจังมากกว่าเดิม “จดหมายของท่านฉินได้บอกเราอย่างชัดเจน – พระองค์ทรงสงสัยว่ามันอาจจะมีเมืองวิญญาณถือกำเนิดขึ้นภายในจีน ข้าคิดว่าผู้ที่อาสาเข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้…อาจจะไม่สามารถกลับมาที่ลูซอนได้ภายในอีกร้อยปีข้างหน้า พวกเจ้าควรจะไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน”
เงียบ
นาทีต่อมา แม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งก็ลุกยืนขึ้นและยกมือกุมกำปั้นของตนด้วยความเคารพ “การก่อตั้งยมโลกแห่งใหม่คือการนำความรุ่งโรจน์กลับมาสู่ชาวฮั่น ผู้ที่ตั้งใจจะทำลายความตั้งใจทั้งหมดนั้นล้วนถือเป็นกบฏ! ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้ายินดีที่จะยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อรับใช้ท่านจ้าวนรก!”
“ข้าเองก็ยินดีที่จะร่วมออกเดินทางในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน” แม่ทัพอีกคนลุกขึ้นทันทีที่แม่ทัพหนุ่มเอ่ยจบ ครั้งนี้แม่ทัพคนดังกล่าวเป็นสตรี แต่มันกลับไม่มีใครในห้องโถงที่มีท่าทีประหลาดใจกับคำพูดของนางเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเองก็เช่นกัน” ชายหนุ่มคนที่สองลุกขึ้น “ข้าได้เข้าร่วมการเดินทางของยมโลกแห่งเก่าไปยังดินแดนทางตะวันตก และยังได้ช่วยสร้างทางหลวงแห่งชาติขึ้นมาถึงสามสาย ข้าจะเป็นผู้กำจัดอสูรวิญญาณทั้งหมดที่เข้ามาขวางทางและช่วยท่านจ้าวฉินในการมุ่งหน้าไปยังเมืองหวู่หยางเอง! ปีศาจและภูตผีทั้งหมดจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก!”
“ข้าขออาสา!” “ข้าเองก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือยมโลก!!” “ข้าด้วย!”
แม่ทัพกว่า 20 คนลุกขึ้นยืนภายในชั่วพริบตา!
หยางจีเย่มองไปรอบ ๆ และถอนหายใจออกมาอย่างเข้าใจขณะที่พยักหน้า “หยางเหยียนเจา”
“ข้าอยู่นี่แล้ว!” แม่ทัพหนุ่มผู้ที่ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกตอบรับคำเรียกด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหยางจีเย่ยังคงเคร่งขรึมและจริงจังดังเดิม “เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้จากโกลเด้นบีช ความเชี่ยวชาญทางการทหารของเจ้าไม่เป็นสองรองใคร ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาการกองกำลังปราบปรามในครั้งนี้ จงนำกองกำลังพยัคฆ์คลั่งของเรา 1 หมื่นนายมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเป่าอันทันที จงทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก่อนที่กำลังเสริมจะไปถึง เราจะสูญเสียเมืองเป่าอันไปไม่ได้เด็ดขาด! ที่สำคัญที่สุด จงปกป้องท่านจ้าวฉินอย่างสุดความสามารถของเจ้า!” [1]
“รับทราบ!”
“หยางเหยียนเต๋อ เจ้าคือผู้ที่ลงมาจากการฝึกฝนบนภูเขาและเข้าสู่สนามรบ ความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไม่เป็นสองรองใคร และเจ้าก็ต่างเป็นที่เคารพของเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้การดูแล ข้าขอสั่งให้เจ้านำกองกำลังหอกจำนวน 2 หมื่นนายและมุ่งหน้าไปที่เมืองเป่าอันทันทีเช่นกัน จงตามไปเสริมกองกำลังของผู้บังคับบัญชาการของเจ้าโดยเร็วที่สุด! เจ้าสามารถทำมันได้หรือไม่!” [2]
“แน่นอนที่สุด!”
“ฮวาเจี่ยอวี่ เจ้าได้ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมากมายเพื่อที่จะกลายเป็นแม่ทัพหญิงที่ทุกคนต่างจับตามอง ข้าต้องการให้เจ้านำแม่ฮวาเจี่ยอวี่ มู่กุ้ยอิง เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ ฮูเหยียนชื่อจิน รวมถึงอสูรวิญญาณสี่ตนซึ่งได้แก่ อสูรทำลายล้างเก้าตา อสูรบัวแดง อสูรเท้าหยิน และอสูรกลืนเมฆา และพลธนูอีก 3 หมื่นนายไปที่เมืองเป่าอันทันที จงตามไปเสริมกองกำลังของผู้บังคับบัญชาการของเจ้าโดยเร็วที่สุด! เข้าใจหรือไม่?”
“รับทราบ” สตรีทั้งสี่ตอบรับพร้อมกันด้วยความมุ่งมั่น
ผู้ใดก็ตามในยุคสมัยปัจจุบันล้วนต้องกรีดร้องด้วยความตกตะลึงทันทีที่พวกเขาเห็นภาพตรงหน้านี้
เพราะอย่างไรแล้ว…คนเหล่านี้ทั้งหมดต่างก็เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของตระกูลหยางทั้งสิ้น!
ไม่เหมือนกับอวี๋เชียน หม่าฝูโปว และขุนนางคนอื่น ๆ ตระกูลหยางนั้นเป็นที่รู้จักในเรื่องของการทหาร! ตระกูลของพวกเขาคือตระกูลกองกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่ในสมัยของราชวงศ์ซ่ง!
และราชทูตที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับหยางจีเย่ได้ก็มีเพียงจิวยี่และหลิวอวี้เท่านั้น
นอกจากนี้ ความจงรักภักดีที่หยางจีเย่มีต่อยมโลกแห่งใหม่นั้นชัดเจน หยางเหยียนเจานั้นคือหนึ่งในแม่ทัพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภายในที่นี้ และเขายังเป็นที่รู้จักกันในนามของหยางลิ่วหลางอีกด้วย
นอกจากนั้น หยางเหยียนเต๋อ หรือที่รู้จักในนามหยางอู่หยาง ในขณะที่ยังมีชีวิต เขาได้รับตำแหน่งแม่ทัพเซวียนเหว่ย ผู้บังคับบัญชาการทหารราบและมีหน้าที่ปกป้ององค์จักรพรรดิ ในการต่อสู้ที่โกลเด้นบีช เขาถูกจัดตัวออกห่างจากกองกำลังที่เหลือและล้อมรอบโดยกองกำลังของฝ่ายศัตรู ทำให้เสียเปรียบทางด้านจำนวนเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดผมของตัวเองและแสร้งทำเป็นพระเพื่อหลบหนีจากการไล่ล่า
นอกเหนือจากบุตรชายทั้งแปดแล้ว ตระกูลหยางยังมีแม่ทัพหญิงผู้มีชื่อเสียงอีก 22 คน รวมถึงฮวาเจี่ยอวี่ มู่กุ้ยอิง เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ และฮูเหยียนชื่อจินด้วย ทั้งสี่ถูกยอมรับในฐานะของผู้เชี่ยวชาญลำดับต้น ๆ ในสาขาการต่อสู้ต่าง ๆ!
พระราชกฤษฎีกาได้ถูกส่งมาถึงแล้ว และตระกูลหยางก็ได้เลือกผู้ที่มีฝีมือที่สุดของตน หลังจากเงียบหายไปกว่าร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับไปที่ยมโลกเป็นครั้งแรก!
“ท่านแม่ทัพใหญ่” ทันทีที่หยางจีเย่สั่งการทั้งหมดเสร็จ แม่ทัพอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ยมโลกแห่งเก่าได้กำหนดไว้ว่าราชทูตทั้ง 12 จะต้องมีกองกำลังทหารอยู่ไม่เกินหมื่นนาย พวกเรามักจะบอกว่ากองกำลังทั้งหมดของเรามีเพียง 5,000 นายเท่านั้น แล้วเราจะอธิบายเกี่ยวกับกองกำลังทหารหลายหมื่นนายพวกนี้ว่าอย่างไร…”
พวกเขามาจากไหน?
หยางจีเย่ยิ้ม
แม้แต่พวกที่หัวแข็งที่สุดก็ย่อมต้องรู้จักที่จะปรับตัวหลังจากผ่านไปหลายร้อยปี
พวกเขาจะต้องยึดกับตัวเลข 5,000 เพียงเพราะว่าพวกเขาบอกว่ามีเพียง 5,000 อย่างนั้นหรือ?
ไม่เห็นหรือว่าแค่หลิวอวี้เพียงคนเดียวก็รวบรวมกองกำลังมากกว่าหลายหมื่นนายไปยังยมโลกในช่วงการประชุมราชสำนัก?
“ข้าได้ขยายกองทัพและกองกำลังของเราตั้งแต่การล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก แต่…พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นกองหนุนทั้งสิ้น กองทัพหลักของฟิลิปินัสยังคงมีจำนวน 5,000 นายดังเดิม แต่สำหรับกองหนุน…เราสามารถมีได้จนถึง 1.2 แสนนาย” เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “ท่านจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกไม่สนใจเรื่องพวกนี้นัก พระองค์…ทรงเป็นผู้นำที่ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว พวกเจ้าจะเข้าใจทันทีที่ได้พบกับพระองค์”
เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนและกวาดตามองไปทั่วทั้งห้อง
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาภายในห้อง ส่งผลให้เปลวไฟวูบไหว
นี่คือความเงียบที่ตึงเครียดก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้น บรรยากาศของความจริงจังปกคลุมไปทั่ว
หยางจีเย่จ้องมองสีหน้าของแม่ทัพแต่ละคน และระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาได้มีร่วมกัน จากนั้นเขาก็หลับตาลงและเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทุกคน ท่านจ้าวฉินไม่ได้ระบุว่าศัตรูของเราในครั้งนี้คือใคร และข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม…ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถทำให้ยมโลกเรียกขอกำลังเสริมได้หมายความว่านี่ไม่ใช่ศัตรูที่เราจะสามารถรับมือได้ง่าย ๆ! ดาบไม่มีตา จงรักษาชีวิตของตัวเองไว้ให้ดี”
“นอกเหนือจากนั้น…”
เขาลืมตาขึ้นและจ้องมองคนทั้งหมด “ตระกูลหยางของเรานั้นมีชื่อในเรื่องของความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล! ชื่อเสียงของเรานั้นไร้ซึ่งมลทิน และมันก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป! จะมีเพียงความตายเท่านั้นในสนามรบ ไม่ใช่กบฏหรือคนทรยศ!”
จากนั้น เขาจึงหันไปหาแม่ทัพทุกคนที่ตนจะต้องส่งไปทำสงคราม “หากยมโลกต้องล่มสลาย หรือท่านจ้าวฉินจะต้องตายไป และพวกเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่…ข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งหมดโดยไร้ความปรานี!!!”
“รับทราบ!!!”
…………………………………………
ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในฟิลิปินัสเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงกระนั้น ยมโลกเองก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ แล้วเช่นกัน แต่ครั้งนี้ มันแตกต่างไปจากความเร่งรีบและความคึกคักดั้งเดิมของยมโลกเล็กน้อย กลับกัน ยมโลกในตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด…แทบจะเหมือนกับว่าทุกคนต่างรู้สึกว่ากำลังจะเกิดสงครามขึ้นไม่มีผิด
ทุก ๆ วัน ประชากรวิญญาณจะได้ยินเสียงทหารวิญญาณตะโกนคติพจน์ของพวกเขาดังลั่นก่อนที่จะทำกิจวัตรในช่วงเช้าของตัวเอง แม้แต่โนบูนางะก็ยอมออกจากที่หลบซ่อนและอนุญาตให้ทหารทั้งหมดฝึกฝนที่หน้าประตูนรก ที่ซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน
สิ่งนี้ถูกทำขึ้นตามคำสั่งของฉินเย่ มันคือการตัดสินใจที่เด็กหนุ่มได้ตัดสินใจเอาไว้ทันทีที่เขารู้ว่าพวกของตัวเองกำลังจะเริ่มเข้าสู่ยุครณรัฐ
เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นการดีกว่าที่จะให้ทุก ๆ คนค่อย ๆ ปรับตัวกับความจริงที่ว่ามันกำลังจะเกิดสงครามขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อนี่ไม่ใช่สงครามที่จะจบลงในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หรืออาจจะเป็นปี การเดินทางไปยังเมืองหวู่หยาง และการเดินทัพของทหารวิญญาณไปยังเมืองกู่เฉิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ข่าวดีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คืออุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลกได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประชาบาลและโฆษณาการ ชางเจี๋ย ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานบริหารสูงสุด ในวันเดียวกันนั้นเอง คนงานกว่าพันคนได้ทำงานล่วงเวลาเพื่อตีพิมพ์หนังสือพิมพ์กว่า 30,000 ฉบับซึ่งถูกแจกจ่ายไปยังพื้นที่ก่อสร้างหลักทั้งหมด
เช่นเดียวกันกับตอนที่การประชุมราชสำนักถูกจัดขึ้น เครื่องปั่นไฟทั้งหมดในยมโลกถูกย้ายไปยังอุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลกเป็นการชั่วคราว น่าเสียดายที่พลังงานที่ได้จากเครื่องปั่นไฟนั้นต่ำเกินกว่าที่จะบรรลุมาตรฐานที่ถูกกำหนดไว้ในแดนมนุษย์ได้
หนึ่งในสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าก็คือการระบุตำแหน่งของแหล่งกำเนิดพลังงานที่เป็นของยมโลกเอง อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาพิจารณาเรื่องเหล่านั้น เพราะอย่างไรแล้ว…ยมโลกแห่งใหม่ก็กำลังถูกปลุกเร้าด้วยความตื่นเต้นและความหวาดกลัวที่มีต่อสงคราม
“กองกำลังทหารกบฏจำนวน 6 หมื่นนายปรากฏตัวขึ้นในมณฑลเจียงซู กองทัพหลวงของท่านฉินจะเริ่มเดินทัพในอีกไม่ช้านี้ และท่านหยางแห่งลูซอนจะส่งกำลังเสริมมาเพื่อสนับสนุนยมโลก...” ชายวัยกลางคนผู้เป็นหนึ่งในคนงานของพื้นที่ก่อสร้างอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้อ่านข่าวในหน้าแรก เขาหันไปมองทางประตูนรกโดยไม่รู้ตัวทันที
“เรากำลังจะทำสงคราม…” “ใช่ ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าในโลกใต้พิภพเองก็จะมีสงครามเช่นกัน” “มันก็เหมือนกับที่แดนมนุษย์ไม่ใช่หรือ? ตะวันออกกลางเกิดความขัดแย้งมาเป็นเวลานานมากแล้ว” “ข้าหวังว่าความขัดแย้งพวกนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเรานะ ข้ายังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เพลิดเพลินไปกับชีวิตหลังความตายเลยสักนิด…”
ฉินเย่ไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสื่อมากนัก เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็รู้ดีว่าผลกระทบต่อพลเมืองจะถูกจำกัดเป็นอย่างมากจนกว่าพวกเขาจะสามารถระบุตำแหน่งของแหล่งพลังงานที่แน่นอนได้
ข่าว?
ข่าวในพื้นที่ระดับเมืองจะน่าตกใจได้มากแค่ไหนกันเชียว?
รูปภาพ?
ขออภัย แต่เทคโนโลยีในการจับภาพของแดนมนุษย์นั้นไม่เหมาะในการจับภาพของวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
และพวกข่าวบันเทิงเองก็ไม่อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ฉินเย่จึงรู้ดีว่าเขาไม่ควรจะเสียเวลาและทรัพยากรของเขาไปกับสิ่งเหล่านี้ในตอนนี้
“ท่านจะไม่รอกำลังเสริมจากแม่ทัพหยางก่อนหรือ?” อาร์ทิส กู่ชิง โนบูนางะ และฉินเย่กำลังอยู่ภายในห้องโถง หวังเฉิงห่าวเพียงยืนฟังอยู่ด้านข้าง รู้ดีว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของตนที่จะต้องเข้าไปแทรก อาร์ทิสเอ่ยต่อ “อย่างน้อยเราก็จะสามารถมั่นใจได้อีกระดับหนึ่งเมื่อมีพวกเขาอยู่ด้วย”
แต่ฉินเย่กลับส่ายหน้า จากนั้นจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง เขาสามารถบอกได้ว่ายมโลกในเวลานี้ได้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างกระสับกระส่าย การเกิดสงครามได้ปลุกเร้าสัญชาตญาณของมนุษย์ และความรู้สึกเหล่านั้นจะสามารถดับลงได้ก็ต่อเมื่อการเป็นฝ่ายได้เปรียบในสงครามเท่านั้น
เขารอไม่ได้อีกแล้ว…
แม้ว่าฉินเย่จะไม่รู้ถึงตัวตนของฝ่ายตรงข้าม แต่เขาก็ไม่สามารถนั่งรอให้สงครามเกิดขึ้นได้!
เมืองของอีกฝ่ายเพิ่งพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว? ทหารวิญญาณ 6 หมื่นนายนั้นคือกองกำลังทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตรแล้วหรือยัง? หรือว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกองกำลังทั้งหมด? แล้วฝ่ายตรงข้ามสามารถรวบรวมกองกำลังได้มากที่สุดเท่าไหร่กัน?
มันจะต้องมีร่องรอยบางอย่างถูกทิ้งไว้ในทุกที่ที่กองทัพเคลื่อนพลผ่าน
และการลงมือช้าก็ย่อมหมายถึงเวลาที่มากขึ้นในการทำลายร่องรอยเหล่านั้น
เวลาเป็นสิ่งมีค่า
“ข้าจะมุ่งหน้าไปก่อน” เขาละสายตาและตบลงที่โต๊ะอย่างแรง “พรุ่งนี้ กองกำลังของเราจะเดินทัพไปยังเมืองกู่เฉิง!”
“แล้วประชาชนในพื้นที่เล่า?” กู่ชิงถามอย่างเป็นกังวล “พวกเราจะต้องกวาดล้างทั้งดินแดนอย่างละเอียด หากพวกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนคนใดถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วมกับการปะทะกันของกองกำลังโลกใต้พิภพ พวกเขาจะต้องไม่รอดแน่!”
ฉินเย่หรี่ตาลงและมองไปยังแผนที่ “นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นก่อน เพื่อที่ข้าจะได้บอกให้พวกเขาได้รู้ถึงเจตนาของข้าที่มีต่อเมืองกู่เฉิง”
กู่ชิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป จากนั้นชายสูงวัยก็อ้าปากค้างด้วยความหวั่นสะพรึง “บอก... ผู้ใดกัน? ท่านคงไม่ได้หมายถึง…”
“แน่นอนว่าข้าหมายถึงแดนมนุษย์ ข้าจะบอกพวกเขาว่ายมโลกเองก็มีกฎของตัวเอง และวิญญาณทุกตนก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของยมโลก!” ฉินเย่หัวเราะเสียงเย็น “ถึงเวลาแล้วที่เราจะทดสอบการตอบสนองของแดนมนุษย์ต่อเรื่องดังกล่าว ยมโลกแห่งใหม่กำลังจะเปิดตัวกับแดนมนุษย์ เจ้าไม่คิดว่ามันน่าตื่นเต้นหรอกหรือ? เหล่ากู่ เจ้าไม่อยากรู้หรอกหรือว่าพวกมนุษย์จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการดำรงอยู่ของเรา?”
กู่ชิงอ้าปากค้าง ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
นี่คือเรื่องที่เขาไม่กล้านึกถึงมาก่อน!
อีกฝ่ายจะหวาดกลัวหรือแสดงความเคารพต่อพวกเขา?
จะหลบซ่อนตัวหรือต้อนรับ?
จะให้ความร่วมมือหรือปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง? จะเฉลิมฉลองถึงการมาถึงของพวกเขาหรือมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจ?
ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร การแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเมืองกู่เฉิงก็เป็นเวทีที่เหมาะสมที่สุดที่จะเปิดตัวยมโลก! มันเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยม และสถานการณ์ก็อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดเช่นกัน!
“รับทราบ” ชายสูงวัยไม่เป็นกังวลอีกต่อไป เขาหันไปโค้งคำนับ 90 องศาให้กับฉินเย่ “เช่นนั้น ข้าก็ขออวยพรให้ท่านจ้าวนรกกลับมาพร้อมกับชัยนะ! รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!”
“ไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจ 100% ว่าพวกเขาจะต้องไม่กล้าอยู่ภายในเมืองกู่เฉิงไปนานกว่านี้อีก ขงโม่…นั้นหวาดกลัวยมโลกมากกว่าวิญญาณตนใดที่อยู่ข้างนอกนั่น! สิ่งที่เราจะต้องเผชิญหน้านั้นไม่ใช่แค่ทหารวิญญาณกว่า 6 หมื่นนาย แต่ยังรวมถึงเขตไล่ล่าและเขตนักล่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมืองกู่เฉิง และวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดที่อยู่โดยรอบอีกด้วย” ฉินเย่เลียริมฝีปากของตน “ไม่ว่าแดนมนุษย์จะชอบใจหรือไม่ แต่เมืองกู่เฉิงก็จะกลายเป็นโรงเชือดสำหรับเหล่าวิญญาณร้ายทั้งหมดภายในเวลาอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้!”
“การต่อสู้ครั้งแรกของยมโลกจะต้องจบลงด้วยเสียงกู่ร้องของชัยชนะ!”
[1] ลูกชายคนที่หกของหยางจีเย่
[2] ตัวละครในเรื่องสุภาพบุรุษตระกูลหยาง ลูกชายคนที่ห้าของหยางจีเย่