ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 404: โทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์
บทที่ 404: โทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์
ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบในฉับพลัน โนบูนางะพยักหน้าและค่อยๆยกมือขึ้น ทว่าทันใดนั้น เจียงซือสาวก็ร้องออกมาเสียงดังลั่น “ปล่อยข้า…ได้โปรด… ปล่อยข้า!!!”
“ขะ ข้าสามารถบอกได้…วะ ว่าเขาอยู่ที่ใด… ข้า ข้าไม่มีทางเลือก… เขาบอกว่าเขาจะกำจัดข้าหากข้าไม่ทำตามที่บอก! เขาเองก็อยู่ขั้นตุลาการนรกเช่นกัน… ได้โปรด ปล่อยข้า… ข้า ข้ายังไม่อยากตาย! ”
วิญญาณที่มีการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณตนอื่นๆเองก็โค้งคำนับก้มหน้าผากแนบกับพื้นให้กับฉินเย่ อ้อนวอนขอชีวิต ถึงแม้ว่าวิญญาณส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่ใช่วิญญาณที่มีการตระหนักรู้ แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำตอนนี้อาจส่งผลกับความเป็นและความตายของตัวเอง
“นายท่าน...โปรดไว้ชีวิตด้วย!” “พวกเราจะบอกทุกอย่างที่เรารู้!” “ข้าไม่อยากตาย… ข้าไม่อยากให้ดวงวิญญาณต้องสูญสลายจนเหลือเพียงความว่างเปล่า!”
“เหอะ…” โนบูนางะส่งเสียงฮึดฮัดออกมาในลำคอขณะที่กวาดสายตาเย็นยะเยือกมองเหล่าวิญญาณ “จะไม่มีความเมตตาใดๆต่อผู้ที่กินเลือดและเนื้อในเมืองกู่เฉิง ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่และไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าทั้งหมดล้วนมีส่วนรู้เห็นในอาชญากรรมครั้งนี้ทั้งสิ้น เก็บความเสียใจของพวกเจ้าไว้เสียเถอะ…”
สิ้นสุดเสียงพูด เขาก็กดมือลงอย่างหนักหน่วง และในเสี้ยววินาทีต่อมา ทุกคนที่กำลังดูภาพดังกล่าวอยู่ก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นพลันสาดซัดไปทั่วร่างของวิญญาณทั้งหมด เปลี่ยนให้ร่างของพวกเขาดูพร่าเลือนไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับเป็นเหมือนปกติ หลังจากนั้น วิญญาณทั้งหมดก็ถูกบังคับให้เปิดปากออก และลูกไฟวิญญาณขนาดเล็กของพวกเขาก็เริ่มเผาไหม้จากภายในปาก
“อึกก...อ่อกกกกกก!!!” เจียงซือสาวส่ายหน้าไปมา พยายามที่จะกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แต่นางกลับทำได้เพียงส่งครางอู้อี้ออกมาเท่านั้น
นางรู้สึกเสียใจกับทุกอย่าง เสียใจที่ขึ้นเป็นแกนนำของวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ชีวิตในเมืองกู่เฉิงของนางเคยสงบสุข ตอนที่ได้พบกับวิญญาณขั้นตุลาการนรก นางควรจะหนีไปจากที่นี่ แต่นางก็ยังเลือกที่จะทำตามคำแนะนำและคำสั่งของเขาแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อีกฝ่ายพูดถึงข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างการบอกถึงวิธีการเลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรกในทันทีที่นางทำงานเสร็จ
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกเสียใจที่สุดในตอนนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่านางไม่สามารถสังหารผู้ฝึกตนคนนั้นได้ตั้งแต่ครั้งแรก! ไม่เช่นนั้น ทุกอย่างจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
นางยังไม่อยากตาย นางไม่ต้องการที่จะตาย! แต่ช่างน่าเศร้า เพราะสิ่งที่นางสามารถทำได้ตอนนี้มีเพียงนั่งมองดูดวงจิตของตัวเองถูกเผาไหม้ไปอย่างช้าๆโดย โทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์
อ๊ากกกกก...!!! เสียงคร่ำครวญของความหวั่นสะพรึงดังก้องไปทั่วทั้งศาลากลาง ท้องฟ้ายังคงมืดมิด แต่แสงจากการเผาไหม้ของลูกไฟวิญญาณกลับส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของลานกว้างและถนนที่อยู่โดยรอบ ทั้งหมดนี้ฉายประกายแสงสีเงินไปยังศาลากลาง แทบจะเหมือนกับว่ามันคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่กลางเมือง – สว่างไสวและเปล่งประกาย
มันเป็นภาพที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดวงจิตของดวงวิญญาณนับล้านดูงดงามยิ่งกว่าหิ่งห้อยในค่ำคืนฤดูร้อน แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกที่อยู่ด้านบนของอาคารก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมากับภาพตรงหน้า “แม้แต่วิญญาณของมนุษย์ที่น่าเกลียดที่สุดก็ยังถูกเผาไหม้ด้วยสีขาวเงิน ช่างน่าทึ่งจริงๆ”
เป๊าะ…โนบูนางะดีดนิ้ว ลูกไฟวิญญาณที่เผาไหม้ก็ขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นลูกไฟที่มีขนาดประมาณหนึ่งเมตร! เสียงร่ำไห้และครำ่ครวญของเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบดังและรุนแรงมากกว่าเดิม พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกได้ว่าดวงจิตของตัวเองกำลังถูกเผาไหม้และกำลังจะหลุดออกจากร่าง แม้แต่เหล่าวิญญาณที่ปราศจากการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณก็สามารถบอกได้ว่านี่คือวินาทีแห่งความตายของพวกเขา
โนบูนางะชักดาบคาตานะของเขาออกมาอีกครั้ง กระชับมือที่จับด้ามจับแน่นขึ้น ก่อนจะตวัดมันด้วยองศาที่สมบูรณ์แบบ
ฟึ่บ!!!
คลื่นกระแทกพลังหยินที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดไปทั่วทั้งเมืองกู่เฉิง ด้วยการฟันอันทรงพลัง ลูกไฟวิญญาณทั้งหมดที่เผาไหม้อยู่ภายในปากก็ถูกตัดขาดออกจากร่างกายทันที และจากนั้น…พวกมันก็ค่อยๆลอยไปยังประตูทางเข้าของศาลากลางราวกับดอกไม้ไฟ!
ฟุ่บ…มันดูไม่ต่างอะไรกับฝนดาวตกเลยแม้แต่น้อย ลูกไฟวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปตามอากาศ ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาของรอยแสงที่มันพุ่งไป ก่อนมันจะรวมเข้าด้วยกันราวกับการเต้นรำของมังกรแสงกว่าล้านตัวที่มาบรรจบกันในจุดเดียว และไม่กี่วินาทีต่อมา พร้อมกับการระเบิดของแสงที่สว่างไสว กลุ่มก้อนลูกไฟวิญญาณกลายเป็นตะเกียงโบราณที่สูงประมาณหนึ่งเมตรซึ่งเผาไหม้อยู่ที่หน้าทางเข้าของศาลากลาง!
ในขณะเดียวกัน ลูกไฟวิญญาณจำนวนมากก็ยังคงหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ตะเกียงโบราณที่ตอนแรกเริ่มต้นด้วยเปลวไฟที่แผ่วเบาก็ค่อยๆลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด…มันก็กลายเป็นโคมลอยขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟซึ่งสูงกว่าสิบเมตรอยู่ภายใน!
นี่คือ โทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์ – บทลงโทษที่รุนแรงที่สุดที่ได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยมโลก มันเปรียบได้กับโทษประหารชีวิตในแดนมนุษย์… ไม่สิ… หากพูดกันตามตรง มันแย่กว่าโทษประหารชีวิตเสียอีก เพราะดวงจิตที่อยู่ภายในโคมจะยังไม่สลายไปในทันที
กลับกัน…พวกมันจะเผาไหม้ไปเรื่อยๆและต้องทุกข์ทรมานกับมันไปเป็นเวลากว่าร้อยปีก่อนที่จะสลายไปจนหมดสิ้น และจนกว่าที่พวกมันจะสลายไป พวกเขายังต้องประสบกับความวินาทีแห่งความเจ็บปวด – ไม่ดับ ไม่ตาย และไม่ลดลง
เมื่อโคมลอยก่อตัวเสร็จสิ้น ร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นซึ่งเคยเป็นที่สิ่งสถิตของดวงจิตพวกนั้นก็แน่นิ่งไปราวกับพวกเขาเป็นเพียงรูปปั้นดินเผา เมื่อมีสายลมเย็นที่พัดผ่านมา ร่างทั้งหมดก็สลายกลายเป็นผุยผงที่พัดไปตามลม
ทุกอย่างจบลงแล้ว…
กลับมาด้านในของศาลากลาง หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกอ้าปากค้างขณะที่จ้องมองไปยังภาพที่น่าตกตะลึงด้านล่างด้วยความเหลือเชื่อ ในที่สุดทุกอย่างก็จบลง…เมืองกู่เฉิงได้กลายเป็นพื้นที่แรกที่เป็นอิสระจากกองกำลังของโลกใต้พิภพนับตั้งแต่มีการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ!
แม้ว่ามันเป็นเพียงเมืองเดียว มันก็ยังมีความสำคัญเป็นอย่างมาก!
หลังจากข่มความตื่นเต้นภายในใจ เขาก็เอ่ยออกมาเบาๆ “นี่คุณได้บันทึกมันไว้หรือเปล่า?” ข้าราชการที่อยู่ด้านหลังก็ตอบกลับในทันที “ทุกวินาทีครับ พวกเราได้ใช้เทคโนโลยีการจับภาพที่ทันสมัยที่สุดของทาง SRC ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ แต่เราก็ยังสามารถจับภาพการปรากฏตัวของวิญญาณได้ในระยะเวลา 20 นาที”
ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกพยักหน้า จากนั้นก็ลืมตาขึ้นและเผยให้เห็นแววตาที่เป็นประกาย จากนั้นจึงหันไปหาเพื่อนร่วมงานของตนเอง “อวี๋กวนจู่ เราไปหาขุยมู่หลางผู้นี้ดีหรือเปล่า?”
“แน่นอน” อวี๋กวนจู่เอ่ยออกมาขณะที่จ้องมองไปยังฉินเย่เขม็ง “นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยมทูตปรากฏตัวขึ้น พวกเราจะปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ในขณะที่ทุกคนยังคงจับจ้องไปยังภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตร บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น มันเป็นพื้นที่ก่อสร้าง คนงานวัยกลางคนซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบลายพรางที่กำลังห้อยตัวลงมาจากเพดานก็จ้องมองไปยังทิศที่ตั้งของศาลากลางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เขาไม่ใช่คนตาย แต่ร่างทั้งร่างของเขากลับสั่นเทา ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็กระโดดลงมาด้านล่างและนอนราบอยู่บนพื้นราวกับแมงมุม “นี่คือยมทูตอย่างนั้นหรือ? มันคือการบังคับใช้กฎของยมโลกอย่างที่ท่านขงบอกใช่หรือไม่?”
“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว…เกรงว่าแม้แต่ท่านขงเองก็ไม่รู้ว่ายมโลกมีกองกำลังเป็นของตัวเอง! ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่ายมโลกได้ล่มสลายไปตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนแล้วหรอกหรือ? หากปราศจากยมทูต มันก็ไม่น่าจะมีทหารวิญญาณด้วยซำ้!”
“ดีจริงๆที่ท่านขงให้เราอยู่แถวนี้เพื่อจับตาดูเขตนักล่า ไม่…เราจะต้องกลับไปหาท่านขงทันที… ยมโลกมีทหารวิญญาณ… นี่จะต้องส่งผลกระทบต่อแผนการในอนาคตของเราเป็นแน่!”
เขาแตะใบไม้สีทองกับที่ปากของตัวเอง และมันก็ปกปิดพลังหยินของเขาและยังทำให้ร่างของเขาแผ่พลังหยางออกมา ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา จากนั้นเขาก็เปลี่ยนร่างเป็นสายลมที่สลายหายไปจากบริเวณนั้น
……………………………………………….
กลับมาที่ศาลากลาง ดวงตาของฉินเย่วูบไหวเล็กน้อยขณะที่ร่างของเหล่าวิญญาณตรงหน้าค่อยๆสลายหายไป เขาสัมผัสได้ถึงแหล่งพลังปราณที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองปะทุออกมาจากชั้นบนของตัวอาคาร
ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลออกไป
มาแล้วหรือ? ดวงตาของฉินเย่หรี่เล็กลง ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกของแดนมนุษย์… นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกคนอื่นนอกจากโจวเซียนหลง เขาได้แสดงความสามารถของยมโลกให้อีกฝ่ายเห็นแล้ว ต่อไปก็เป็นคราวของแดนมนุษย์บ้าง
“ท่านพี่ฉิน… ท่านจะพูดคุยกับทางรัฐบาลจริงๆน่ะหรือ? ไม่ใช่ว่าท่าน…มักจะหวาดกลัวพวกเขาหรืออย่างไร?” หวังเฉิงห่าวถามเบาๆ ประชาชนจีนมักจะค่อนข้างหวั่นเกรงต่อรัฐบาลของพวกเขาอยู่เสมอ
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว พวกเขาก็คือศูนย์รวมของอำนาจลึกลับ – อย่างน้อย นี่ก็คือมุมมองที่ชาวจีนมีต่อรัฐบาลของพวกเขา
“ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเองก็เช่นกัน ต้องการจะทำทุกอย่างโดยพอประมาณ หากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะยืดระยะของทุกอย่างออกไป แต่น่าเสียดาย…ที่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา
มันจะเป็นการกระทำที่ประมาทเกินไปหากจะรอให้ยุครณรัฐของโลกใต้พิภพอุบัติขึ้นก่อนที่จะจัดการกับแดนมนุษย์ นี่คือขั้นเริ่มต้นของการก่อตัวของยุคสมัยใหม่ และมันก็จะเป็นการดีที่สุดที่จะจัดการกับมันทันที เขาคงเลือกที่จะพูดคุยกับแดนมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อตอนที่ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น พวกเขาจะได้สามารถยืนหยัดบนรากฐานของความเชื่อใจและใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของกันและกันได้!
บางที มันอาจจะใช้เวลาอีกประมาณสิบปีหรือร้อยปีก่อนที่ยุครณรัฐของโลกใต้พิภพจะอุบัติขึ้นอย่างแท้จริง แต่…ฉินเย่ไม่สามารถรอนานกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาไม่อยากทำในสิ่งที่จ้าวนรกองค์แรกของยมโลกได้ทำลงไป
ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสองร่างก็เผยตัวออกมา ชายสูงวัยร่างผอมที่สวมเสื้อคลุมของนักพรตเต๋าประสานฝ่ามือและกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างเคารพและเอ่ยแนะนำตัวเอง “กระผมอวี๋กวนจู่ ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกระดับกลาง เขาคือหัวหน้าฟาง หัวหน้าของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองหยิงเทียน เขายังเป็นหัวหน้าของแผนกทรัพยากรบุคคลของหน่วยสอบสวนพิเศษอีกด้วย เราทั้งสองขอคารวะ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันไปยังเหล่ามนุษย์ที่อยู่โดยรอบซึ่งกำลังใช้กล้องจับภาพทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นเอาไว้
ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กร วินาทีนี้ ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกกว่า 20 คนและขั้นฝู่จวินอีกหนึ่งคนกำลังนั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมภายในเมืองเยียนจิง จับตาดูภาพการติดต่อกันครั้งแรกระหว่างแดนมนุษย์และยมโลก!
ทุกการกระทำและคำพูดของพวกเขาถูกส่งและเล่นผ่านหน้าจอสังเกตการณ์ภายในห้องโดยตรง ในขณะที่เสียงพูดทั้งหมดถูกส่งผ่านหูฟังที่สวมอยู่ หากพูดกันตามตรงแม้แต่ผู้ฝึกตนในตำนานทั้งสองที่อยู่ภายในถ้ำหลงเหมินและภูเขาชิงเฉิงเองก็มองไปทางเมืองกู่เฉิงด้วยความตกตะลึงเช่นกัน!
เสาหลักทางกองกำลังทั้งสามที่อยู่กระจายกันตามจุดต่างๆของจีนและพวกระดับสูงของรัฐบาลต่างตื่นขึ้นในวินาทีนี้
แดนมนุษย์มีคำถามมากมายที่ต้องการจะถาม! และมันก็ไม่มีใครอยากปล่อยโอกาสนี้ไป!
ฉินเย่พยักหน้าเบาๆ ยังคงรักษาท่วงท่าที่สูงศักดิ์และบุคลิกที่เย็นชาต่อไป
“ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าต้องการจะถามสิ่งใด” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “แต่…หยินและหยางนั้นไม่สามารถยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างในยมโลกที่ข้าไม่สามารถบอกพวกเจ้าได้ แต่ข้าสามารถรับรองได้เลยว่ายมโลกกำลังอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูจากความเสียหายที่เราได้รับ และจะกลับไปอยู่ในจุดที่สามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับแดนมนุษย์ได้ในไม่ช้า อีกไม่นานพวกเราจะนำพายมโลกกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์และจบความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้”
“‘ไม่นาน’ ที่ว่าของคุณคือเร็วแค่ไหน?” หัวหน้าฟางรวบรวมข้อสงสัยของเขาทั้งหมดไว้ในคำถามเดียว นี่คือคำถามหลักที่อยู่ภายในหัวของทุกคนตอนนี้
ฉินเย่ส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาเบาๆ “น่าเสียดาย แต่มันไม่มีสิ่งใดที่แดนมนุษย์สามารถช่วยยมโลกได้ในเรื่องนี้ ความหายนะที่เกิดขึ้นกับยมโลกนั้นอยู่นอกเหนือจากจินตนาการของแดนมนุษย์ หากทุกอย่างดีขึ้น เราจะไม่อายที่จะขอความช่วยเหลือจากแดนมนุษย์ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว หยินและหยางก็เป็นเหมือนทั้งสองด้านของเหรียญ ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากซึ่งกันและกัน”
ลักษณะการพูดของฉินเย่ได้ปิดกั้นคำถามมากมายตามมา และแม้แต่การพูดคุยถึงตื้นลึกหนาบางของเรื่องทั้งหมดทันที แต่ถึงกระนั้น อวี๋กวนจู่ก็ไม่เต็มใจที่ยอมปล่อยไป เขารีบถามต่อทันที “เช่นนั้นมันมีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้บ้างหรือไม่?”
หวังเฉิงห่าวมึนงง เหตุใดท่านพี่ฉินจึงพูดแบบนี้? มันมีอะไรหลายอย่างที่ยมโลกต้องการความช่วยเหลือ! มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะพูดทุกอย่างกับแดนมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา?
“ตอนนี้ยมโลกตกอยู่ในความยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก มันมีอะไรหลายๆอย่างที่พวกเราต้องซื้อจากแดนมนุษย์ แต่เราก็พยายามหาช่องทางการติดต่อสื่อสารที่เหมาะสมอยู่ บางที…” ฉินเย่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเราอาจจะจัดตั้งตลาดไสยเวทย์ขึ้นเพื่อทำการค้าระหว่างแดนมนุษย์และยมโลกก็เป็นได้”
ชายทั้งสองพยักหน้าด้วยแววตาที่นิ่งสงบ
ฉินเย่สบตากับทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตาไป “นอกจากนี้ เริ่มตั้งแต่นี้ไปเป็นเวลาอีกสองปี ข้าหวังว่าเมื่อเหล่าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดที่เสียชีวิตลง โลงศพของพวกเขาจะถูกส่งไปยังเมืองหวู่หยาง…”
ชายทั้งสองนิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “เท่านี้หรือ?”
ฉินเย่พยักหน้า
หวังเฉิงห่าวที่ยืนอยู่ด้านหลังกระตุกแขนเสื้อของฉินเย่เบาๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ทำไมกัน?!
หวังเฉิงห่าวจ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นแววตาของเขาที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่สวมอยู่ได้ เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่ท่านทำทุกอย่างมากมายขนาดนี้เพื่อที่จะพูดคำเหล่านี้กับแดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ? พวกเขากำลังเสนอเช็คเปล่าให้กับท่าน แล้วทำไมท่านถึงเอ่ยคำขอเล็กๆน้อยๆนี้ออกไป?!