ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 406: กองทหารรักษาการณ์
บทที่ 406: กองทหารรักษาการณ์
หวังเฉิงห่าวเงียบไป
เขาค่อยๆครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินเย่พูด ที่ผ่านมา เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไมฉินเย่ถึงไม่รีบยื่นมือไปช่วยแดนมนุษย์เพื่อขอความช่วยเหลือในการพัฒนาของยมโลก
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ การเงียบหายไปนานกว่าร้อยปีของนรกได้สร้างรากฐานของความไม่ไว้วางใจและความสงสัยขึ้นมา ดังนั้นแดนมนุษย์ควรจะลงทุนในยมโลกอีกครั้งอย่างนั้นหรือ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า?!
การพูดจาไพเราะและคารมคมคายไม่ได้ทำให้ยมโลกได้เปรียบอะไรเมื่อเข้าสู่เรื่องของการเจรจา ลองดูเหล่าผู้นำทั้งหลายสิ พวกเขาทั้งหมดล้วนเชี่ยวชาญในการเจรจาทั้งสิ้น และพวกเขาย่อมสามารถมองทะลุคำพูดอันสวยหรูทั้งหมดและรับรู้ถึงสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างดีที่สุด พวกเขาก็อาจจะลงทุนเพียงเล็กน้อย แต่หากพวกเขาไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆเมื่อถึงเวลา พวกเขาก็คงจะรีบเรียกคืนทรัพยากรทั้งหมดและเลือกที่จะพึงพาความสามารถของตัวเองแทน
ในทางกลับกัน สิ่งที่ยมโลกต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือวิญญาณ เพราะพวกเขาจะสามารถสร้างกองกำลังทหารวิญญาณได้ก็ต่อเมื่อมีวิญญาณเท่านั้น และเมื่อมีทหารวิญญาณมากพอ พวกเขาจึงจะสามารถเริ่มยึดคืนดินแดนที่ยมโลกเคยสูญเสียไปกลับมาได้ มันคือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยการอัดฉีดเงินทุนและทรัพยากร
จริงอยู่ที่การก่อตั้งเมืองย่อมหมายถึงการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นมาตลอดระยะเวลาร้อยปี แต่…แล้วตัวเมืองเล่า?
งานโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่นการสร้างทางหลวงที่เชื่อมต่อแต่ละเมืองก็ยังเป็นสิ่งที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีกำลังวิญญาณที่เพียงพอ อสูรวิญญาณ ธรรมชาติ และแม้แต่ลิมโบล้วนเป็นตัวแปรที่สามารถกำจัดวิญญาณที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างง่ายดาย หากมีวิญญาณไม่เพียงพอ จำนวนทรัพยากรในแต่ละเมืองก็คงจะมากกว่ากำลังวิญญาณที่มี ประสิทธิภาพทั้งหมดก็จะลดลง และสิ่งที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือ พวกเขาควรจะจ่ายเงินปันผลให้กับการลงทุนของแดนมนุษย์อย่างไรเมื่อปราศจากทางหลวงของชาติ? สร้างรอยแยกที่เชื่อมต่อลิมโบและแดนมนุษย์ขึ้นที่อีกหนึ่งอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง
การบรรจบกันของตัวแปรเบื้องต้นจะต้องทำให้ความร่วมมือระหว่างโลกทั้งสองพังทลายลงอย่างรวดเร็วเหมือนที่มันก่อตัวขึ้นอย่างแน่นอน
“ดังนั้น มันจะเป็นการดีกว่าหากเราจะสร้างทางหลวงของชาติให้เสร็จเสียก่อนแล้วจึงเริ่มต้นการร่วมมือระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์…” หลังจากพิจารณาเรื่องทั้งหมด หวังเฉิงห่าวก็มองฉินเย่ด้วยสายตาตกตะลึง “ท่านพี่ฉิน ท่านนี่สุดยอดไปเลย ไม่คิดเลยว่าท่านจะ—…”
ฉินเย่ยิ้มอย่างอายๆ “ข้ารู้ แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากเจ้าจะเก็บความคิดที่ไม่สมควรพวกนั้นไว้กับตัวเองและทำตัวให้เหมาะสมขณะที่อยู่รอบๆตัวข้า~~”
คำพูดชื่นชมที่หวังเฉิงห่าวเตรียมไว้ให้ฉินเย่หายไปในอากาศทันที เขารู้สึกทึ่งกับความสามารถในการหยุดยั้งบทสนทนาของฉินเย่เป็นอย่างมาก
“แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด” โนบูนางะยิ้มขณะที่เอ่ยขึ้น “มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้น มณฑลซานตงคือสถานที่ที่เราจะเผชิญหน้ากับกองกำลังพันธมิตรวิญญาณอย่างเต็มรูปแบบ ไม่สิ…มันอาจจะถูกต้องกว่าหากจะเรียกมันว่าพันธมิตรเทพแห่งสงคราม!”
“นี่คือสัญญาณของความโกลาหลที่กำลังจะเกิดขึ้นในแดนมนุษย์ จุดจบของราชวงศ์ต่างๆล้วนสามารถมองเห็นได้จากการถือกำเนิดขึ้นของเทพแห่งสงคราม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี พันธมิตรหมายความว่าพวกเขามีความเป็นไปได้ที่จะรวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งเดียวซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของตัวเอง ดังนั้นหากพวกเราสามารถทำลายพวกเขาได้ เราก็จะประกาศได้ทันทีว่าทั้งมณฑลซานตงได้เป็นอิสระจากกองกำลังโลกใต้พิภพแล้ว ส่วนพวกวิญญาณปลายแถวที่ยังคงเหลืออยู่ในมณฑลใกล้เคียงนั้นไม่ควรค่าแก่การพิจารณาเลยสักนิด”
โนบูนางะหันไปมองฉินเย่ด้วยความชื่นชม “เมื่อเทียบกับอิสรภาพของเมืองแล้ว อิสรภาพของทั้งมณฑลนั้นมีค่ากว่ามาก นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์ถึงขัดขวางการลงทุนของแดนมนุษย์ ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง ท่านฉิน ความสามารถในการจับจุดมนุษย์และคว้าโอกาสในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพระองค์นั้นช่างไร้ที่ติ ด้วยการนำของฝ่าบาท ข้ามั่นใจอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถยึดครองญี่ปุ่นได้เมื่อเวลานั้นมาถึง”
ฉินเย่ยิ้ม “อย่างน้อยข้าก็ควรจะมีสิ่งที่แสดงถึงการใช้ชีวิตในแดนมนุษย์มามากกว่าร้อยปีบ้างไม่ใช่หรือ? เพราะท้ายที่สุดแล้ว…”
แววตาของฉินเย่เป็นประกายเย็นยะเยือก “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการเดินทางไปยังเมืองหวู่หยางของเราในครั้งนี้ สร้างทางหลวง และกวาดล้างนครชฺวีฟู่ให้ได้ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม! จากนั้น ด้วยการลุงทุนของแดนมนุษย์ รวมถึงการเริ่มต้นการค้าที่เมืองท่า…การพัฒนาของยมโลกจะต้องพุ่งทะยานไปสู่อีกจุดหนึ่งอย่างแน่นอน!”
จริงอยู่ที่เขาสามารถสร้างทางหลวงนี้จากเมืองเป่าอันได้ แต่นั่นก็จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งฐานปฏิบัติการของพวกเขาทันที เขาไม่สามารถสูญเสียที่กำบังในแดนมนุษย์ได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ การเดินทางสำรวจจึงเป็นก้าวแรกในการขยายตัวครั้งใหญ่ของยมโลก มันจะช่วยขับเคลื่อนพวกเขาออกจากข้อจำกัดของการเป็นเมืองไปสู่การเป็นนคร หลังจากนั้น เมื่อยมโลกมีรากฐานที่มั่นคง มันก็จะถึงเวลาในการเผชิญหน้ากับกองกำลังสามกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมนุษย์ – ราชาผีทั้งสาม และเมื่อถึงเวลานั้น การรวบรวมเศษตราจ้าวนรกก็จะเริ่มมีความหวังมากขึ้น
“หากพูดกันตามตรง...มันยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้ข้าตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้” ฉินเย่หันไปมองกลุ่มพลังหยินตรงหน้าของตน ตอนนี้ พวกเขาค่อยๆเดินเข้าไปในกลุ่มก้อนพลังหยินพวกนี้พร้อมกับทหารวิญญาณกว่าหมื่นนาย โนบูนางะที่ได้ยินเช่นนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงทันที
ยังมีเหตุผลอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?
เขาคิดว่าตัวเองสามารถวิเคราะห์เจตจำนงที่ซ่อนอยู่ภายใต้การตัดสินใจของฉินเย่ได้จนหมดแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่ามันจะยังมีอะไรมากกว่านั้น!
น่าเสียดายที่คำพูดที่ฟังดูลึกลับของฉินเย่นั้นเอ่ยออกมาก่อนที่พวกเขาจะเข้าลิมโบ และสิ่งที่โนบูนางะได้ยินก็เบาเสียจนเขาไม่แน่ใจว่าตนเองหูฝาดหรือไม่
ตุบ ตุบ ตุบ เสียงฝีเท้าของคนสามคนดังขึ้นเบาๆ ตามมาติดๆด้วยเสียงฝีเท้าของกองกำลังทหารทั้งหมดที่ล้อมรอบฉินเย่ โนบูนางะ และหวังเฉิงห่าวไว้ตรงกลางและหันด้านปลายหอกออกไปด้านนอก ก่อตัวเป็นกองกำลังป้องกันที่แน่นหนาเอาไว้
ลิมโบ หมอกสีเขียวดำแพร่กระจายไปทั่ว และพื้นดินทั้งหมดก็เต็มไปด้วยดอกลบความทรงจำ ส่วนนี้ของลิมโบนั้นกว้างกว่าจุดที่ตี้ทิงอยู่มาก หากลองเพ่งสายตามองดีๆ พวกเขายังเห็นเงาดทะมึนของภูเขาและหุบเหวที่อยู่ห่างออกไปอีกด้วย
ไม่มีอสูรวิญญาณ… ฉินเย่ขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงลักษณะของลิมโบที่ตนเองรู้ ในฐานะของดินแดนที่กั้นระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์ มันมักจะเต็มไปด้วยอสูรวิญญาณจำนวนมาก ไม่เหมือนกับยมโลก ที่ซึ่งอสูรวิญญาณมักจะอยู่กันเป็นฝูง อสูรวิญญาณในลิมโบนั้นมีเยอะกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่แปลกเลยที่จะเห็นอสูรวิญญาณสักตัวปรากฏขึ้นในรัศมี 10 กิโลเมตร และเมื่อใดก็ตามที่อสูรหยินมารวมกันมากขึ้น มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดจ่าฝูง หรือที่รู้จักกันในชื่อของราชาอสูรวิญญาณ
นอกเหนือจากนั้น แม้ว่าลิมโบจะตั้งอยู่ระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพ มันก็ยังถือว่าเป็นมิติที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกทั้งสองมาก แบบนี้มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ? ไม่เลยสักนิด อย่างน้อยที่สุด ฉินเย่ก็ไม่เข้าใจตรรกะของมันเลยแม้แต่น้อย แต่เรารู้ดีว่าตนไม่ควรทำความเข้าใจมันด้วยมุมมองและตรรกะของแดนมนุษย์ มันเป็นเรื่องของความเข้าใจเชิงพื้นที่ – บางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ค่อยสนใจนัก และมันก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับการที่ตี้ทิงดูเหมือนว่าจะนอนอยู่ใต้ยมโลก โดยที่แท้จริงแล้วยมโลกนั้นตั้งอยู่ใต้ตี้ทิง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆโดยผ่านตรรกะง่ายๆของมนุษย์
“ฝ่าบาท” โนบูนางะเดินไปอยู่ทางด้านข้างของฉินเย่และถาม “ที่ทรงตรัสเมื่อครู่นี้ พระองค์ทรงหมายความว่าเช่นไรกัน?”
ฉินเย่ทำท่าบอกให้อีกฝ่ายลดระดับเสียงเบาลง ก่อนจะลอยขึ้นไปบนฟ้าและตอบคำถามของโนบูนางะด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ไม่มีอะไรมาก มันเป็นเพียงลางสังหรณ์ของข้าเท่านั้น แต่หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง…เราอาจจะได้รับผลประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างจากการเดินทางลงมายังลิมโบในครั้งนี้”
เขามองไปรอบๆ แต่มันกลับดูรกร้างไปหมด ไม่มีอสูรวิญญาณแม้แต่ตัวเดียวปรากฏให้เห็นในสายตา หากพูดกันตามตรง มันมีเพียงต้นไม้ต้นเดียวเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นในพื้นที่ราบแห่งนี่ ทุกคนสามารถทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้นว่ามีต้นไม้กี่ต้นกันที่ถูกโค่นลงเพื่อปูทางให้กับทหารวิญญาณกว่า 6 หมื่นนาย
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเงยหน้าขึ้นและเริ่มมองไปรอบๆอีกครั้ง และในที่สุด…เขาก็มองเห็นเงาของอะไรบางอย่างที่ดูยิ่งใหญ่คล้ายกับเมือง!
“มีอยู่จริงๆด้วย?” แม้แต่ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ เขาเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและพาโนบูนางะและหวังเฉิงห่าวไปกับตนด้วย
“นี่มัน…” ทั้งโนบูนางะและหวังเฉิงห่าวต่างอดไม่ได้ที่อ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อพวกเขามองเห็นเงาสูงตระหง่านที่อยู่ห่างออกไปขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“เมือง…มันมีเมืองอยู่ที่นี่จริงๆอย่างนั้นหรือ?!” หวังเฉิงห่าวอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ อันที่จริง เขาสามารถบอกได้ด้วยว่ามันมีเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต พร้อมด้วยกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านตั้งอยู่โดยรอบ รวมถึงหอสัญญาณและหอสังเกตการณ์อยู่ทั่วไปหมด
ความคิดที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นภายในหัวของโนบูนางะทันที เขาหันไปมองฉินเย่อีกครั้ง “นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่พระองค์ทรงตรัสถึงอย่างนั้นหรือ? แล้วพระองค์ก็ทรงเดาถูก?”
“ถูกต้อง…” ฉินเย่แย้มยิ้มและสูดหายใจเข้าช้าๆ “สงคราม…คือหนทางสู่ความร่ำรวยอย่างแท้จริง…”
“นี่พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?!” หวังเฉิงห่าวมึนงงเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่มีใครตอบคำถามของเขาในตอนนี้ เพราะทั้งโนบูนางะและฉินเย่ต่างจ้องมองไปที่เมืองตรงหน้าด้วยแววตาที่ลุกโชน
ฟึ่บ...พวกเขาบินมาที่เมืองหน้าของกองกำลังทหารวิญญาณทั้งหมด หลังจากวางร่างของทั้งสองลงบนพื้นแล้ว ฉินเย่ก็บินขึ้นไปบนฟ้าเมื่อดูรอบๆเมือง รวมถึงภาพและเสียงจากบริเวณใกล้เคียง
ด้านนอกของกำแพงเมืองมีกำแพงสูงกว่าสิบเมตร เขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดกันที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ในการเชื่อมต่ออิฐแต่ละก้อน แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามันมีแม้กระทั่งเขาและหนามยื่นออกมาจากกำแพงทั้งหมดพวกมันดูคมและแหลม แทบจะเหมือนกับว่าพวกมันถูกดึงออกมาจากปากของอสูรวิญญาณ เมืองทั้งเมืองไม่ได้หรูหรามาก แต่มันก็สามารถเห็นได้ชัดเลยว่ามันถูกออกแบบมาอย่างประณีต โดยภายในเมืองจะถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน และแต่ละส่วนก็ดูเหมือนจะถูกสร้างด้วยแนวคิดของกองทหาร เห็นได้ชัดเจนว่ามันคือเมืองทหาร หรือกองทหารรักษาการณ์นั่นเอง!
บ้านเรือนจำนวนหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ในขณะที่ส่วนใหญ่ของมันยังคงเป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากหิน พื้นดินราบเรียบ เตาหลอมที่มีไว้สำหรับการหล่อหลอมเหล็กกระจัดกระจายไปตามส่วนต่างๆของเมือง และยังมีแม้กระทั่ง ร้านขายของ ร้านอาหาร และ…สิ่งที่ดูคล้ายกับซ่อง
แต่มันกลับไม่มีวิญญาณให้เห็นเลยแม้แต่ตนเดียว
ธงจำนวนมากถูกติดอยู่บนหน้ากระโจมต่างๆและปลิวไปมาจากสายลม
ร่างของฉินเย่สั่นไหวเล็กน้อย และไม่นานเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นที่หน้าโรงตีเหล็กของเมือง โนบูนางะที่เห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปหาทันที
โรงตีเหล็กแห่งนี้มีขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ คาดว่าน่าจะกินพื้นที่หลายพันเมตร เขาเดาว่ามันคงจะเคยเป็นโรงตีเหล็กของกองกำลังรักษาการณ์มาก่อน ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไป ก็พบเข้ากับภาพที่น่าตกตะลึง สิ่งแรกที่สะดุดตาของเด็กหนุ่มก็คือเตาเผาไหม้ที่ยังคงมีเปลวไฟนรกเผาไหม้อยู่
ฉินเย่เดินไปรอบๆ จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เขาสามารถบอกได้ว่าโรงตีเหล็กแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน ในลักษณะของสายการประกอบ มันมีแม้กระทั่งชุดเกราะที่ยังทำไม่เสร็จวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน โดยที่อุปกรณ์ทุกอย่างกระจัดกระจายไปทั่ว เตาเผามีขนาดกว่าสิบเมตร และเลวไฟนรกสีเขียวก็ยังคงลุกโชนอยู่ด้านใน
“อีกฝ่ายเพิ่งจากไปได้ไม่นานนัก” โนบูนางะเอ่ยออกมาเสียงดัง “หากพูดกันตามตรง พวกเขาคงเพิ่งออกไปจากที่นี่ได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะเลือกที่จะทิ้งเมืองนี้เอาไว้ทันทีที่ศาสตร์เคลื่อนย้ายจักรวาลถูกใช้งาน”
กองวัตถุสีดำขนาดเล็กกองหนึ่งถูกวางทิ้งไว้ข้างๆเตาเผา ฉินเย่หยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เศษหิน? ถ่าน? อาจจะใช่มันให้ความรู้สึกคล้ายกับกระดูก แต่เห็นได้ชัดว่าถูกนำไปผสมเข้ากับบางอย่าง เด็กหนุ่มจึงโยนมันเข้าไปในเตาเผา และเปลวไฟนรกก็ส่งเสียงเปรี๊ยะๆและลุกโชนมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
มันคือถ่านจริงๆ…
“อุตสาหกรรมเคมี” ฉินเย่ยังคงรักษาสีหน้านิ่งสงบเอาไว้ขณะที่เดินไปยังโต๊ะทำงานซึ่งเป็นสายการผลิต จากนั้นจึงชี้ไปที่ชุดเกราะตรงหน้า “อุตสาหกรรมทหาร”
“พวกเขาได้ก่อตั้งอุตสากรรมการแปรรูปวัสดุและการขึ้นรูปแล้ว”
เขาเดินออกมาจากโรงตีเหล็กหลังจากผ่านไปไม่นาน ทหารวิญญาณทั้งหมดเพิ่งมาถึงและเพิ่งเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ โนบูนางะพยักหน้าให้คนทั้งหมด และพวกเขาก็รีบกระจายตัวไปทั่วทุกส่วนของเมือง ถีบประตูบ้านและเข้าตรวจสอบอย่างละเอียด
ฉินเย่ไม่ได้สนใจทหารวิญญาณพวกนั้น กลับกัน เขาเดินไปยังฝั่งของร้านอาหาร บ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี และอื่นๆอีกมากมาย ก่อนจะเริ่มนับอุตสาหกรรมทั้งหมดที่ถูกก่อตั้งขึ้น “อุตสาหกรรมบันเทิง อุตสาหกรรมอีโรติก การวางผังเมือง… การพัฒนาทางอารยธรรมของพวกเขานั้นนำหน้ายมโลกในเวลานี้ไปอย่างน้อย 20 ปี”
ในระหว่างนี้ หวังเฉิงห่าวยืนฟังบทสนทนาระหว่างฉินเย่และโนบูนางะมาโดยตลอด เขารู้ดีว่าตัวเองยังด้อยประสบการณ์เกินกว่าที่จะเอ่ยแสดงความคิดเห็นใดๆได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามตั้งใจฟังรายละเอียดทั้งหมดและพยายามทำความเข้าใจกับมัน เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็อยากทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ เขาไม่ต้องการทำให้พี่เลี้ยงคนใดของเขาผิดหวัง
ฉินเย่และโนบุนางะยังคงหารือกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หวังเฉิงห่าวจะยอมแพ้ให้กับความอยากรู้ของตัวเองและถามออกไป “ข้ามีคำถามที่อยากจะถามมาสักพักหนึ่งแล้ว… เหตุใดพวกท่านจึงดูไม่รีบร้อนเลยสักนิด? พวกเรากำลังพูดถึงความก้าวหน้าที่นำหน้ายมโลกไปถึง 20 ปีเชียวนะ! แค่สิบปีก็ถือว่าเป็นหนึ่งยุคสมัยแล้ว! นอกจากนี้ เมืองนี้ก็ไม่ได้อยู่ในยมโลกด้วยซ้ำ มันตั้งอยู่ในลิมโบ! เหตุใดพวกท่านทั้งสองจึงดู—…”
“เหตุใดพวกเราถึงดูดีใจนัก?” ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันยังมีเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาอย่างหวังหนึ่งหางติดตามมากับพวกเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงหันกลับไปหาอีกฝ่ายและหัวเราะเบาๆ “ง่ายมาก... นั่นก็เพราะ… นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงรางวัลที่เราจะได้จากสงคราม”
รางวัลที่เราจะได้จากสงคราม?
นี่ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? อัตราการพัฒนาทางเศรษฐกิจของฝ่ายตรงข้ามถือว่าเป็นรางวัลจากสงครามได้อย่างไร?
“ใช่…ยิ่งพวกเขาพัฒนามากเท่าไหร่ ผลประโยชน์ที่เราจะได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเมื่อพวกเราสามารถกวาดล้างนครชวีฟู่ได้สำเร็จ!” ฉินเย่มองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในยมโลกแล้วอย่างไร? นั่นมันไม่สำคัญเลยสักนิด มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่วิญญาณจะเดินทางผ่านลิมโบเมื่อพวกเขาเข้าสู่โลกใต้พิภพอยู่แล้ว นี่คือเมืองที่ควรค่าแก่การถูกใช้เป็นทางเข้าที่นำไปสู่ยมโลก นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเทคโนโลยี รวมถึงวิญญาณที่มีความรู้ในวิธีการใช้มัน!”
“สถานที่แห่งนี้ทำให้เราได้รู้ว่าเมืองของขงโม่นั้นพัฒนาไปถึงขึ้นใดแล้ว! นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะเห็น! ดังนั้น เมื่อเราสามารถกวาดล้างนครชฺวีฟู่ได้ เราก็จะสามารถยึดครองเทคโนโลยีทั้งหมดของฝ่ายตรงข้ามและนำมันมาเป็นของตัวเองได้ หรือต่อให้เราจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เราก็ยังได้รับเมืองๆหนึ่งมาโดยไม่ต้องลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากเราเปลี่ยนให้เมืองเหล่านี้กลายเป็นเพียงพื้นที่ราบภายในลิมโบ เราก็ยังได้รับอะไรมากมายจากการเดินทางในครั้งนี้! หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ฐานทัพของอีกฝ่ายจะตกเป็นของเรา!”