ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 407: ความร่ำรวยจากสงคราม
บทที่ 407: ความร่ำรวยจากสงคราม
วิธีการใดที่จะทำให้เรารวยเร็วที่สุด?
ปล้นธนาคารอย่างนั้นหรือ?
ไม่ ไม่ ผิดแล้ว อย่างมากที่สุด นั่นก็จะทำให้คุณได้เงินหลายแสน หรืออาจจะไม่กี่ล้านเท่านั้น ทางธนาคารไม่มีทางเก็บเงินสดจำนวนมากไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน ทุกอย่างตอนนี้ล้วนเป็นดิจิตอล! สังคมไร้เงินสดโดยสมบูรณ์!
สงคราม – คือทางเดียวเท่านั้น!
ความร่ำรวยจากสงครามนั้นอยู่คนละระดับอย่างสิ้นเชิง ความมั่งคั่งทั้งหมดที่อยู่ภายในดินแดนนั้นๆมีมูลค่าถึงล้านล้าน! เรากำลังพูดถึงประเทศ เมือง และผู้คนนับล้าน! นี่ยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์พิเศษของแต่ละเมืองอย่างทองคำ เงิน และอัญมณีล้ำค่าและแร่ต่างๆ!
หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
เมืองทั้งเมือง… เมืองที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มากกว่ายมโลกแห่งใหม่!
เมืองทั้งเมืองถูกละทิ้งและพร้อมใช้งาน เหมือนดั่งเช่นหญิงสาวที่นอนเปลือยกายรอพวกเขาอยู่ และตอนนี้…มันก็ถูกวางอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว!
“พระเจ้า… เมือง…เมืองใหม่? เรา…เป็นเจ้าของเมืองทั้งหมดนี่อย่างนั้นหรือ?!” หวังเฉิงห่าวตกตะลึง “ข้าหมายถึง…เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ… ละ แล้วเราได้เมืองใหม่ได้อย่างไรกัน?!”
สีหน้าของฉินเย่บูดบึ้ง “เรื่องนั้น…เจ้าไม่มีความสามารถที่จะคิดมันได้ด้วยตัวเองเลยหรืออย่างไร? ไม่รู้หรือว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้าง? ไม่เข้าใจความหมายอย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย? นั่นมันเป็นการกล่าวหาชัดๆ…ข้าไม่ได้ระดมกองกำลังทหารหมื่นนายและเดินทัพมาที่นี่หรืออย่างไร?”
หัวใจของหวังเฉิงห่าวพลันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะสาปแช่งฉินเย่ทันที น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรพวกนั้น ด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก เขาจ้องมองไปพื้นดินและกำแพงที่อยู่รอบๆตน ราวกับเป็นเด็กน้อยน้ำหนัก 200 ปอนด์ที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ หลังจากผ่านไปห้านาที เขาก็หันกลับไปหาคนทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “มะ หมายความว่าพวกเราได้เมืองมา…โดยแค่การเดินทัพมาอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตัดสินใจที่จะยุติโปรแกรมการฝึกฝนหนึ่งหางทันที มันเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้คนแบบนี้เดินอยู่บนเส้นทางของมนุษย์ต่อไป
ฉินเย่กัดฟันกรอด “บอกข้าที เจ้ามีอะไรดีอีกบ้างนอกจากหน้าตาของตัวเอง?”
หวังเฉิงห่าวจับหน้าของตัวเองด้วยความตกใจ “เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ?”
ให้ตายเถอะ…วันนี้เขาจะต้องทิ้งสายฝนเพลิงนรกใส่อีกฝ่ายให้ได้… อย่า.. ไม่ว่าใครก็อย่ามาห้ามเขาเด็ดขาด!
ทันใดนั้นเอง โนบูนางะก็เอ่ยขึ้น “เมืองที่ถูกสร้างขึ้นและพร้อมใช้งานสามารถใช้เป็นหัวสะพานในการสำรวจลิมโบได้ และมันยังสามารถใช้เป็นสถานที่หลบภัยจากกองกำลังของศัตรูได้ด้วย มูลค่าของมันนั้นไม่สามารถคำนวณได้ นอกจากนี้ อสูรวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็หนีไปจนหมดแล้ว และเจ้าสามารถบอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เมืองชั่วคราว นี่คือเมืองด่านหน้าที่ใช้เป็นป้อมปราการ…ที่มีมูลค่าอย่างต่ำพันล้านหินวิญญาณหรืออาจจะมากกว่านั้น! สงครามคือสิ่งที่สร้างผลประโยชน์มหาศาลอย่างแท้จริง!”
ฉินเย่ค่อยๆเดินไปยังร้านอาหารและไล่นิ้วไปตามเก้าอี้และโต๊ะสีดำ “มูลค่าที่แท้จริงของมันอยู่ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มันนำมาสู่เรา ข้าคงต้องขอยอมรับเลยว่าพวกเขาควรค่าแล้วที่ถูกเรียกว่าตระกูลขุนนางของแผ่นดินจีน แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นเร็วกว่าเราหลายสิบปี แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้สำเร็จก็น่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว และนั่นยังไม่ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกด้วย…ข้าเริ่มอยากรู้แล้วเหมือนกันว่าพวกเขายังมีสิ่งใดเก็บไว้ให้เราประหลาดใจอีก?”
“มันเป็นของเราจริงๆหรือ?” หวังเฉินห่าวสัมผัสกับราวไม้ของขั้นบันไดด้วยความตื่นเต้น “พวกเขา…จะไม่กลับมาใช่หรือไม่?”
ฉินเย่ไม่ได้สนใจคำถามที่พิลึกนั้น แต่เป็นโนบูนางะเองที่พยักหน้าและตอบกลับมาด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก “พวกเขาจะไม่กลับมา”
โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเริ่มวาดแผนที่อย่างง่ายขึ้นบนโต๊ะด้วยพลังของตัวเอง “เสี่ยวหวัง เจ้าควรจะพิจารณาให้ดีว่าเหตุใดพวกเขาจึงละทิ้งเมืองไปตั้งแต่แรก”
ฉินเย่ดูเหมือนว่ากำลังมองดูเคาน์เตอร์โบราณด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ความจริงก็คือเขากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่โนบูนางะกำลังจะพูด เขาอยากจะรู้ว่าโนบูนางะนั้นมีไหวพริบอยู่ในระดับใด
นี่เปรียบเสมือนกับการทดสอบระดับความสามารถในการเข้าใจดีๆนี่เอง
โนบูนางะอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้ายังจำได้หรือไม่ตอนที่ท่านฉินเคยพูดว่าราชาผีแห่งสามมณฑลทางตะวันออกจะไม่มีทางเข้าไปใกล้เมืองเยียนจิง ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะข้ามช่องแคบและตรงไปที่มณฑลซานตง?”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้า และโนบูนางะก็เอ่ยต่อ “หากมันเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้น…มณฑลซานตงก็น่าจะกำลังลุกเป็นไฟ ราชาผีแห่งพิภพอสูรอยู่เหนือเขา และมันยังมีพันธมิตรของตุลาการนรกทั้ง 13 อยู่ข้างล่าง การปล่อยกองกำลังรักษาการณ์ 6 หมื่นนายไว้ที่นี่อาจกระตุ้นให้เกิดสงครามครั้งใหญ่กับยมโลก เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ดึงกองกำลังของตัวเองกลับไปอีกต่อไป และนั่นก็อาจจะเป็นการเปิดช่องว่างให้ราชาผีแห่งพิภพอสูรตามที่เขาต้องการ”
เขาย่อตัวลงและเริ่มวาดลงบนพื้นด้วยพลังหยินของเขาอีกครั้ง “สิ่งที่ต้องเดิมพันนั้นสูงเกินไป มันจะเป็นการไม่รอบคอบเกินไปหากจะอยู่รอบๆและเสี่ยงที่จะถูกกักตัวไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะดึงกองกำลังทั้งหมดกลับไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด….”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้กระทำผิดในครั้งนี้คือผู้ใด?”
คำถามที่ถูกถามอย่างกระทันหันทำให้หวังเฉิงห่าวตกใจเล็กน้อย แต่ฉินเย่ก็ได้เล่าให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับการพูดคุยของตนเองกับตี้ทิงก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น หวังเฉิงห่าวจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไปว่า “ขงโม่?”
โนบูนางะยิ้มกว้าง ในขณะที่หวังเฉิงห่าวเข้าใจทั้งหมดในทันที “ใช่…ใช่แล้ว! ขงโม่หวาดระแวงยมโลกแห่งเก่ามาก! เขารู้ดีว่ายมโลกแห่งเก่าจะไม่มีทางถอยกลับแม้ว่าจะกวาดล้างทั้งเมืองแล้ว อันที่จริง เขาหวาดกลัวยมโลกมากจนเลือกที่จะละทิ้งเมืองทั้งเมืองแทนที่จะเสี่ยงมีเรื่องกับยมโลกในตอนนี้! นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เราได้รางวัลจากสงครามใช่หรือไม่?”
โนบูนางะหัวเราะออกมาเสียงดัง “หากจะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาแค่พยายามจะรวบรวมกองกำลังในระแวกใกล้เคียง แต่พวกเขาก็พบเข้ากับท่านฉินโดยบังเอิญ ในความคิดของพวกเขา ภัยคุกคามจากยมโลกแห่งเก่านั้นมากกว่าภัยคุกคามจากราชาผีที่อยู่เหนือตนมาก ดังนั้น…อีกฝ่ายจึงระดมสมาชิกในพันธมิตรทั้งหมดเพื่อกำจัดท่านฉินให้ได้ภายในคราวเดียว จากนั้น หลังจากการจากไปของท่านฉิน พวกเขาก็ได้รับข่าวว่ายมโลกได้ระดมกองกำลังเพื่อกำจัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรีบถอนกำลังกลับไปยังซานตง ที่ซึ่งพวกเขาจากมา นี่ความความจริงเกี่ยวกับเมืองที่ว่างเปล่านี้”
หวังเฉิงห่าวจ้องมองไปยังลูกศรสีดำที่โนบูนางะได้วาดเอาไว้บนพื้น ก่อนจะหันกลับมามองโนบูนางะด้วยแววตาชื่นชม ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงเป็นตัวละครเอกในเกมหลายๆเกม สุดยอดมาจริงๆ!
โนบูนางะไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาที่เป็นประกายของหวังเฉิงห่าวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขายังคงวาดจุดสีดำขนาดใหญ่ไว้ตรงที่ตั้งของนครชฺวีฟู่ ก่อนจะทุบกำปั้นของตนลงบนฝ่ามือ “เราอาจจะคาดเดาไม่! อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็หมายความว่ามณฑลซานตงในเวลานี้ได้มีทั้งกลุ่มพันธมิตรของขั้นตุลาการนรกและกองกำลังของพวกเขา รวมถึงราชาผีแห่งพิภพอสูรและกองกำลังของเขา! นี่จะต้องไม่เหมือนกับการไปเดินเล่นในสวนสาธารณะธรรมดาๆอย่างแน่นอน!”
แปะ แปะ แปะ…ฉินเย่ปรบมือ “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ฝากฝังยมโลกแห่งใหม่ให้ผิดคน”
เพราะอย่างไรแล้ว มีเพียงบททดสอบเท่านั้นที่จะสามารถแยกเมล็ดข้าวออกจากแกลบได้
และผู้ที่ยืนอยู่ข้างเขาในตอนนี้ก็คงจะเป็นเมล็ดข้าวชั้นยอดเสียด้วย
ด้วยความกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ตนเอง หวังเฉิงห่าวรีบเอ่ยออกไปอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่ฉิน…ท่านจะต้องคิดให้ดีเกี่ยวกับก้าวต่อไปของเรา ข้ามีความรู้สึกว่ามณฑลซานตงจะต้องมีการสู้กันอย่างดุเดือดเป็นแน่ ท่านแน่ใจจริงๆหรือว่าต้องการจะไปที่นั่นและเข้าร่วมความขัดแย้งที่น่าสะพรึงกลัวนั้น?”
“พวกเขาจะได้เปรียบเราแล้วอย่างไร?” รอยยิ้มของฉินเย่จางหายไป และเขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “สาเหตุที่อีกฝ่ายสามารถอยู่เหนือเราได้ในครั้งที่แล้วเป็นเพียงเพราะอาศัยจำนวนที่มากกว่า แต่ครั้งนี้…ฝ่ายของเรามีทั้งข้า อาร์ทิส และทหารวิญญาณอีกหมื่นนาย นอกจากนี้ กำลังเสริมของท่านหยางเองก็จะมาถึงในอีกไม่ช้า! พวกเรากำลังพูดถึงทหารวิญญาณที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกว่าหมื่นนาย! ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามจะได้เปรียบเหนือเราได้อย่างไร?! เจ้าคิดว่าวลีที่ว่า ‘ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น’ นั้นเป็นสิ่งที่เราพูดเพียงเพื่อความสนุกอย่างนั้นหรือ?!”
ดวงตาของโนบูนางะเป็นประกายขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ฝ่าบาท…พระองค์ทรงเรียกกำลังเสริมจากทางท่านหยางด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินเย่เลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้าเบาๆ
โนบูนางะสูดหายใจเข้าช้าๆเพื่อข่มอารมณ์ที่พุ่งพล่านภายในใจของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะว่าเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลการพัฒนาของยมโลก เขาก็คงถือคิคุอิจิมอนจิคู่ใจและวิ่งเข้าสู่สนามรบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็คงจะไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าสงครามที่กำลังจะมาถึงจะเป็นจุดตัดสินระหว่างก้าวแรกและก้าวสุดท้ายของยมโลก!
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเคยรับมือกับราชทูตทั้ง 12 มาก่อน พวกเขาจะมีความกล้าและความมั่นใจที่จะเดินทัพไปที่นครชฺวีฟู่ สถานที่ซึ่งขั้นฝู่จวินและพันธมิตรของขั้นตุลาการนรกซ่อนตัวอยู่อย่างนั้นหรือ?
และหากพวกเขาชนะศึกครั้งนี้ได้ เหล่าวิญญาณระดับสูงทั้งหมดก็จะรีบสวามิภักดิ์ต่อยมโลก และพวกเขาก็จะมีอำนาจในการปกป้องและดูแลมณฑลซานตงอีกครั้ง และทรัพยากรจากแดนมนุษย์ก็จะเริ่มหลั่งไหลมา การพัฒนาและการเจริญเติบโตของยมโลกก็จะพุ่งทะยานขึ้น!
และมันก็เป็นเพราะว่าฉินเย่นั้นมั่นใจในชัยชนะของตนนี่เองที่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีภายในเมืองแห่งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับเขาเป็นอย่างมาก
ของเขา! ทั้งหมดนี้เป็นของเขา!
หวังเฉิงห่าวแทบจะได้ยินเสียงร้องของทูตสวรรค์และเสียงแตรแห่งชัยชนะทันที ดังนั้นเขาจึงรีบเดินกลับไปที่ถนนและเริ่มสั่งให้เหล่าทหารวิญญาณตรวจตรารอบๆเมืองอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินจากไป โนบูนางะก็รีบเดินไปหาฉินเย่แลถามทันทีว่า “ฝ่าบาท…พระองค์…ทรงคิดเช่นนั้นจริงๆหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้าล้อเล่น ในตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับกองกำลังทหาร 6 หมื่นนายในตอนนั้น เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นครชฺวีฟู่มีทหารวิญญาณอยู่ทั้งสิ้นเท่าไหร่ พลังของทหารวิญญาณที่เสริมด้วยค่ายกลสู่รบนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก อรากษสและข้าได้คาดการณ์เบื้องต้นและสรุปว่าหากเราไม่มีจำนวนทหารมากกว่าอีกฝ่ายถึงสิบเท่า มันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเราจะชนะ”
เงียบ
สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาด้านใน ส่งผลให้เสื้อผ้าของชายทั้งสองปลิวไปมาเบาๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาสามารถพูดอะไรได้อีก
เห็นได้ชัดว่าคาบสมุทรชานตงนั้นถูกควบคุมโดยกองกำลังพันธมิตรของวิญญาณร้าย ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงไม่สามารถบุกรุกเข้าไปยังเส้นแบ่งดินแดนระหว่างมณฑลเจียงซูและมณฑลอันฮุ่ยและขยายอิทธิพลของตัวเองมาจนถึงเมืองกู่เฉิงได้ พันธมิตรที่ได้ปกครองเหล่าวิญญาณในมณฑลซานตงมากว่าร้อยปีจะมีทหารวิญญาณเพียงไม่กี่แสนนายจริงๆน่ะหรือ?
น่าเสียดาย…
“ไม่ว่าอย่างไร สงครามก็จะต้องเกิดขึ้น” ฉินเย่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ต่อให้ยมโลกจะกลายเป็นดินแดนรกร้างและถูกทำลายลงในสงครามครั้งนี้ แต่สิ่งที่เราได้มาก็ยังเพียงพอที่จะสามารถฟื้นฟูเราขึ้นมาให้สมบูรณ์และดีขึ้นกว่าเดิมได้! มันยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเราได้อีกด้วย ข้าไม่สามารถหาเหตุผลที่จะไม่ทำสงครามได้จริงๆ”
ดวงตาของโนบูนางะเต็มไปด้วยประกายไฟที่วาวโรจน์ หลังจากนั้น เขาก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและประกาศกร้าว “ชีวิตของข้ามีไว้เพื่อยมโลก!”
ฉินเย่พยักหน้า “ไปกันเถอะ”
“กองกำลังของท่านหยางคงใกล้จะมาถึงแล้ว นี่คือตระกูลแม่ทัพที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ การมาถึงของพวกเขาจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางอย่างเป็นทางการของเรา!”
………………………………………………….
พรึ่บ…ประกายเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือยมโลก เหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หันไปมองด้วยความประหลาดใจทันที
ครืนนน...แสงสีดำบนท้องฟ้ากระพริบราวกับสายฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆดำ จากนั้น กลุ่มก้อนพลังหยินบนฟ้าก็ค่อยๆแยกออก เปิดทางให้กับลำแสงสีแดงดังกล่าวยืดขยายออกไปนอกเมืองพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง
ราวกับถนนสีแดง มันยืดไปจนสุดขอบฟ้า
“ตะเกียงหวนหยาง?” กระจกส่องกรรมเปล่งประกายขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของมัน จนกระทั่งมันหยุดลงที่ภายของเมืองกู่เฉิง ฉินเย่กำลังถือคริสตัลหกเหลี่ยมขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือและปักมันลงไปในหลุมของโครงกระดูกนับพัน ทันใดนั้น หลุมดังกล่าวก็เปล่งประกายแสงสีแดงออกมาบนผิวดินเป็นเวลาสิบกว่านาทีก่อนจะค่อยๆสงบลงในที่สุด
กลับมาที่ประตูนรก อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกมากมาย เสาแสงสีแดงเข้มดูไม่ต่างอะไรกับประภาคารที่คอยให้ความหวังและนำทางเหล่าผู้ที่หลงทางในความมืดเลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ให้ความรู้สึกอึดอัดและบ้าคลั่งอย่างบอกไม่ถูก
การออกเดินทางที่ใกล้เข้ามานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าพวกเขาจะจบลงด้วยการพังพินาศหรือค้นพบดินแดนใหม่กันแน่
ลำแสงสีแดงเข้มทำให้มันดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในเมืองกู่เชิงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างสงบนิ่ง นอกเหนือจากการกลับไปของโนบูนางะและทหารวิญญาณที่เหลือ ทุกอย่างดูเหมือนกับกลับสู่สภาวะปกติ
แต่ถึงกระนั้นวิญญาณทุกตนในยมโลกต่างก็สัมผัสได้ถึงพายุที่ก่อตัวขึ้นห่างออกไป
หอแห่งการสั่นสะเทือนดำเนินการผลิตตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก มันปล่อยพลังหยินสีเขียว สีดำ และสีขาวออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับโรงงานขนาดใหญ่ที่ปล่อยมลพิษขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทันทีที่โนบูนางะกลับไปถึง เขาก็รีบฝึกฝนทหารวิญญาณทั้งหมดทันที เสียงตะโกนแน่วแน่และเสียงร้องที่กล้าหาญดังขึ้นรอบต้นไม้เงิน หากพูดกันตามตรง พวกเขายังเริ่มวิ่งไปรอบๆเส้นรอบวงของต้นไม้เงินในเวลาเดิมของทุกๆวันอีกด้วย
แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือหนังสือพิมพ์ที่ทางอุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลกได้ทำการตีพิมพ์และแจกจ่าย สาเหตุและตัวเร่งปฏิกิริยา รวมถึงผลกระทบและผลที่ตามมาทั้งหมดล้วนถูกอธิบายอย่างมืออาชีพ และทุกคนต่างบอกได้ว่า…สงครามกำลังจะเกิดขึ้น
พวกเขากำลังอยู่ในช่วงความสงบสุขก่อนที่จะเกิดพายุ
ตะเกียงหวนหยางส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มันเป็นก้าวแรกของพวกเขาในดินแดนที่มีกลุ่มอำนาจสองกลุ่มแย่งชิงกันอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าการปรากฏตัวของยมโลกจะต้องทำให้ดินแดนเหล่านั้นร้อนระอุขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนต่างรอให้สัญญาณมาถึง วินาทีที่ตะเกียงหวนหยางดวงที่สี่ซึ่งเป็นดวงสุดท้ายถูกปักลงจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่กองกำลังทั้งหมดเริ่มเดินทัพในที่สุด!
ในที่สุดพวกเขาก็จะได้เริ่มการออกสำรวจในดินแดนที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งดินแดนเหล่านั้น! และการสำรวจนี้ก็อาจเป็นได้ทั้งการเร่งให้เกิดการก้าวหน้าครั้งใหญ่ หรือ…เป็นจุดจบของการเดินทางของพวกเขาก็เป็นได้