ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 412: ดินแดนที่ไม่รู้จัก (2)
บทที่ 412: ดินแดนที่ไม่รู้จัก (2)
แตรสงครามถูกเป่าอีกครั้ง จังหวะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ภายใต้คำสั่งของหยางเหยียนเจา ทหารวิญญาณรีบเคลื่อนขบวนอย่างรวดเร็ว ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
พลธนูถอยไป ในขณะที่พลโล่เคลื่อนไปอยู่ข้างหน้า กองกำลังพยัคฆ์คลั่งขยับไปเรียงตัวอยู่ที่ด้านข้าง พร้อมที่จะโจมตีศัตรูในทุกเมื่อ ภายในไม่กี่วินาที กองกำลังทั้งหมดก็พร้อมที่จะโจมตี เปลวไฟที่ลุกโชนจากหน้าไม้ศักดิสิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมเล็งตรงไปยังจุดที่ปีกขนาดใหญ่ค่อย ๆ สยายออก
มันเป็นจุดที่เป็นเนินเขาขยายต่อเนื่องกัน พวกมันมีความสูงประมาณ 20 เมตร – เพียงพอที่จะปิดบังร่างที่แท้จริงของอสูรมีปีกที่อยู่ด้านหลัง แต่นั่นก็หมายความว่าอสูรตัวดังกล่าวมีขนาดอย่างน้อย 20 เมตรเช่นกัน
เงียบ…
ด้วยลมหายใจที่ติดขัดและสายตาที่จ้องเขม็ง ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในความเงียบเป็นเวลากว่าสิบนาที จากนั้น ขณะที่ฉินเย่และอาร์ทิสหันมองหน้ากันและกัน ทหารวิญญาณก็แหวกทางออก เปิดเป็นทางเดินให้กับผู้บังคับบัญชาของตน หยางเหยียนเจา เดินเข้ามา
“ฝ่าบาท มีบางอย่างแปลกไปพ่ะย่ะค่ะ” เขาประสาทมือกุมกำปั้นอย่างเคารพก่อนจะรีบอธิบาย “ยมโลกเพิ่งก่อตั้ง ดังนั้นมันอาจจะไม่เคยมีโอกาสได้เห็นว่าอสูรวิญญาณนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ฟิลิปินัสนั้นถูกล้อมรอบโดยอสูรวิญญาณ ในท้องทะเล และเราก็คิดว่าเราเข้าใจลักษณะนิสัยของพวกมันพอสมควร หากพูดกันโดยทั่วไปก็คือ ตราบใดที่อสูรวิญญาณพวกนั้นแสดงท่าทีที่ก้าวร้าวต่อเรา เราก็สามารถพูดได้เลยว่ามันมองเราในฐานะของเหยื่อ และในกรณีนั้น อสูรวิญญาณพวกนั้นก็จะไม่มีทางอยู่เฉยจนกว่ามันจะได้ในสิ่งที่มันหมายตา”
ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างครุ่นคิด “นอกจากนี้…มันยังมีวิธีการมากมายที่อสูรพวกนั้นจะแสดงท่าทีที่ดุร้ายของมันออกมา ส่งเสียงร้องหรือคำรามเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอสูรวิญญาณที่อยู่ตรงนั้นจะต้องตรวจจับได้ถึงการดำรงอยู่ของเราแล้วอย่างแน่นอน แต่พวกมันกลับยังไม่หยุดแสดงท่าทีดุร้ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสียงร้องอย่างยาวนานเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้น ราชาอสูรวิญญาณก็จะต้องรายล้อมไปด้วยอสูรตัวอื่นๆอีกมาก สิ่งที่มักจะตามมาหลังจากการแสดงความดุร้านของมันก็คือเสียงขู่ที่น่าสะพรึงกลัวของอสูรวิญญาณที่อยู่ภายใต้มันอีกที นั่นคือธรรมชาติที่อสูรวิญญาณส่วนใหญ่มักจะเป็น แต่…กระหม่อมไม่รู้เลยว่าอสูรวิญญาณตัวนี้กำลังทำสิ่งใด?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะหันไปหาอาร์ทิสและเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าลองไปตรวจสอบดูซิ”
แต่แล้วเขาก็ได้รับสายตาพิฆาตเป็นการตอบกลับมาจากอีกฝ่าย
ฉินเย่รีบปรับน้ำเสียงของเขาให้เบาลง “ก็ได้ เช่นนั้นไม่ต้องไป เจ้าจำเป็นจะต้องทำสายตาแบบนั้นด้วยหรือ? โอเค ถ้าเช่นนั้น ผู้ใดเต็มใจจะไปตรวจสอบมันให้ข้าบ้าง?”
อาร์ทิสยังคงจ้องมองฉินเย่เขม็ง เจตนาของนางนั้นชัดเจน – ลองพูดออกมาอีกคำแล้วข้าจะฆ่าท่านทันที
ดังนั้น โดยไม่เอ่ยอะไรอีก ฉินเย่จึงละสายตาจากนางด้วยความสิ้นหวังและเริ่มมุ่งหน้าไปยังเนินเขาดังกล่าวเสียเอง
เขาพุ่งตัวเข้าไปใกล้มันเรื่อย ๆ และหลังจากผ่านไปสิบนาที ในที่สุดเขาก็เข้าไปถึงบริเวณเนินเขา
ซ่าาาา…โฮกกกก!!! แทบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงการมาของเขา เสียงร้องของมันดูกระวนกระวายและดังขึ้นกว่าเดิม ปีกที่สยายออกกระพืออย่างเป็นจังหวะ ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆ จากนั้น ขณะที่เขาจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเนินเขา เด็กหนุ่มก็ย่อตัวลง
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าอสูรวิญญาณตนนี้ไม่ได้สนใจเขานัก
แน่นอนว่ามันตรวจจับได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา แต่มันยังคงไม่ขยับเขยื้อน ปีกของมันขยับเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้กระพือในลักษณะที่เป็นการคุกคาม หากมันสนใจพวกเขา มันก็คงจะลงมือไปแล้ว แต่นี่…มันกลับยังอยู่เฉย ๆ ราวกับกำลัง…
ร้องขอความช่วยเหลือ
“ว่ากันว่าชายผู้หนึ่งเคยนำหนามที่ตำอยู่ที่อุ้งมือของเสือออก และเสือตัวดังกล่าวก็ยอมรับใช้เขาเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ” ฉินเย่ค่อยๆยื่นหน้าออกไปจากบนเนินเขา “เราจะโชคดีแบบนั้นบ้างไหมนะ–… บ้าเอ้ย?!!!”
คลื่นความกลัวที่รุนแรงสาดซัดไปทั่วร่างก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ
ด้างล่างนั้นคือหลุม
หลุมขนาดใหญ่
มันมีความกว้างประมาณหมื่นเมตร และมีเนินเขาล้อมอยู่รอบด้าน และที่บริเวณขอบของหลุมดังกล่าวก็มีสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างยากที่จะบรรยายนอนอยู่
มันดูคล้ายกับผีเสื้อที่ปีกสีสันสดใสหกสี แต่ลวดลายบนปีกของมันทั้งหมดกลับเป็นใบหน้าของมนุษย์ และร่างกายของมัน…ก็ดูไม่ต่างอะไรกับร่างของผู้หญิงที่เปลือยเปล่าเลยสักนิด!
อย่างน้อยก็ร่างเปลือยเปล่าของผู้หญิงที่ปราศจากขาและศีรษะ และมีแขนอีกหกข้าง นอกจากนี้ ที่กลางลำตัวของนางยังมีรอยแยกขนาดใหญ่ซึ่งมีฟันอันแหลมคมยืนออกมาอย่างน่ากลัวอีกด้วย
หนวดมากมายยื่นออกมาจากส่วนที่ควรจะเป็นศีรษะของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น โดยที่หนวดแต่ละเส้นมีดวงตาปรากฏอยู่ สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีความยาวทั้งสิ้น 30 เมตรตั้งแต่ต้นจรดปปลาย และตอนนี้มันก็กำลังจ้องมาที่ฉินเย่!
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของมัน
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริงของเรื่องนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอสูรวิญญาณตนดังกล่าว…กำลังติดอยู่บนใยแมงมุมขนาดใหญ่!
ใช่แล้ว – หลุมเบื้องล่างเองก็ดูเหมือนจะไร้กึ้นบึ้ง
มันคือขุมนรกที่ลึกสุดจะยั่งถึง
ในเวลาเดียวกัน เหนือหลุมที่ดำมืดดังกล่าวมีใยแมงมุมขนาดกว่าหมื่นเมตรปกคลุมอยู่ โครงกระดูกของอสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ทั่วใยแมงมุมนั้น บางส่วนเน่าเปื่อยไปแล้ว ในขณะที่บางส่วนยังคงอยู่ นอกเหนือจากนั้น มันยังมีไข่ขนาดเล็กปรากฏให้เห็นอยู่รอบๆอีกด้วย เปลือกของมันบางจนสามารถมองเห็นการดิ้นของตัวอ่อนที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน!
แต่สิ่งที่น่าหวั่นสะพรึงที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่กำลังนอนหลับอยู่กลางใยแมงมุมนั้น มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีขนยาวสีดำที่มีขนาดหลายร้อยเมตร และร่างของมันก็เต้นตุบ ๆ เบา ๆ
มันคือผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารโดยรอบ!
เพียงมองแค่แวบเตียวฉินเย่ก็สังเกตเห็นพลังหยินที่เข้าใกล้ขั้นฝู่จวินที่แผ่ออกมาจากร่างของแมงมุมตัวดังกล่าว! ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายกับผีเสื้อก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำระดับสูงเท่านั้น
อีกความหมายหนึ่งก็คือ แมงมุมตัวนี้คือราชาอสูรวิญญาณในพื้นที่บริเวณนี้!
อึก...ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายเบาและค่อยๆถอยกลับและหายไปจากเนินเขา แมงมุมตัวนั้นนอนขดตัวจนแทบจะเป็นลูกบอล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบอกได้เลยว่าใต้ร่างของมันนั้นเป็นอย่างไร แต่เขาก็สามารถบอกได้เลยว่าโครงกระดูกภายนอกของมันนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับมือได้ง่ายๆ!
เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ในขณะที่มันยังคงหลับอยู่…เด็กหนุ่มดีใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาเดินทางออกจากยมโลกในเวลาที่ราชาอสูรวิญญาณยังคงหลับอยู่ แต่ขณะที่เขาเริ่มเดินลงมาตามเนินเขาอย่างช้าๆ อสูรผีเสื้อก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น!
ซ่ากกกกกก!!!!
เสียงของมันครั้งนี้ดังกว่าเสียงร้องที่มันปล่อยออกมาก่อนหน้านี้มาก ดังจนเนินเขาที่อยู่โดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ ใช่แล้ว…อสูรวิญญาณตนนี้ตรวจจับได้ถึงการมีอยู่ของเขามาเป็นเวลานานแล้ว และเสียงร้องของมันก่อนหน้านี้ก็เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ดังนั้นมันจึงต้องระวังให้มาก แต่ทันทีที่มันสังเกตเห็นว่าผู้ช่วยชีวิตของมันกำลังจะหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด สิ่งที่มันต้องทำคืออะไร?
การจากไปของฉินเย่ห0ม0ายความว่ามันจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นสัญชาตญาณของความกลัวภายในจิตใจจึงทำให้มันกรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง!
“เวรเอ้ย!!” ดวงตาของฉินเย่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขารีบเปลี่ยนร่างเป็นกระแสลมรีบพุ่งกลับไปยังกองกำลังของตัวเองทันที
เพราะว่าในวินาทีนั้นเขาสัมผัสได้ว่า…แหล่งพลังหยินที่ทรงพลัง… ได้ตื่นขึ้นแล้ว
ฟึ่บ! สายลมรุนแรงพัดออกมาจากขุมนรก ห่างออกไป หยางเหยียนเจาได้ยินเสียงร้องที่ดังลั่นของอสูรผีเสื้อ ก่อนที่จะเห็นว่าฉินเย่กำลังพุ่งกลับมาอย่างรีบร้อน เขาก็ตะโกนออกไปทันที “ทหาร เตรียมตัว!!”
ฟึ่บ! คันธนูและหน้าไม้ทั้งหมดถูกใส้ลูกศรและอยู่ในท่าเตรียมยิง โล่จำนวนมากถูกตั้งอยู่หน้ากองกำลังทั้งหมด ในขณะที่ปลายหอกตั้งตรง กองกำลังทั้งหมดเตรียมรอรับคำสั่งต่อไป ในขณะเดียวกัน เสียงร้องของอสูรผีเสื้อก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่อาร์ทิสเองก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปกับเสียงร้องนั้น เพราะนางสามารถบอกได้ว่ามันเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เหตุใดมันถึงร้องขอความช่วยเหลือ?
“ไม่คิดเลย…” เส้นผมสีดำสนิทของนางเริ่มสยายราวกับอสรพิษจำนวนมาก ในขณะที่รอยยิ้มกระหายเลือดปรากฏขึ้น “มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นหลังจากการสังหารหมู่ครั้งสุดท้ายของข้า ดูเหมือนว่าราชาอสูรวิญญาณมือใหม่พวกนี้จะไม่รู้เสียแล้วว่าอรากษสนั้นน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด…”
แซ่กกกก!!! ซ่ากกกก!!! ยิ่งฉินเย่ออกห่างมาจากบริเวณนั้นมาเท่าไหร่ เสียงร้องของอสูรผีเสื้อก็ยิ่งร้อนรนมาขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ขณะที่วิ่ง ฉินเย่ก็เร่ิมรู้สึกเหมือนอยากจะตบหน้าของอสูรตนนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ – เจ้าโง่นี่! เจ้าควรจะหุบปากซะ หากอยากจะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้อีกสักนิด!
ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น
อสูรวิญญาณไม่มีการรับรู้ทางจิตวิญญาณหรือสติปัญญาเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่พวกมันทำล้วนขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เสียงร้องด้านหลังจึงดังขึ้นเรื่อยๆ และภายในใจของฉินเย่ก็เริ่มวิตกมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
มันตื่นแล้ว… มันตื่นแล้วแน่ๆ… เขาสัมผัสได้ว่าแหล่งพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวด้านหลังของเขาค่อยๆรุนแรงขึ้น และในเสี้ยววินาทีต่อมา อสูรผีเสื้อก็กรีดร้องออกมาด้วยเสียงร้องที่บีบหัวใจ
ซ่ากกกกกกกกก!!!
มันเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงที่ดังและชัดเจน แต่ไม่นานก็เบาลงและเงียบหายไป แทบจะเหมือนกับว่าชีวิตของมันได้ถูกดึงออกไปจากร่าง ก่อนจะหายไปโดยสมบูรณ์
มันตายแล้ว…กองกำลังของฉินเย่อยู่ตรงหน้า และเขาก็พุ่งหาคนทั้งหมดด้วยความเร็วสูงสุด ในขณะนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาที่ตนจากด้านหลัง
“ถอย!!” ทันทีที่เข้ามาในรัศมีพันเมตร เขาก็ตะโกนออกไปเสียงดัง “กองกำลังทั้งหมดจงมุ่งหน้าไปยังตะเกียงหวนหยางดวงถัดไปด้วยความเร็วสูงสุดเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่เขาเอ่ยคำสั่งออกไป พื้นดินด้านหลังของเด็กหนุ่มก็ส่งเสียงดังลั่นและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในเสี้ยววินาทีต่อมา ชั้นของพรมสีดำสนิทที่ดูไม่ต่างอะไรกับฝูงมดก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของหุบเหวลึกด้านหลัง
พวกมันคือ…แมงมุมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน!
ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูค่อนข้างเล็กเมื่องมองจากไกลๆ แต่ฉินเย่ก็สามารถบอกได้ว่าแมงมุมแต่ละตัวนั้นมีขนาดอย่างน้อยครึ่งเมตร! และพวกมันก็ดุร้ายไม่แพ้กับแมงมุมในแดนมนุษย์เลยด้วย!
เสียงร้องของความตื่นเต้นดังขึ้นให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นจากการได้เห็นอาหารจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าของพวกมัน ในขณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีขนาดกว่าร้อยเมตรก็ค่อย ๆ คลานออกมา
โฮกกกก!!! มันยกขาหน้าสองข้างของมันและกดลงไปบนเนินเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายในชั่วพริบตา และจากนั้น มันก็เริ่มพุ่งเข้าหากองกำลังตรงหน้า!
พวกมันข้ามผ่านระยะห่างกว่าพันเมตรมาภายในพริบตา หน้าผากของฉินเย่ผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นขณะที่รีบหันไปหาหยางเหยียนเจา “แม่ทัพหยาง! เดินหน้าด้วยความเร็วเต็มที่! ตามตะเกียงหวนหยางที่อยู่บนฟ้าไป!”
หยางเหยียนเจาไม่ทันได้มีเวลาให้ตอบสนองแม้แต่น้อย แตรสงครามถูกเป่าอีกครั้ง และกองกำลังทั้งหมดก็เปลี่ยนทิศทางและเริ่มคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงไปตามตามตะเกียงหวนหยางที่อยู่บนท้องฟ้าทันใด
ทว่าความเร็วในการเดินทัพของพวกเขานั้นเพียงพอ
อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าแมงมุมขนาดเล็กที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา แมงมุมตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนั้นเคลื่อนที่มาอย่างเชื่องช้า แต่แมงมุมขนาดเล็กกลับสามารถเดินทางหลายร้อยเมตรได้ในไม่กี่วินาที พวกมันเตะทรายและฝุ่นบนพื้นจนฟุ้งกระจายไปทั่ว ทิ้งให้เห็นเพียงกลุ่มควันสีเหลืองที่พุ่งเข้ามาใกล้กองทัพขึ้นเรื่อย ๆ !
“แบบนี้ไม่ได้การแน่” อาร์ทิสเหลือบมองไปด้านหลังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แมงมุมตัวเล็กพวกนี้ล้วนอยู่ขั้นยมเทพเป็นอย่างน้อย พวกมันสามารถกำจัดกองกำลังของเราได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหยุดการไล่ตามของมัน จากนั้น เมื่อกองกำลังของเราอยู่ห่างออกไปพอสมควรแล้ว ราชาอสูรวิญญาณก็จะพบว่ามันไม่สามารถจัดการเราได้ และมันก็จะจากไป–… เขาหายไปไหน?!?!?!”
อาร์ทิสหันกลับไปมอง และนางก็พบว่าฉินเย่กำลังอยู่ท่ามกลางกองกำลังทั้งหมด และเริ่มหนีเช่นกัน นางแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “ให้ตาย…”
นางยืดกลุ่มเส้นผมของตัวเองออกไปยังใจกลางของกองกำลังและลากร่างๆหนึ่งออกมาด้านหลัง
“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่จ้องอาร์ทิสเขม็ง “เจ้าตระหนักบ้างหรือไม่ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน?! รู้หรือไม่ว่าด้านหลังนี้มันอันตรายมากเพียงใด?!”
อาร์ทิสกัดฟันกรอด “แม่ทัพอาจเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของกองทัพ แต่ทหารก็ยังเป็นแขนและขาของร่างกาย ท่านต้องการที่จะเห็นกองกำลังของตัวเองหายไปก่อนที่จะปะทะกับขงโม่หรืออย่างไร?”
“แต่ข้ากลัว! เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโรคกลัวแมงมุมมาบ้างหรืออย่างไร?! มันมีโรคนั้นอยู่บนโลก!”
“หากข้าสามารถยืนหยัดเพื่อสู้กับมันได้ ข้าก็ไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงทำไม่ได้”
“แต่ข้าเป็นมนุษย์! มนุษย์น่ะ! แต่เจ้าเป็นผี เจ้าคิดว่าเราทั้งสองจะมีความกลัวและความกังวลที่เหมือนกันหรืออย่างไร?!”
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยอะไรต่อ อาร์ทิสและฉินเย่ก็ต้องยกมือขึ้นพร้อมกัน ส่งพลังหยินที่ทรงพลังไปยังกลุ่มแมงมุมตัวเล็กทำเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นเพียงผุยผง การร่วมมือกันของขั้นตุลาการนรกทั้งสองได้หยุดการพุ่งเข้ามาของแมงมุมขั้นยมเทพลงในฉับพลัน!
นี่คือพลังอำนาจของขั้นตุลาการนรก
ปราศจากการสนับสนุนของค่ายกลสู้รบ อสูรวิญญาณขั้นยมเทพก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น
“น่าขยะแขยงชะมัด!” ฉินเย่เอ่ยขณะที่พับแขนเสื้อของตน “เจ้าเห็นบ้างหรือไม่ว่าข้าขนลุกไปหมดทั้งร่างแล้ว?!”
“นี่ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสตะโกนกลับ เส้นผมของนางพุ่งออกไปก่อนจะพันเข้ากับร่างของแมงมุมเล็กระลอกใหม่และหั่นร่างของมันเป็นชิ้นๆ
แมงมุมเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องราวกับคลื่นน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ฉินเย่ไม่มีเวลามาเถียงกับอาร์ทิสอีกต่อไป เขาหยิบปากการแห่งการพิพากษาออกมาและจิ้มมันออกไปยังความว่างเปล่าตรงหน้า ทันใดนั้น พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นกระแทกที่มองไม่เห็นพักร่างของแมงมุมทั้งหมดให้กระเด็นและสลายไป เด็กหนุ่มทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจำนวนของแมงมุมตัวเล็กทั้งหมดลดลง
เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกวาดตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยความระมัดระวัง ตอนนี้แมงมุมตัวมีจำนวนน้อยกว่าตอนแรกแล้วจริง ๆ
พวกมันไม่พุ่งเข้ามาหาความตายเหมือนอย่างที่ทำก่อนหน้านี้อีกต่อไป กลับกัน พวกมันทั้งหมดกลับมีท่าทีราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง และมันก็เป็นเวลานั้นเองที่ฉินเย่ตระหนักได้ว่าตอนนี้มีกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้กำลังพุ่งมาหาพวกเขาด้วยความเร็วสูง
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปในขณะนี้
เด็กหนุ่มหรี่ตาลง สายลมพัดผ่านดินแดน
มันพัดมาซึ่งกลิ่นเหม็ดเน่าที่น่าสยดสยองและทำให้เสื้อคลุมของเขากระพืออย่างรุนแรง เสียงหวีดหวิวดังมาตามอากาศ และมันยังมีแม้กระทั่งเสียงฟังที่กระทบกันดังขึ้นเบาๆให้ได้ยินอีกด้วย
และฉินเย่ก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่ลม
เขากระชับปากกาในมือแน่นกว่าเดิม นี่คือ…ลมหายใจของราชาอสูรวิญญาณ
กลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นล้อมรอบร่างของฉินเย่กับอาร์ทิสเอาไว้ มันคือการเผชิญหน้ากันระหว่างขั้นตุลาการนรกทั้งสาม
ตึกตัก… ตึกตัก… ทุกอย่างโดยรอบเงียบสนิทจนพวกเขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง และทันใดนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาสีเขียวแปดดวงก็ลืมขึ้นท่ามกลางกลุ่มก้อนพลังหยินนั้น อสูรขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงดังสนั่น!
โฮกกกกกกกก!!!