ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 415: การประชุมเกี่ยวกับการเดินทางสู่ดินแดนตะวันออก
บทที่ 415: การประชุมเกี่ยวกับการเดินทางสู่ดินแดนตะวันออก
ไม่มีใครในที่นี้รู้สึกว่าฉินเย่กำลังตื่นตูมเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากได้เห็นพลังทำลายล้างของพายุฝนฟ้าคะนอกเมื่อครู่ พวกเขาทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความหวั่นเกรงและเคารพต่อสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ดินแดนที่ไม่รู้จักนี้ แม้ว่าสภาพสถานที่ประชุมของพวกเขาจะเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย หากพูดกันตามตรง พวกเขาต่างรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านไปตามเส้นเลือดของตัวเองขณะที่นั่งฟังที่ฉินเย่กำลังพูดอย่างตั้งใจ
เพราะอย่างไรแล้ว บททดสอบและความทุกข์ยากก็เป็นเหมือนกับเส้นทางสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชาติทุกชาติ ช่วงเวลาที่เหล่าผู้นำและเหล่าผู้ใต้บังตับัญชารวมใจกับเป็นหนึ่งในขณะที่ทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
“พวกเรา…เดินทางผ่านลิมโบดีหรือไม่?” ฮูเหยียนชื่อจินเสนอขึ้น
นางเป็นชนกลุ่มน้อย ผมเผ้าถูกถักเป็นเปียไว้อย่างเรียบร้อย และแต่งกายด้วยชุดหนัง จมูกของนางโด่งเป็นสัน ดวงตาลึกล้ำ และร่างสูงโปร่ง องค์ประกอบทั้งหมดทำให้นางดูเหมือนคนต่างชาติไม่มีผิด
แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอและบอบบางเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนจากดาบยาวทั้งสองข้างที่ถูกสะพายไว้บนหลังของนาง
“ข้าไม่เห็นด้วย” ฉินเย่ขมวดคิ้วทันที “ประการแรก นอกเหนือจากเป้าหมายและผลลัพธ์ของการเดินทางในครั้งนี้ มันยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำ และนั่นก็คือการเขียนพงศาวดารนรกที่รวบรวมรายละเอียดในการเดินทางทั้งหมดที่ได้ทำมาจนถึงตอนนี้ ในความคิดของข้า บันทึกนี้ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าเป้าหมายของเราในการเดินทางไปยังดินแดนตะวันออกเลยสักนิด”
“ไม่ – นี่เป็นการเดินทางที่จะต้องสำเร็จ!” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น “ความหมายของมันนั้นกว้างมาก พวกเรากำลังพูดถึงการต่อสู้ครั้งแรกของยุครณรัฐของโลกใต้พิภพ พวกเราจะต้องอาศัยผลประโยชน์จากการชิงลงมือก่อน แน่นอน มันอาจจะเป็นไปได้เช่นกันที่จะจัดการศัตรูในภายหลัง แต่พวกเขาเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน! และเมื่อถึงเวลานั้น มันก็ยากที่จะต่อสู้อย่างไม่น่าเชื่อ! การที่เราสามารถยืนหยัดท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดได้หมายความว่าเราจะสามารถแย่งชิงทรัพยากรและโอกาสต่าง ๆ มาได้มากขึ้น ในขณะกองกำลังอื่นๆของยมโลกจะต้องยอมจำนนต่อเรา!”
“ประการที่สอง หากเราไม่สามารถก่อตั้งเมืองท่าขึ้นมาได้ เราก็จะไม่มีทางออกสู่ทะเลและถูกจำกัดให้อยู่ภายใต้อาณาเขตของเมืองเป่าเท่านั้น ท่านฉิน โปรดคำนึงด้วยว่าศัตรูที่แท้จรงของเรานั้นหาใช่พันธมิตรขั้นตุลาการนรก หรือราชาผีทั้งสาม พวกเขาเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อยก่อนที่เราจะได้เจอกับอาหารจานหลักเท่านั้น ศัตรูที่แท้จริงของเรานั้นอยู่นอกเขตแดน ไม่ว่าจะเป็นแทนาทอส อานูบิส และพณายมราช ตอนนี้พวกเราเป็นเพียงเศษฝุ่นในสายตาของพวกเขาเท่านั้น มีเพียงแค่การกลืนกินโลกใต้พิภพที่ถือกำเนิดขึ้นเท่านั้นที่เราถึงจะสามารถลุกขึ้นมาจากเถ้าถ่านและกลายเป็นกองกำลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้!”
หยางเหยียนเจาจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ เขายังคงจำบทสนทนาระหว่างตัวเองกับหยางจีเย่ผู้เป็นพ่อก่อนที่จะตอบรับหมายเรียกตัวของยมโลกได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้น พ่อของเขาบอกเขาว่าฉินเย่นั้นเป็นจ้าวนรกที่น่าสนใจมาก จากนั้นเมื่อเขามาถึงยมโลกในตอนแรก เขาค่อนข้างรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ตนได้เห็น แต่ถึงกระนั้น เมื่อได้ออกเดินทาง เขาก็ต้องประหลาดใจกับตัวตนที่แท้จริงที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่าย ฉินเย่ได้แสดงคมเขี้ยวของตัวเองออกมาเป็นครั้งแรก
“ท่านสับสนหรือไม่?” โนบูนางะพยายามที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากหยางเหยียนเจา ดังนั้นเขาจึงจับตาดูสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มาโดยตลอด และเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าสงสัย เขาก็รีบเอนตัวไปพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า “ท่านฉินอาจจะมีวิธีการที่แปลกประหลาดไปบ้าง และอาจจะดูเหมือนเด็กในบางครั้ง แต่ท่านพ่อของข้าบอกข้าด้วยตัวของเขาเองว่าท่านฉินเป็นผู้นำที่น่าเชื่อถืออย่างแท้จริง”
“เขาพร้อมที่จะมอบหมายหน้าที่และความไว้วางใจให้กับคนของตน และเขาก็แทบจะไม่วางท่าทีเป็นใหญ่กับผู้ที่เขาคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญที่สุด…จนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียวเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของยมโลก” เขาหยุดพูดไม่ครู่หนึ่งเพื่อครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “จากคำของท่านพ่อ ทัศนคติของท่านฉินเย่ที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆจะขึ้นอยู่กับระดับความอันตรายที่เขากำลังเผชิญหน้า หากพูดอีกอย่างก็คือ เขาจะมีนิสัยติดตลกและเล่นสนุกอยู่เสมอตราบใดที่เขายังคงรู้สึกว่าตนปลอดภัย แต่ทันทีที่อันตรายเริ่มปรากฏขึ้น เขาก็จะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา”
หยางเหยียนเจาพยักหน้าเข้าใจ แต่แน่นอน...ทุกคนล้วนสวมหน้ากากกันทั้งสิ้น แม้แต่คนที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกก็ยังมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกมาเมื่อมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือประสบการณ์ชีวิตที่มากมายของฉินเย่สอนให้เขารู้จักที่จะควบคุม จัดการ และปกปิดความรู้สึกของตัวเองตามที่เหมาะสม
ไม่มีใครสนใจบทสนทนาที่เกิดขึ้นด้านข้าง อาร์ทิสลุกขึ้นยืนและแตะมือลงบนหน้าจอพลังหยิน ทันใดนั้นมันก็ซูมออกและเปลี่ยนเป็นแผนที่ของแผ่นดินจีน “ทุกท่าน โปรดดูนี่ก่อน เมื่อเรายึดครองมณฑลซานตงกลับมาได้สำเร็จ เราก็จะสามารถยื้อเวลาเพื่อหาโอกาสในการกวาดล้างสามมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือได้ ทางทิศใต้ เมืองเป่าอันยังคงทำหน้าที่เป็นป้อมปราการสำหรับการปฏิบัติการของเราดังเดิม ราชาผีแห่งพิภพเปตรปกครองสามมณฑลใหญ่ซึ่งล้อมรอบพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง ณ ใจกลางของจีน และการดำรงอยู่ของเขาก็เป็นตัวแปรสำคัญมากสำหรับตอนนี้ แต่แม้ว่าเขาจะสามารถฝ่าแนวป้องกันที่แน่นหนาที่อยู่รอบตัวเองได้ แต่เมืองแห่งความรอดก็ยังสามารถหยุดยั้งเขาได้อยู่ดี อีกความหมายหนึ่งก็คือ พวกเขาจะต้องยึดมณฑลซานตง มณฑลเจียงซู มณฑลอันฮุ่ย และมณฑลฝูเจี้ยนให้ได้ และเราก็จะมีอาณาเขตทั้งหมดอยู่ในมือ!”
หยางเหยียนเจาพยักหน้า เขาค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการวางกลยุทธ์ในการทำสงคราม และเขาก็สามารถบอกได้ว่าทั้งมณฑลซานตงและมณฑลอันฮุ่ยต่างเป็นจุดยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น ใครก็ตามที่สามารถยึดครองทั้งสองมณฑลนี้ได้จะสามารถยึดครองมณฑลเจียงซูที่อยู่ระหว่างกลางได้โดยปริยาย แม้แต่มณฑลฝูเจี้ยนที่อยู่ภายในอาณาณเขตใกล้เคียงก็อาจรวมไปด้วย นอกจากนี้…มณฑลเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นมณฑลที่ค่อนข้างร่ำรวยและเจริญรุ่งเรืองมากในแดนมนุษย์!
หยินและหยางนั้นมีความเกี่ยวโยงกัน ความเจริญรุ่งเรืองในแดนมนุษย์ย่อมหมายความว่ามีจำนวนผู้มากความสามารถอยู่มากมายให้เลือกสรรค์! ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ยมโลกแห่งใหม่ต้องการมากที่สุด!
หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลาครู่หนึ่ง หยางเหยียนเจาก็เอ่ยเสริม “ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ปากของแม่น้ำหวงเหอก็ตั้งอยู่ที่มณฑลซานตง ในขณะที่ปากของแม่น้ำแยงซีนั้นตั้งอยู่ที่มณฑลเจียงซู ตราบใดที่เราสามารถยึดครองมณฑลเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะสามารถเข้าถึงและโจมตีมณฑลอื่นๆที่อยู่ล้อมรอบผ่านทางแม่น้ำได้ และจากจุดนั้น พวกเราก็จะสามารถยึดครองพื้นที่แถบชายฝั่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถเคลื่อนทัพเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ได้! ภาพรวมทั้งหมดก็จะอยู่ภายใต้การควบคุม!”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางผ่านมณฑลหนานเหอ มณฑลที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในจีน!
นี่คือเป้าหมายหลักอีกประการหนึ่งที่พวกเขาต้องทำหากยมโลกต้องการจะยึดครองโลกใต้พิภพที่ถือกำเนิดใหม่ทั้งหมด!
อาร์ทิสพยักหน้าเบาๆและเอ่ยต่อ “ประการที่สาม เป็นมีเพียงมณฑลเหล่านี้เท่านั้นที่เราสามารถใช้สำหรับเป็นเมืองท่าได้ ในช่วงเวลาที่ยังขาดอสูรวิญญาณที่สามารถบินได้ โดยเฉพาะพวกที่สามารถบินข้ามประเทศ เราต้องอาศัยการยึดครองเมืองท่าทั้งหมดเท่านั้น”
“ประการสุดท้าย…” อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าเองก็ไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ใจนักว่านี่จะยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หรือไม่ แต่ในตอนที่ยมโลกแห่งเก่ายังอยู่ ราชาอสูรวิญญาณมักจะถูกดึงดูดเข้าสู่จุดที่มีพลังหยินหนาแน่นมากที่สุด สถานที่เหล่านี้ยังเป็นจุดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีการปรากฏตัวของวัตถุหยินหายากที่เป็นสมบัติล้ำค่าอีกด้วย แม้ว่าเราจะไม่สามารถกำจัดอสูรวิญญาณเหล่านี้ได้ แต่เราก็ยังสามารถระบุตำแหน่งที่น่าจะเป็นรังของพวกมันได้ จากนั้นค่อยกลับมาจัดการกับพวกมันในอนาคต นอกจากนี้ วัตถุหยินและสมบัติเหล่านี้อาจจะสามารถใช้เพื่อเร่งการฟื้นฟูร่างกายของท่านตี้ทิงได้อีกด้วย และเมื่อท่านตื่นขึ้นอีกครั้งและเข้าร่วมกองกำลังของยมโลกอย่างเป็นทางการ ความขัดแย้งภายในจีนก็จะได้รับการแก้ไขโดยสมบูรณ์!”
“ดังนั้น ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยที่จะเดินทัพผ่านทางลิมโบแทนโลกใต้พิภพเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายน้อยกว่าจริง แต่…พวกเราทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าอันตรายมักมาพร้อมกับโอกาส”
คำอธิบายของอาร์ทิสเป็นเหมือนกับการตะปูดอกสุดท้ายที่ถูกตอกเข้าที่ฝาโลงสำหรับวาระแรกของการประชุม
โนบูทาดะทำหน้าที่อาลักษณ์และจดเนื้อหาการประชุมทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ฉินเย่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “โอเค เช่นนั้นเรื่องนี้เป็นอันจบ เราจะไปสู่หัวข้อต่อไปกันเลย สำหรับวาระที่สองของการประชุม – เราจะเอาอย่างไรกับนครชฺวีฟู่?”
“ข้อได้เปรียบของเราอยู่ที่การจู่โจมไม่ให้รู้ตัว อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าพวกเรามีกองกำลังทหารกว่า 7 หมื่นนายกำลังเดินทัพไปที่นครชฺวีฟู่ นอกจากนี้ เรายังเดินทางไปที่นั่นผ่านแก่นโลก ไม่ใช่แมนเทิล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพวกเขา ดังนั้นศัตรูไม่มีทางตรวจจับถึงการเดินทัพของเราได้แน่”
“แต่ข้อเสียเปรียบของเราอยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนในการเดินทางข้ามระยะหลายร้อยกิโลเมตรก่อนที่จะไปถึงที่นครชฺวีฟู่ บวกกับการเผชิญหน้ากับราชาอสูรวิญญาณและปรากฏการณ์ธรรมชาติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถึงจุดหมายโดยปราศจากการบาดเจ็บล้มตายไปบ้าง อาวุธและทรัพยากรทั้งหมดเองก็มีอยู่อย่างจำกัด แม่ทัพหยาง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
มันเป็นธรรมดาที่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ นี่คือวิธีปฏิบัติของเขาในทุกๆกรณี
ในฐานะของผู้นำ มันเป็นหน้าที่เขาที่จะต้องรู้ว่าควรใช้งานใคร และเมื่อไหร่
หยางเหยียนเจารีบลุกยืนขึ้นและเดินไปที่แผนที่พร้อมกับหันไปทำความเคารพผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด “กระหม่อมเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน และกระหม่อมก็เชื่อว่าทางที่ดีที่สุดของเราก็คือการลอบโจมตีนครชฺวีฟู่!”
ไม่มีใครเอ่ยแทรกอะไร ดังนั้นเขาจึงเอ่ยต่อ “พวกเรานำอสูรวิญญาณมาด้วยทั้งสิ้นสี่ตัว – อสูรทำลายล้างเก้าตา อสูรบัวแดง อสูรเท้าหยิน และอสูรกลืนเมฆา อสูรทั้งหมดล้วนมีความสามารถในการทำลายล้างสูง เมื่อพวกมันเข้าไปในเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลาย พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการกำจัดกองกำลังของศัตรูและยึดครองนครชฺวีฟู่ได้ในคราวเดียว!”
มู่กุ้ยอิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นในที่สุด “ลอบโจมตี… นี่ท่านกำลังจะบอกว่า… พวกเราไม่สามารถสู้กับศัตรูหากต้องสู้แบบประจัญหน้าอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” หยางเหยียนเจาชี้ไปที่แผนที่และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านฉินได้บอกเราถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญบางอย่างที่พระองค์ได้ทรงรวบรวมมาในแดนมนุษย์ ประการแรก อิทธิพลของขงโม่นั้นแผ่ขยายมาจนถึงมณฑลเจียงซู! สิ่งนี้บอกเราว่ามณฑลซานตงทั้งหมดได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังพันธมิตรของขงโม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์ถึงไม่พิจารณาเพียงแค่มณฑลซานตงเพีงยอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงมณฑลเจียงซูด้วย นอกจากนี้ พวกเรายังต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ในมณฑลซานตงเกิดความขัดแย้งขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาไม่มีความขาดแคลนในเรื่องของวิญญาณเลยแม้แต่น้อย!”
“นอกเหนือจากนี้ ในขณะที่เมืองกู่เฉิงนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับกองกำลังพันธมิตรของพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสั่งกองกำลังทหารกว่า 6 หมื่นนายให้มาประจำการที่นี่ก็หมายความว่ามันมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีกองกำลังมากกว่านี้อีกสิบเท่าประจำการอยู่ที่นครชฺวีฟู่ บ้านเกิดของตระกูลขง! และเราก็ยังไม่ได้พิจารณาถึงค่ายกลสู้รบที่พวกเขาใช้ด้วยซ้ำ… ท่านฉิน พวกเราไม่สามารถสบประมาทค่ายกลสู้รบได้พ่ะย่ค่ะ แม้แต่ท่านจ้าวนรกองค์ก่อนก็ยังพบว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะรับมือกับทหารวิญญาณที่เสริมกำลังด้วยค่ายกลสู้รบ! ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงสามารถเสด็จกลับมายังยมโลกภายใต้การถูกล้อมของกองกำลังทหารวิญญาณกว่า 6 หมื่นนายที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยค่ายกลสู้รบนั้นถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว!”
ฉินเย่โน้มตัวไปหาอาร์ทิสและถามด้วยความอยากรู้ “อย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใช่แล้ว ค่ายกูลสู้รบและอาณาเขตมนตราคือรากฐานของกองกำลังต่อสู้ของโลกใต้พิภพทุกแห่ง การที่โลกใต้พิภพสามารถควบคุมอาณาเขตใหญ่ๆได้ล้วนอยู่ที่สิ่งนี้ ที่คือข้อมูลทั้งหมดที่ถูกจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของยมโลก น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีเวลาศึกษามันให้ละเอียดกว่านี้ สำหรับผู้เริ่มต้น มันจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสตร์แห่งยันต์ ในกรณีนี้ ทางออกที่ดีที่สุดของท่านก็คือรอให้ผู้เชี่ยวชาญของ SRC ตายและลงมาที่ยมโลกก่อนที่จะให้พวกเขาสรุปข้อมูลทั้งหมดนั้นให้เรา แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรพวกนั้นได้”
“การมีค่ายกูลสู้รบและอาณาเขตมนตราไว้ใช้งานก็ไม่ต่างอะไรกับการมีไพ่ตายลับซ่อนเอาไว้ใต้แขนเสื้อ…” นางมองออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกซึ่งกลุ่มเมฆสีดำเริ่มสลายไปแล้ว “ขงโม่นั้นมาจากเชื้อสายของขุนนางชั้นสูงของยมโลก นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถเข้าถึงของอย่างค่ายกลสู่รบได้ แม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดที่ว่ายมทูตสามารถสังหารวิญญาณร้ายที่มีระดับพลังขั้นเดียวกันได้ในดาบเดียวอยู่ แต่ท่านคิดจริง ๆ หรือว่ายมทูตขั้นยมเทพเพียงตนเดียวจะสามารถรับมือกับกองกำลังทหาร 1 แสนนายได้ด้วยตัวคนเดียว?”
ฉินเย่ลูบคางของตนเอง “แล้วเรากำลังพูดถึงอัตราส่วนเท่าไหร่กัน?”
“1 ต่อ 30 และนี่ก็อยู่ในเงื่อนไขที่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีการเสริมกำลังใดๆ ยกตัวอย่างเช่น ท่านได้เผชิญหน้าเข้ากับใครบางคนที่อ่อนแอพอๆกัน…แค่ก แค่ก แค่ก... ข้าหมายถึง สำหรับท่านที่ไม่มีวิธีการอื่น ๆ ในการรักษาชีวิตของตนเอง ท่านสามารถต่อสู้ได้กับวิญญาณ 30 ตนพร้อมกันเท่านั้น”
ฉินเย่จ้องอาร์ทิสเขม็ง ให้ตายเถอะ…ข้าได้ยินนะ! คำพูดหลุดปากเมื่อครู่นี้! ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้า!
เจ้าคนเนรคุณ! เจ้าเคยมีคำชมให้กับข้าบ้างหรือไม่? การมีเจ้าอยู่ด้วยจะไปมีประโยชน์อะไรกัน?!
นี่เจ้าไม่รู้ถึงคุณค่าที่มีอยู่ภายในหัวสมองของข้าเลยหรืออย่างไร?!
อาร์ทิสเมินเฉยต่อการจ้องมองของฉินเย่และเอ่ยต่อเสียงเรียบ “แต่ถ้าเราใช้ค่ายกลสู่รบ อัตราส่วนทั้งหมดก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 10 อีกนัยหนึ่งก็คือทหารวิญญาณที่แท้จริงของยมโลกหนึ่งนายสามารถสู้กับทหารวิญญาณธรรมดาที่อยู่อยู่ระดับขั้นพลังเดียวกันได้สิบนาย แต่ถ้าเราใช้อาณาเขตมนตรา เช่นนั้น…เราก็กำลังพูดถึงอัตราส่วน 1 ต่อ 1”
“ลองคิดดู – ท่านสามารถสังหารขงโม่ได้หรือไม่เมื่อตอนที่ท่านเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง? ด้วยการมีตะเกียงเถาฮวาอยู่ในมือ เขาสามารถเอาชีวิตท่านได้ทุกเมื่อหากท่านทำพลาดแม้แต่เพียงนิดเดียว!”
อย่างนี้นี่เอง
ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหยางเหยียนเจา “เจ้าคิดว่าจำนวนทหารวิญญาณที่รักษาการณ์อยู่ที่นครชฺวีฟู่จะมีมากกว่า 7 แสนหรือไม่? มันเพียงพอที่จะเอาชนะกองกำลังของเราได้หรือไม่?”
หยางเหยียนเจาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า
ด้วยรอยยิ้มบาง เขาเอ่ยต่อ “นี่เป็นข้อได้เปรียบของเราพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกฝ่ายไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรากำลังเดินทัพไปที่นั่น! มีเพียงประชากรของยมโลกเท่านั้นที่สามารถมองเห็นตะเกียงหวนหยางได้! ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา มณฑลซานตงอาจจจะได้เห็นการถือกำเนิดของวิญญาณกว่าสิบล้านตน ทหารวิญญาณส่วนหนึ่งในที่นครชฺวีฟู่ได้ถูกกำจัดไปแล้วจากการต่อสู้กับราชาผี แต่ถึงกระนั้นนครชฺวีฟู่ก็ไม่มีทางมีปัญหากับการรวบรวมกองกำลังทหารวิญญาณอย่างน้อย 1 ล้านนายอยู่ดี อย่างไรก็ตาม…” เขาตบมือลงไปบนหน้าจออย่างแรง “พวกเขาทั้งหมดไม่มีทางอยู่ที่นครชฺวีฟู่!”
ดวงตาของคนทั้งหมดเป็นประกายขึ้น พวกเขาเข้าใจสิ่งที่หยางเหยียนเจาต้องการจะสื่อได้ในทันที
นครชฺวีฟู่นั้นอยู่ลึกเข้าไปในเขตชนบทห่างจากดินแดนของขงโม่ มันไม่ได้อยู่ติดกับทั้งทะเลหรือแม่น้ำ สำหรับคนอย่างขงโม่ที่ต้องการหาทางขยายอำนาจของตัวเอง การรวบรวมกองกำลังไว้ในชนบทจะต้องเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดจะทำ
ยิ่งกว่านั้น…
ราชาผีประจำอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลซานตงเท่านั้น!
เขาจะยอมปล่อยให้ทหารวิญญาณกว่าล้านนายของตัวเองประจำการอยู่ที่ในนครชฺวีฟู่เพียงอย่างเดียวได้อย่างไร?
แม้แต่การเรียกตัวกลับของกองกำลังทหารที่เมืองกู่เฉิงของเขาก่อนหน้านี้ก็ล้วนเกิดจากความกดดันที่เขาต้องเผชิญหน้ากับราชาผีเช่นกัน! มันมีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยให้เมืองหลวงของตนเองถูกยึด? คิดว่าเขาจะยอมปล่อยให้ราชาผีเข้ามาใกล้อาณาเขตของตนจนสามารถล้อมรอบเมืองหลวงได้อย่างนั้นหรือ?
ฉินเย่เข้าใจทุกอย่างในทันที และดวงตาของเขาก็ลุกโชนขึ้น
ใช่แล้ว…หากมันเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นความเป็นไปได้ในการยึดนครชฺวีฟู่ก็น่าจะสูงกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก!
และเมื่อพวกเขาทำสำเร็จ กองกำลังพันธมิตรของขงโม่ก็จะพบว่าพวกตนตกอยู่กึ่งกลางระหว่างกองกำลังที่แข็งแกร่งสองกลุ่ม ด้วยราชาผีอยู่ด้านหน้าและยมโลกอยู่ด้านหลัง มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะถูกกำจัดไป!
“บางที…พวกเราอาจจะสามารถยื่นข้อเสนอในการร่วมมือให้กับราชาผีได้” ฉินเย่เลียริมฝีปากขอตัวเองขณะที่ลูบคางของตนอย่างชั่วร้าย “ศัตรูของศัตรู…อย่างไรเสียเราก็ไม่มีทางหันหลังให้พวกเขาได้อยู่แล้ว เอาล่ะ เช่นนั้นทุกอย่างก็ถูกตัดสินใจแล้ว!”