ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 426: ระดมกำลัง
บทที่ 426: ระดมกำลัง
“และนั่นไม่ใช่แค่เพียงจุดเดียว” หยางเหยียนเจาชี้นิ้วไปยังจุดต่างๆ “ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้! ทั้งหมดล้วนเป็น
กองกำลังของศัตรู และพวกเขาก็ดูเหมือนจะกำลัง…รวบรวมวิญญาณ? ไปที่ใดกัน?”
แววตาของฉินเย่สั่นไหวอย่างรุนแรง และเขาก็รีบเอ่ยกับกระจกส่องกรรมทันที “ท่านหมิง ช่วยดูให้ทีว่าวิญญาณพวกนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่ใด”
สิ้นสุดเสียงพูด กระจกส่องกรรมก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว จากนั้น มันก็ดูเหมือนว่ากระจกส่องกรรมจะค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อที่จะได้สามารถจับภาพใหญ่ได้ แต่ไม่ว่ามันจะขยับออกมาไกลมากเพียงใด ทางช้างเผือกของเหล่าวิญญาณก็ยังไม่หายไป กลับกัน พวกมันมีแต่จะหนาขึ้นหนาขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับทุกอย่างได้เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายของเส้นเลือด!
ทันใดนั้น กลุ่มก้อนเมฆก็ลอยผ่านผิวหน้ากระจก
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา สายตาของคนทั้งหมดยังคงจับจ้องไปที่กระจก
กระจกส่องกรรมยังคงลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ และกลุ่มเมฆมากมายก็ลอยผ่านให้เห็นเป็นระยะ ๆ จากนั้น หลังจากผ่านไปสิบนาที เมฆอีกก้อนหนึ่งก็ลอยผ่าน เมื่อภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง คนทั้งหมดก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
พรึ่บ…วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้รวมตัวกันอยู่ ณ จุด ๆ เดียว ก่อตัวเป็นจุดแสงขนาดใหญ่ท่ามกลางกลุ่มดาวในภาพที่ถูกส่งมาโดยกระจกส่องกรรม! นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ามันมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง
มันเป็นเหมือนกับที่อยู่อาศัยของเทพแห่งดวงอาทิตย์ หรือพระราชวังแห่งสวรรค์
แต่พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือด่านซานไห่ในนครชฺวีฟู่อย่างไม่ต้องสงสัย!
ไม่จำเป็นที่จะต้องมองเข้าไปใกล้กว่านี้ ทุกคนก็สามารถระบุตำแหน่งได้ทันที
มันได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ด้านบนสุดของกำแพงเมืองเต็มไปด้วยวิญญาณที่กำลังเดินลาดตระเวน ดวงตาของอสูรกลไกเองก็สว่างขึ้นและพร้อมสำหรับใช้งาน แม้แต่เครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่เองก็ถูกใส่ลูกดอกอย่างเตรียมพร้อม ประตูเมืองทั้งสี่บานถูกเปิดไว้สำหรับประชากรของพวกเขา และมีวิญญาณจำนานมากลอยเข้าไปยังใจกลางของเมือง
ทั้งสถานที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
นครชฺวีฟู่กำลังเฝ้าระวังสูงสุด!
อีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว…และก็กำลังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังสูงสุด! นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ความแตกต่างระหว่างการลอบโจมตีเมืองที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้กับเมืองที่เฝ้าระวังสูงสุดนั้นมากราวฟ้ากับเหว! แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยางเหยียนเจาก็เอ่ยทำลายความเงียบด้วยเสียงที่นิ่งสงบ ทว่าเจือไปด้วยความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ดูสิว่าพวกเขามาจากที่ใด”
“พวกเขามาจากจุดที่ตะเกียงหวนหยางถูกปักเอาไว้ นั่นหมายความว่า…พวกเขาเดินทางมาโดยใช้เส้นทางเดียวกับเรา พวกเขาเดินทางกลับมาจากเมืองเจียงอิน!”
มู่กุ้ยอิงเอ่ยแทรกขึ้น “นั่นหมายความว่าความตายของจ้าวแห่งเจียงอินคือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้ตัวอย่างนั้นหรือ?”
หยางเหยียนเจาพยักหน้า “นั่นเป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปได้ การหายไปของทหารวิญญาณแสนนายจะต้องทำให้พวกเขารู้ตัว และตอนนี้พวกเขาก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงรวบรวมกองกำลังและอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัย”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว ทุกอย่างย่อมมีสองด้าน เขาสามารถจัดการกับกองกำลังทหาร 1 แสนนายของซาเซียงจู่ได้โดยไม่ได้สูญเสียอย่างชัดเจนนักและสามารถรวบรวมกองกำลังที่รอดชีวิตเข้ากับกองกำลังของยมโลกได้ และวิญญาณทั้งหมดก็อยู่ขั้นยมเทพอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจพลาดในส่วนของนครชฺวีฟู่ พวกเขาคิดว่ากองกำลังของยมโลกมีขนาดใหญ่กว่ากองกำลังแสนนายภายใต้บังคับบัญชาของจ้าวแห่งเจียงอิน และยังคาดหวังด้วยว่ากองกำลังของยมโลกจะสามารถสร้างภัยคุกคามให้กับกองกำลังรักษาการณ์ของนครชฺวีฟู่ได้!
นี่คือสิ่งที่นำไปสู่การรวบรวมกำลังของนครชฺวีฟู่
หยางเหยียนเจาเอ่ยต่อ “ด้วยความเร็วที่พวกเขากำลังเคลื่อนทัพในตอนนี้ พวกเขาคงจะเริ่มเตรียมพร้อมทันทีที่ข่าวมาถึง”
เงียบ
แววตาของคนทั้งหมดลุกโชนขึ้นและความคิดของพวกเขาก็เริ่มแล่น บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่ตึงเครียดราวกับความสงบก่อนที่พายุจะเข้า
สิบนาทีต่อมา ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองคนทั้งหมดด้วยแววตามุ่งมั่นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน “พวกเราจะเคลื่อนทัพด้วยความเร็วสูงสุด จะไม่หยุดพักจนกว่าจะไปถึงที่นครชฺวีฟู่!”
“และเมื่อพวกเขาไปถึงนครชฺวีฟู่ พวกเราจะพักเป็นเวลาหนึ่งวัน ก่อนจะเริ่มจู่โจม!”
พวกเราจะยังล้อมนครชฺวีฟู่อยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
ริมฝีปากของจ้าวฉีสั่นเทาและเอ่ยออกไปทันที “แต่ ฝ่าบาท มันไม่มีทางที่เราจะสามารถโค่นล้มนครชฺวีฟู่ได้ในตอนที่พวกเขาเฝ้าระวังสูงสุด!”
“ข้อได้เปรียบสูงสุดของเราก่อนหน้านี้อยู่ในข้อเท็จจริงที่ว่าเราสามารถจัดการอีกฝ่ายได้โดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้…มันไม่ได้อยู่ในจุดที่เราสามารถจัดการได้โดยปราศจากข้อได้เปรียบเหล่านั้น…”
ทว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยจนจบประโยค เหล่าแม่ทัพตระกูลหยางก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยออกมาพร้อมกัน “เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ!” ดวงตาของพวกเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรก และน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้ แม้แต่โนบูทาดะเองก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้
พวกเขาระงับความดุร้ายของตัวเองมาตลอดสามปีที่ผ่านมาก และในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เผยคมเขี้ยวของตัวเองออกมาแล้ว!
ในที่สุด…วันที่จะจบทุกสิ่งทุกอย่างก็มาถึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?!
จ้าวฉีกัดริมฝีปากของตัวเองและรีบเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท! โปรดไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ความเสี่ยงในครั้งนี้มันสูงเกินไป! ไม่มีทางที่เราจะสามารถโค่นล้มด่านซานไห่ได้ด้วยทหารวิญญาณเพียง 1 แสนนายในขณะที่พวกเขาเฝ้าระวังอย่างเต็มที่!”
“แม่ทัพจ้าว” แม่ทัพของตระกูลหยางลุกยืนขึ้นพร้อมกัน ดวงตาของหยางเหยียนเจาลุกโชนด้วยเปลวไฟที่สูงกว่าครึ่งเมตร ฉายให้เห็นถึงอารมณ์มากมายภายในใจของตนเอง เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงแหบพร่า “ด้วยความเคารพ แต่ข้าเชื่อเหลือเกินว่า…ตอนนี้คือเวลาที่ดีที่สุดในการจะบุกเข้าจู่โจมเมือง!”
เขารีบอธิบายทันที “แน่นอน นครชฺวีฟู่อาจจะรวบรวมกองกำลังของพวกเขา แต่…ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน ความยากของการล้อมเมืองทั้งเมืองอาจจะสูงขึ้น แต่โอกาสในการยึดเมืองเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน!”
เขาอธิบายต่อด้วยความตื่นเต้นขณะที่ชี้ไปยังการป้องกันที่แน่นหนารอบ ๆ เมือง “ประการแรกเลย นี่หมายความว่าขงโม่ไม่ได้อยู่ที่นครชฺวีฟู่ในเวลานี้!”
“มันอาจจะมีขั้นตุลาการนรกอยู่ในกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดถึง 12 ตน แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาคือสมองของปฏิบัติการทั้งหมด จ้าวแห่งเจียงอินได้ถูกกำจัดไป และกองกำลังของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันไม่มีทางเลยที่ขงโม่จะไม่รับรู้ถึงเรื่องดังกล่าวเลย หากเขาอยู่ในนครชฺวีฟู่ เขาจะต้องตอบสนองทันทีอย่างแน่นอน!”
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มันเห็นได้ชัดเลยว่ากองกำลังของพวกเขาได้เดินทางไปที่เมืองกู่เฉิง ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมด…” เขาหันไปมองดูแผนที่ที่วางอยู่บนพื้น ก่อนจะชี้นิ้วไปตามเส้นทางจากมณฑลซานตงไปยังมณฑลกู่เฉิง “ทั้งการเดินทางเลียบชายฝั่งเพื่อตรงไปยังเมืองเจียงอิน ทำการสืบสวนทั้งหมดที่จำเป็น และกลับมาที่นครชฺวีฟู่ก่อนจะเตรียมการทุกอย่าง นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราได้เห็นภาพของพวกเขาท่ามกลางการอพยพ”
เขาทุบกำปั้นลงบนพื้นอย่างแรง “ขงโม่คงจะคอยสั่งการพวกเขาจากนอกเมืองเป็นแน่ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการสอบสวนถึงใช้เวลานานขนาดนี้! และนั่นทำข้ามั่นใจว่าเขาไม่ได้อยู่ในนครชฺวีฟู่ในเวลานี้!”
ดวงตาของอาร์ทิสสั่นไหวอย่างรุนแรง อารมณ์ของนางพุ่งพล่านราวกับคลื่นที่ซัดสาด แม้แต่เส้นผมของนางก็สยายออกราวกับรังของอสรพิษ “หากขงโม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นตอนนี้พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาก็เป็นเหมือนกับวัตถุหยินที่ไร้ผู้ควบคุมดีๆนี่เอง! เชื่อข้าเถิด – วัตถุหยินระดับ A ที่อยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญและวัตถุหยินระดับ A ที่อยู่ในมือของวิญญาณที่ไร้ความสามารถนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยิ่งด้วยความแข็งแกร่งของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาเองแล้ว มันไม่มีทางที่ขงโม่จะยอมสอนวิธีใช้งานมันอย่างเต็มที่ให้กับคนอื่นแน่ ๆ อย่างมากที่สุด วิญญาณเหล่านั้นก็คงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ความสามารถเพียงส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น!”
“นี่คือโชคชะตา” นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและถอนหายใจกับตัวเอง ไม่คิดเลยว่านางจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวินาทีแห่งชะตากรรมนี้อีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายที่เหตุการณ์ที่เช่นนี้เกิดขึ้นคือเมื่อใดกันนะ?
มันคือตอนที่ยมโลกถูกล้อมรอบด้วยมหาโลกใต้พิภพอีกเจ็ดแห่งในอดีตใช่หรือไม่? หรือว่าในตอนที่พวกนางกำลังแย่งชิงดินแดนกับทางโลกใต้พิภพของฮินดูสถานกัน?
สถานการณ์ในตอนนั้นเองก็อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น ใครบางคนก็สามารถหาลำแสงแห่งความหวังและสามารถคว้ามันเอาไว้ได้
ม่านแห่งชะตากรรมของพวกนางอาจจะดูมืดมนและกดดันเป็นอย่างมากในเวลานี้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังจะต้องเป็นท้องฟ้าที่สดใสและทะเลสีฟ้าครามอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉินเย่พยักหน้าขณะที่เขาหันไปมองกระจกอีกครั้ง “มันไม่ใช่แค่นั้น”
“พวกเขาได้เปิดประตูทั้งสี่บานของเมืองและเร่งอพยพเหล่าประชาชนด้วยความเร็วสูงสุด แม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจว่าการเคลื่อนไหวเช่นนั้นมีความจำเป็นต่อการเตรียมการทางการทหารของพวกเขาหรือไม่ แต่ข้ายังสามารถเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนที่พวกเขาสั่งให้รวบรวมกองกำลังในเมือง”
เขาไพล่มือไปด้านหลังและก้มหน้าลงขณะที่พยายามเรียบเรียงความคิดของตัวเอง “หากข้าค้นพบถึงการตายของจ้าวแห่งเจียงอินและการหายไปของกองกำลังทหารกว่าแสนนาย ข้าก็คงจะสั่งให้นครชฺวีฟู่ใช้กฎอัยการศึกเป็นการชั่วคราวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม…นั่นอาจเป็นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ข้าอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่มันก็คงไม่ได้เร่งด่วนอย่างที่พวกเขากำลังแสดงให้เห็นในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีสัญญาณเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของศัตรูในบริเวณใกล้เคียง พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเรากำลังเคลื่อนทัพผ่านทางแก่นโลก แทนที่จะเป็นแมนเทิล ซึ่งก็คือลิมโบ”
“อีกความหมายหนึ่งก็คือ ผู้ที่ให้คำสั่งจะต้องเป็นระวังเป็นอย่างมากที่จะเรียกระดมกำลังและอพยพประชาชนทั้งหมด นครชฺวีฟู่ได้เปิดใช้การป้องกันของพวกเขาเพื่อยับยั้งการโจมตีของศัตรูที่จู่โจมเข้ามา แต่หากเราลองสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันการโจมตีเสียทั้งหมด และความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนั้นก็แทบจะคนละโลกเลย”
“ประตูทั้งสี่บานถูกเปิด และพวกเขาก็กำลังแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่ล้นหลาม นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโอกาสที่ดี”
“จู่โจม พวกเราจะต้องบุก! มันไม่มีโอกาสไหนที่จะดีกว่านี้!” เขาหันกลับไปจ้องเขม็งที่กระจก “พวกเราจะต้องบุกก่อนที่อีกฝ่ายจะสามารถรวบรวมประชากรทั้งเมือได้! บุกโจมตีและปิดโอกาสในการเสริมการป้องกันพวกเขาซะ! แม่ทัพหยาง เจ้ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการวิเคราะห์ของข้าในเรื่องนี้?”
“พระองค์ทรงพระปรีชามากพ่ะย่ะค่ะ” หยางเหยียนเจาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หากพูดกันตามตรง เขายังไม่ได้พิจารณาถึงความคิดของกองกำลังของศัตรูด้วยซ้ำในตอนที่เอ่ยข้อสรุปของเรื่องนี้ออกไป การตัดสินใจของเขาทั้งหมดล้วนมาจากสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมซึ่งเกิดจากความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธีทั้งหมด หัวใจของเขากรีดร้องเสียงดัง บอกเขาว่าโอกาสที่ในชีวิตหนึ่งจะมีสักครั้งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว!
จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งในการป้องกันของนครชฺวีฟู่จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการระดมกำลังนี้ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังกำแพงเมืองในเวลานี้กลับไม่ใช่เขี้ยวอันแหลมคม แต่น่าจะเป็นลิ้นที่อ่อนนุ่มของมันมากกว่า
ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาสามารถจัดวางกองกำลังได้อย่างเหมาะสมและสร้างความวุ่นวายขึ้นได้ เมื่อนั้น…วิญญาณทั้งหมดภายในเมืองก็จะเกิดความตื่นตระหนก และทั้งเมืองก็จะตกอยู่ในความโกลาหล!
เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็กำลังพูดถึงวิญญาณหลายล้านตน! แม้แต่ขั้นตุลาการนรกก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันในการกำจัดวิญญาณทั้งหมด!
และยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้นเท่าไหร่ ความสนใจก็จะถูกดึงออกไปจากตัวเมืองมากยิ่งขึ้น กองกำลังทั้งหมดจะต้องถูกดึงตัวออกไปนอกเมือง และเมื่อถึงเวลานั้น…มันก็จะเป็นวินาทีที่ดีที่สุดที่จะมอบการโจมตีสุดท้ายให้กับกองกำลังของศัตรู!
“พวกเรายังต้องใช้เวลาเดินทางอีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆเพื่อระงับความรู้สึกที่เดือดพล่านอยู่ภายในใจ จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองเหล่าแม่ทัพที่อยู่โดยรอบ “ทุกคน จงเตรียมตัวให้พร้อม”
“วันแห่งโชคชะตากำลังจะมาถึงแล้ว!”
“ยมโลกจงเจริญ!!”
………………………………………………………………..
ณ ป้อมปราการของนครชฺวีฟู่ ด่านซานไห่
ธงผืนใหญ่ถูกผูกไว้เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเหนือประตูทางตะวันออก และทหารวิญญาณอย่างน้อยพันนายก็กำลังเดินลาดตระเวนอยู่รอบๆ ทหารวิญญาณจำนวนมากกำลังประจำการอยู่ที่เครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่ บรรจุลูกดอกหน้าไม้และดึงเชือกไปที่น็อค ด้วยคำสั่งสั้น ๆ ลูกดอกหน้าไม้นับร้อยก็พร้อมที่จะพุ่งผ่านอากาศและตกลงสู่เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไป 300 เมตรทันที
บนประตูเมืองมีที่พำนักขนาดใหญ่ทว่าเรียบง่ายถูกสร้างเอาไว้ เบื้องหน้าของมันมีวิญญาณสี่ตนยืนอยู่ โดยตนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าสมันราชวงศ์ถัง ในขณะที่อีกสามตนแต่งกายด้วยชุดของยุคสมัยใหม่ ล้อมรอบด้วยวิญญาณขั้นยมเทพหลายสิบตนที่ลอยไปมองอยู่รอบ ๆ ขณะที่มองดูดินแดนด้านล่างไปด้วย
ประตูเมืองตั้งอยู่ด้านล่างของพวกเขาโดยตรง และวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังผ่านทางเข้ามาอย่างไม่สบายใจนัก แต่ถึงกระนั้น วิญญาณทั้งหมดก็ยังรอเข้ามาในเมืองอย่างเป็นระเบียบ หลังจากยืนดูอยู่เป็นเวลาหลายนาที วิญญาณในชุดราชวงศ์ถังตนที่ยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของที่พำนักก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “มันต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด?”
“สี่วัน” ถัดไปจากเขา วิญญาณที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายุคปัจจุบันจ้องมองเล็บนิ้วมือยาวดำของตัวเองก่อนจะละสายตาและเอ่ยขึ้น “หลาย จวิ่นเฉิน เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังตื่นตระหนกเกินไป? มันจำเป็นหรือที่จะต้องอพยพวิญญาณทั้ง 72 หมู่บ้านและหกเขตเข้ามาไว้ในเมือง? ผู้ที่ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว เหตุใดจะต้องมาร้องไห้เสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วย?”
ดวงตาของหลาย จวิ่นเฉินหรี่ลง เช่นเดียวกันกับขงโม่ ดวงงตาของเขาไร้ซึ่งเปลวไฟนรกที่ลุกโชน กลับกัน มันมีเพียงจุดแดงสองจุดในตำแหน่งที่ควรจะเป็นเปลวไฟ
หากยมทูตของยมโลกแห่งเก่าปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ พวกเขาคงจะสามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือสัญญาณของวิญญาณที่ถูกทำให้ต้องทุกข์ทรมานจากกงล้อแห่งสังสารวัฏมาเป็นเวลานานกว่าปกติ นี่เป็นทางเดียวที่จะบีบอัดเปลวไฟที่ลุกโชนในดวงตาของพวกเขาจนกระทั่งกลายเป็นเพียงจุดสีแดงสองจุดได้
และผู้ใดก็ตามที่ต้องถูกทรมานเช่นนี้ก็ย่อมเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านเลวร้ายในช่วงเวลาของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้ามีคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ ไม่ ไม่เลย อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้ช่วยคนสนิทของท่านขงอยู่แล้ว” วิญญาณตนดังกล่าวเอ่ยตอบ “แต่พวกเราคือผู้ที่พยายามสร้างทุกสิ่งทุกที่เจ้าเห็นในบริเวณใกล้เคียงมาเป็นระยะเวลากว่าสิบปี มันไม่เป็นไรหากเจ้าจะเรียกรวมพวกเขา แต่เจ้าก็ต้องรับผิดชอบในการส่งพวกเขากลับไปหลังจากนี้ด้วย ข้าไม่ต้องการเห็นดินแดนที่เราลงทุนไปมากมายต้องสูญเปล่า”
หลาย จวิ่นเฉินจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือกอยู่หลายวินาทีก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
อีกฝ่ายที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาก่อนจะเดินกลับเข้าไปในที่พำนัก “เช่นนั้นก็ขอบคุณ”
ปั้ง!
บานประตูถูกปิดลง และพลังหยินจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขา ใบหน้าของเจ้าตัวบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาด และริมฝีปากก็ฉีกไปจนถึงหู “ใครจะตายแล้วอย่างไร?!”
“ตอนนี้พวกเราเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิมโบ! เจ้าคิดจริงๆน่ะหรือว่าจะมีใครที่กล้ามาแตะต้องกับป้อมปราการที่แข็งแกร่งอย่างนครชฺวีฟู่ได้? หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือหนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทของท่านขง ข้าก็คงจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้นๆไปแล้ว!”
หนึ่งในวิญญาณข้ารับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ รีบถามทันที “นายท่าน พวกเราควรทำตามคำสั่งของท่านหลายและเร่งความเร็วในการอพยพพวกวิญญาณเข้ามาในประตูเมืองหรือไม่?”
“ฝันไปเถอะ!!” วิญญาณตนนั้นแสยะยิ้ม “หากเขาต้องการที่จะทำเช่นนั้น เราก็จะปล่อยให้เขาทำมันด้วยตัวเอง! ท่านขงได้ฝากฝังการป้องกันของนครชฺวีฟู่ไว้กับวิญญาณร้ายสามตนแห่งมณฑลเจียงซู พวกเราทั้งสามล้วนเป็นวิญญาณที่มีความพิเศษเป็นของตนเอง มีใครในพวกข้าที่อ่อนแอกว่าเขาหรืออย่างไร? เหอะ ๆ เขาเพิ่งกลายเป็นขั้นยมทูตขาวดำได้หลังจากที่มีอายุมานานกว่าพันปี แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเราแบบนั้น?!”