ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 43 ลดลง
บทที่ 43 ลดลง
“ โอ้ใช่ นี่คือเพื่อนร่วมชั้นของผม หวังเฉิงห่าว เป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ เนื่องจากผมไม่สามารถได้สิ่งที่ผมต้องการ ผมก็ขอไปจัดการเงียบ ๆ เอง ว่าแต่เรื่องมหาวิทยาลัยของผมเป็นอย่างไรบ้าง”
“ เสร็จเรียบร้อย” จางเปากัวหยิบเอกสารในกระเป๋าหนังใบที่อยู่ข้าง ๆ เขาและส่งมอบให้ฉินเย่ เอกสารเต็มไปด้วยข้อมูลรายละเอียดและรูปถ่ายของวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ฉินเย่ก้มมองภายในรูปที่สภาพแวดล้อมดูดีพอสมควร อีกทั้งวิทยาเขตก็ดูใหม่มาก ฉินเย่จึงค่อนข้างพอใจไม่น้อย
“สาขาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย สร้างขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นวิทยาเขตที่ค่อนข้างเขียวขจี หลินฮวาก็ศึกษาที่นี่เช่นกัน เขาโชคดีที่ได้เข้าสหภาพนักศึกษา บางทีเขาอาจจะให้คุณช่วยเหลืองานของวิทยาลัยก็ได้ ผมพูดกับครูใหญ่เป็นการส่วนตัวให้แล้ว คุณสามารถเข้าเรียนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ในคณะที่คุณเลือกเอง เอกสารประจำตัวและเอกสารสำคัญอื่น ๆ ของคุณอยู่ในกระเป๋า…แล้วก็”
เขาหยุดชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อด้วยความหวาดหวั่น“ คุณฉิน … ผมจะไม่ปิดบังคุณหรอก คุณน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าขั้นตอนการเข้ามหาวิทยาลัยทุกวันนี้เป็นอย่างไร ระบบของพวกเขาแตกต่างกับสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง เหตุผลเดียวที่พวกเขาตกลงให้คุณเข้าไปได้เพราะ … ”
เสียงของเขาเบาลงจนเงียบ“ ที่นี่ … ไม่ได้ ‘ปลอดภัย’ นัก”
“ น่าสนใจ” ฉินเย่ยิ้ม“ นั่นเป็นสิ่งที่ผมกลัวน้อยที่สุดเสียด้วย”
โดยธรรมชาติแล้วนี่เป็นเงื่อนไขที่ว่า ‘ความไม่ปลอดภัย’ อยู่ในระดับของยมทูตระดับยมเทพ
“ แล้วหน่วยสอบสวนพิเศษล่ะ”
“ กำลังคนไม่เพียงพอ …หน่วยสอบสวนพิเศษได้จัดลำดับความสำคัญตามสถานที่ที่มนุษย์หายตัวไป เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยยังไม่มีการเสียชีวิต หน่วยสอบสวนพิเศษจึงได้ระงับแฟ้มคดีที่เกี่ยวข้องไว้ชั่วคราว พวกเขาได้ออกกฎภายในว่า ใครก็ตามที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยได้จะได้รับรางวัล”
“ผมรู้ว่าสถานการณ์การเงินของคุณไม่ค่อยดีนัก ถ้าคุณสนใจผมสามารถยื่นใบสมัครให้คุณได้”
เขาชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว ฉินเย่เลิกคิ้ว“ หนึ่งแสน?”
“ หนึ่งล้าน”
พระเจ้า
ฉินเย่รู้สึกดีใจขึ้นมา
เงินกองอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ จะไม่ให้ฉินเย่ดีใจจนเนื้อเต้นก็คงเป็นไปไม่ได้
“ ผู้เฒ่าจาง … ” รอยยิ้มของเขาราวกับเศรษฐีผู้โลภมาก “ ตอนนี้ผมไม่ต้องการเงิน”
จางเปากัวอ้าปาก แต่กลับไม่มีคำพูดใดออกจากปาก
ความตั้งใจของฉินเย่นั้นชัดเจน เขาไม่ต้องการเงินในตอนนี้ เพราะงั้นเขาจึงไม่อยากจะเสี่ยงเปิดเผยตัวตนของเขาเร็วไปนัก
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวกระตุก เขามองไปที่ฉินเย่อย่างไม่พอใจ จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า“ แต่ตอนนี้เรา… ต้องการเงินอยู่นะ … ”
อะไรนะ?!
ฉินเย่มองไปที่หวังเฉิงห่าวราวกับเห็นผี ตอนนี้เขามีเงินตั้ง 600,000 หยวน มันถูกหมาคาบไปกินแล้วหรือไง? หวังเฉิงห่าวคิด ตลอดที่เดินทางมานอกจากเล่นเกมในโทรศัพท์ไม่เห็นนายจะทำอะไรเลยนี้?
หวังเฉิงห่าวน้ำตาแทบไหล เขาเปิดเผยความจริงว่า “มันเพิ่งเกิดขึ้น … บัตรธนาคารของฉัน … เพิ่งถูกอายัด … ”
เป็นไปไม่ได้ …
ฉินเย่ยืนขึ้นด้วยความตกใจและคว้าโทรศัพท์ของ หวังเฉิงห่าวไปดูแบบไม่เชื่อ
เป็นไปไม่ได้ …
สวรรค์เล่นตลกอะไรกัน?
ผ่านไปหลายนาที ฉินเย่โยนโทรศัพท์ของหวังเฉิงห่าว กลับคืน เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้ชีวิตชีวา
การที่บัตรถูกอายัด หมายความว่าพวกเขาได้สรุปการสืบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองชิงซีแล้ว หน่วยสอบสวนพิเศษมุ่งเป้าไปที่ ฉินเย่และหวังเฉิงห่าว
เพื่อนร่วมชั้นตายหมด แต่ทำไมกลับมีเพียงเขาสองคนที่รอดชีวิต?
อีกทั้งพวกเขาจะออกจากเมืองชิงซีทำไม? พวกเขารู้อะไรอีกบ้าง? สรุปว่าเรื่องราวมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ในสังคมสมัยใหม่ใครก็ตามที่มีเงินจะสามารถซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตัวเองได้อย่างสะดวกสบายเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นช่องทางแรกในการหลอกล่อผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ ก็คือการระงับการเข้าถึงเงินทุนใด ๆ ของพวกเขา
และสำหรับขั้นตอนที่สอง … วันที่กรมสอบสวนพิเศษมาเคาะประตูบ้านพวกเขาก็คงเป็นไปในเร็ว ๆ นี้
แต่ฉินเย่ไม่คิดจะสนใจว่าคนพวกเขาจะใช้วิธีอะไร ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือพวกเขาไม่มีเงิน!
ไม่มีอะไรเจ็บปวดใจได้เท่านี้แล้ว…
“ ผู้เฒ่าจาง ผมคิดว่าหน่วยสอบสวนพิเศษกำลังตามหาผม แต่ไม่ต้องกังวล ผมแน่ใจแล้วว่าจะฝั่งตัวตนก่อนหน้านี้ทั้งหมดของผม สิ่งเดียวที่ผมอยากจะรบกวนคุณคือ แจ้งให้เราทราบทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา”
“ นอกเหนือจากนั้น … ” ฉินเย่ไอกระแอม“ เกี่ยวกับ … มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย ถ้าข้อเสนอยังคงอยู่บนโต๊ะ ผมขอจัดการกับปัญหาของผมตามความสะดวก … ผมหมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าครูใหญ่เต็มใจ ที่จะให้เราเข้าเรียนในวิทยาลัยโดยไม่มีปัญหาหมายความว่าเขาค่อนข้างเชื่อถือได้ ในฐานะนักเรียนผมควรสนับสนุนให้มหาวิทยาลัย ในทุกทางที่ทำได้ใช่ไหมล่ะ”
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุด คือเขาจะหาข้ออ้างอะไรมาลดทอนการกลืนน้ำลายตัวเองดี
เมื่อเห็นท่าทีอึดอัดใจของฉินเย่ จางเปากัวกลั้นขำในใจ เขาสรุปอย่างจริงจังว่า“เอาล่ะ เดี๋ยวผมจะเตรียมโรงแรมใจกลางเมืองให้คุณพักไปก่อน ด้วยวิธีนี้คุณสามารถใช้ช่วงเวลาสองหรือสามทำความคุ้นเคยกับเมืองเป่าอัน เมื่อคุณพร้อมเมื่อไหร่คุณสามารถตรงไปที่วิทยาลัยได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันอีกไม่นาน ในที่สุดฉินเย่และหวังเฉิงห่าวก็ออกจากภัตตาคาร
จางเปากัวไม่ได้ออกไปพร้อมกับพวกเขาในทันที แต่กลับนั่งดื่มชาเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก่อนจะถอนหายใจและยกหูโทรศัพท์ขึ้น “ย้ายก้นของแกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่นาน จางหลินฮวาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู การแสดงออกของจางเปากัวนั้นซีดเซียวอย่างเหลือเชื่อ“เดี๋ยวนี้แกไม่เชื่อพ่อแกแล้วใช่ไหม ชายแก่คนนี้ขอเรื่องง่าย ๆ จากแกไม่ได้แล้วใช่ไหม!”
“ ไม่ใช่นะพ่อ พ่อเป็นอะไรไปแล้ว!” เมื่อถูกกระตุ้น อารมณ์ของจางหลินฮวาพลุ่งพล่าน“ พ่อทูนหัวเนี่ยนะ?! ถ้าพ่อให้ผมเรียกคนที่อายุพอ ๆ กับพ่อผมจะไม่ว่าอะไรสักคำ แต่พ่อดูเขาสิ?!”
“ เขาอายุยี่สิบแล้วหรือยัง! จะให้ผมเรียกเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดว่าพ่อทูนหัวได้ยังไง พ่อเคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างไหม”
“ไอ้เด็กนี้!!” จางเปากัวลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีและตะโกนเสียงดังลั่น “ แกรู้ไหมว่าโอกาสนี้หายากแค่ไหน! สิ่งที่ไม่มีใครได้รับแม้ว่าพวกเขาจะขอร้องก็ตาม! อันที่จริงเขาคงไม่แม้แต่จะชายตามองแกด้วยซ้ำ หากไม่ได้คำนึงถึงมิตรภาพของเรามากว่ายี่สิบปี! แต่ตอนนี้โอกาสมากองอยู่ตรงหน้าแก แต่แกกลับทิ้งมันไปอย่างไร้ค่า!”
สมองของ จางหลินฮวาเริ่มคิดหนัก “ ยี่สิบปีที่แล้ว … เขายังไม่เกิดเลยใช่ไหม เอาล่ะ … พ่ออย่าโกรธผมเลย ขอผมพูดหน่อย พ่อได้กลิ่นเหม็นบนร่างกายของพวกเขาหรือเปล่า”
“ใช่ กลิ่นเหม็นของเหงื่อ พวกเขาจะน่าทึ่งแค่ไหนเชียว พวกเขาไม่มีเงินแม้แต่จะบินมาที่นี่ อย่างน้อยพ่อควรบอกผมว่าพวกเขาทำอะไรเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่ใช่จะบอกให้ผมเรียกเขาในฐานะพ่อทูนหัว ผมเป็นสมาชิกสภานักศึกษาพูดจริงทำจริง เมื่อคืนพ่อพูดถึงเรื่องที่พวกเขาจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยเดียวกับผม พ่อไม่คิดว่านั่นจะทำให้ผมเสียหน้าเหรอ”
“หุบปาก!” จางเปากัวพูด…
หลังจากจ้องตากันสักพัก จางเปากัวก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้และโบกแขนแบบหมดปัญญา “ คิดผิดแล้ว ที่ฉันพยายามทำคือช่วยให้แกได้สร้างความสัมพันธ์กับเขา ด้วยความหวังว่าเขาจะดูแลครอบครัวของเราให้ปลอดภัย แกช่างไม่รู้อะไรเลย”
“อย่าลืมว่านอนอยู่ที่โรงเรียน แกจะต้องช่วยพวกเขาในทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้แกโตแล้ว และแกก็มีความคิดของตัวเองแล้ว แม้ว่าแกจะไม่เต็มใจที่จะรับเขาเป็นพ่อทูนหัวหรือไม่ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่แกไม่มีทางทำให้ขุ่นเคืองใจได้”
จางหลินฮวาก้มหัวลงและขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เขาตอบอย่างไม่เต็มใจว่า “ผมเข้าใจแล้ว”
ก่อนที่จางเปากัวจะตอบกลับ เขาก็เปิดประตูและออกจากห้องไป
“เฮ้อ…” จางเปากัวถอนหายใจและหัวเราะเบา ๆ อย่างขมขื่น“ ฉันหวังว่าลูก ๆ หลาน ๆ จะอยู่อย่างมีความสุขนะ…”
…………………………………………..
กลับมาที่โรงแรม ทั้งหวังเฉิงห่าวและฉินเย่นอนอยู่บนเตียง จ้องมองไปที่เพดานด้วยความว่างเปล่า
“ พี่ฉิน สั่งอะไรมากินดีไหม” หวังเฉิงห่าวถาม เขาเอามือกุมท้องที่กำลังร้อง
“เอาสิ” ฉินเย่ก็เริ่มรู้สึกหิวแล้วเช่นกัน ความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจทำให้เขาหิวจนตาลาย ดวงตาของเขามองเพดานอย่างสิ้นหวัง “จะกินเนื้อ อาหารทะเล หรือซุปเป็ด?”
หวังเฉิงห่าวกลืนน้ำลาย“ เรื่องนั้น … พี่ฉิน อย่างที่ฉันได้กล่าวก่อนหน้านี้ เราจะฟุ่มเฟือยเกินไปไม่ได้…งั้นเรากินอาหารทะเลกันดีไหม?”
“ก็ได้” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนเดินไปที่มุมห้องแล้วเปิดซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสทะเล “ต้องเติมน้ำเท่าไหร่นะ”
“ … ”
หัวใจของหวังเฉิงห่าวเต็มไปด้วยคำสาปแช่งและคำสบถ แต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“ … ฉันคิดว่าเรายังพอจะกินไก่ตุ๋นได้บ้าง…ลุงจางไม่ได้ทิ้งบัตรที่มีเงิน 20,000 หยวนไว้ให้เราก่อนไปเหรอ”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า … ” ฉินเย่หัวเราะอย่างเย็นชา “เราประหยัดค่าเล่าเรียนได้แล้ว แต่ค่าหนังสือ ค่าชมรม ไหนจะค่าประกันของนายล่ะ?! เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากแค่ไหนในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย แต่นายกลับชวนฉันกินไก่ตุ๋นเนี่ยนะ”
หวังเฉิงห่าวกะพริบตามองที่ฉินเย่ราวกับว่าเขามีคำพูดมากมาย แต่ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน
“ ถ้าอย่างนั้น … แล้วเราจะทำยังไง?”
“หาเงิน!” ฉินเย่แช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำเดือดด้วยความขุ่นเคือง หวังเฉิงห่าวกำลังจะคว้าถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ฉินเย่ก็หยิบมันขึ้นมาก่อนและเอนหลังพิงหน้าต่าง ฉินเย่เปิดผ้าม่านออกและมองออกไปข้างนอก“ เรามาสังเกตสถานการณ์ภายในเมืองเป่าอันกันก่อนที่จะไปที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเถอะ”
ก๊อกก๊อก จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะดังมาจากประตูห้องของพวกเขา
หวังเฉิงห่าวกำลังจะตอบ แต่ฉินเย่กลับเอามือปิดปากเขาไว้ ฉินเย่ชักสีหน้าทำให้หวังเฉิงห่าวเงียบ
ประสบการณ์ล่าสุดของหวังเฉิงห่าว ทำให้เขาเหมือนนกตัวเล็ก ๆ ที่ขี้ตกใจ ทันทีที่ฉินเย่แสดงท่าทีแปลกๆ ดวงตาของหวังเฉิงห่าวก็เบิกกว้างขึ้นทันทีและเหงื่อก็เริ่มไหลออกมาจากหน้าผาก ฉินเย่รู้สึกได้ว่าริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวกำลังสั่น หวังเฉิงห่าวพยักหน้าอย่างรู้ทัน
ห้องนั้นเงียบสนิท แต่เสียงเคาะก็ยังไม่หยุด มันยังคงดำเนินต่อด้วยจังหวะที่คงที่ เคาะสองครั้งทุก ๆ ห้าวินาที
ก๊อกก๊อก… ก๊อกก๊อก…
กึด ๆๆ … ฟันของหวังเฉิงห่าวเริ่มส่งเสียงแบบควบคุมไม่ได้ แม้แต่หวังเฉิงห่าวก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ถ้าเป็นพนักงานโรงแรมจะบอกจุดประสงค์หลังจากเคาะประตูแล้ว น่าเสียดายที่ผู้มาเยือนของพวกเขาไม่ได้ทำอย่างงั้น
ผู้มาเยือนลึกลับ ไม่ได้ระบุตัวตน แต่ … เขากลับเคาะประตูเช่นนี้นานหนึ่งนาที!
บรรยากาศในห้องเริ่มหนาวเย็นราวกับมีน้ำแข็งจับ หวังเฉิงห่าวก็เริ่มตื่นตระหนก เขาคว้าแขนของฉินเย่ด้วยมือที่สั่นเทา และขอร้องให้ฉินเย่แอบมองใต้ประตูแทนเขาที
เสียงเคาะด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้น … ก็ไม่มีร่องรอยของเงาของผู้มาเยือน!
ครืด… ครืด … ทันใดนั้นเสียงที่แปลกประหลาดดังขึ้นจากใต้ประตู จู่ ๆ ก็มีมือสีม่วงคล้ำที่บิดเบี้ยวก็ยื่นเข้ามาในห้อง
มีร่องรอยการตกเลือดของเม็ดเลือดแดง[1]
สิ่งที่อยู่ที่ประตู …ไม่ว่าจะคืออะไร มันไม่มีชีวิต เนื่องจากมันไม่มีเงา!
เล็บของมันกลายเป็นสีดำ มือสีซีดของเขาที่ปราศจากสีของเลือดกำลังแผ่กิ่งก้านสาขาที่คลานไปทั่ว มือมันเหมือนไส้เดือนดิน มือที่บิดเบี้ยวถือบัตรและวางไว้หลังประตูอย่างเบามือ
จากนั้นมันก็หดกลับ ก่อนจะไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นอีก
ไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ชายคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าตายไปนานแล้วและไม่มีเงากำลังหนึ่งยืนอยู่นอกประตู ให้บัตรสีดำกับพวกเขา
“ บริการสปาหรอ?” แม้แต่เสียงของหวังเฉิงห่าวก็เปลี่ยนไป ฉินเย่ตอบกลับอย่างไม่พอใจ “งี่เง่า! ใครจะมาเปิดบริการสปาที่ในสถานที่แบบนี้ แล้วก็ เลิกดันฉันไปข้างหน้าซักที!”
“ แต่ฉันกลัว … ”
“ ฉันก็กลัวเหมือนกัน!”
หวังเฉิงห่าวจ้องมองฉินเย่ด้วยความขุ่นเคือง ริมฝีปากของฉินเย่กระตุกยิก แต่เขาก็ยังเดินไปที่ประตูเพื่อตรวจสอบ
มันเป็นบัตรที่ดูสวยงามและมีลวดลายสีเงินที่ดูคล้ายกับลายเส้นโบราณ รูปแบบที่โค้งพันกันไปมาบรรจบกันเป็นรูปหัวกะโหลกตรงกลางบัตร ไฟสีเขียวดูเหมือนไหม้ที่หน้าผากของหัวกะโหลก ทันทีที่มือของฉินเย่แตะไฟก็เริ่มลุกโชนขึ้น
“ นี่อะไรน่ะ” ฉินเย่พลิกบัตรด้านหลังดู แล้วใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีเขียวทันที
“สมาคมอวี๋หลาน”
“ ไม่ว่าคุณจะอ้วนหรือผอม เนื้อและกระดูกทั้งหมดก็เหี่ยวแห้งไปอยู่ดี ดื่มด่ำกับความรุ่งโรจน์ของชีวิตหลังความตายที่ สมาคมอวี๋หลานเท่านั้น”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย …