ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 430: สงครามครั้งสุดท้าย (2)
บทที่ 430: สงครามครั้งสุดท้าย (2)
จ้าวฉีเองก็เดินทัพไปพร้อมกับกองกำลังของมู่กุ้ยอิงด้วยเช่นกัน
กำแพงเมืองชั้นนอกทางฝั่งตะวันตกคือหนึ่งในจุดที่ได้รับกันคุ้มกันแน่นหนาที่สุด และมันก็ยังเป็นจุดที่มีจำนวนผู้มีฝีมือของยมโลกอยู่รวมกันมากที่สุดอีกด้วย มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นหนึ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย
เขาเหวี่ยงดาบในมืออย่างรุนแรง สังหารทหารวิญญาณฝ่ายศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้าภายในเสี้ยววินาที มันมีแม้กระทั่งแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและสูดหายใจเข้าช้า ๆ – ใช่แล้ว ความรู้สึกนี้… ความรู้สึกของการฟาดฟันศัตรูคือหัวใจของทหาร
มันไม่สำคัญว่าเขาจะตายไปแล้ว ความคิดเกี่ยวกับการปูทางในอนาคตให้กับยมโลกทำให้เลือดภายในกายของเขาเดือดพล่าน และเขาก็รวบรวมกำลังทั้งหมดภายในร่างกายเพื่อทำหน้าที่เป็นใบมีดของยมโลกที่ตัดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ขว้างหน้า
ฉึก! ฉึก! ฉึก! ทัพเกราะทมิฬทำหน้าที่ปูทางสำหรับกองกำลังของยมโลกที่อยู่ด้านหลัง กองกำลังของนครชฺวีฟู่ที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านการทหาร และพื้นที่ที่จำกัดก็ทำให้การได้เปรียบทางจำนวนนั้นไม่เป็นผล ดังนั้นกองกำลังของยมโลกจึงสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้โดยไม่มีผู้เสียงชีวิตแม้แต่คนเดียวภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง!
อย่างไรก็ตาม ไม่มีแม่ทัพคนใดในหมู่กองกำลังของยมโลกเผยร่องรอยของความดีใจบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
พวกเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศัตรู!
เพราะอย่างไรแล้ว นครขนาดใหญ่ที่ป้องกันพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาและวิญญาณหลายล้านตนจะมีกองกำลังที่มีมาตรฐานต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร? ทหารเหล่านี้ไม่แม้แต่จะสามารถต้านทานราชาอสูรวิญญาณสักตัวได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงรู้ดีว่าความสงบในตอนนี้คือความสงบที่เกิดขึ้นก่อนที่พายุจะเข้า ทหารวิญญาณตรงหน้าคือทหารวิญญาณระดับที่ต่ำที่สุด และนครชฺวีฟู่ก็ใช้ทหารพวกนี้เพื่อเป็นตัวยื้อเวลาในการเตรียมการสำหรับกองกำลังส่วนที่เหลือ และเมื่อกำลังเสริมมาถึง มันก็จะถึงเวลาของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ทัพเกราะทมิฬเป็นเหมือนกับสิ่วที่ตอกลงไปที่กำแพงป้องกันที่พังทลาย แต่น่าเสียดายที่กองกำลังป้องกันนั้นมีความยาวกว่า 20 กิโลเมตร ระยะทางกว่าพันเมตรที่พวกเขาเดินทัพเข้ามานั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางทั้งหมดเท่านั้น
เพราะอย่างไรแล้ว ทางเดียวที่จะโค่นล้มกำแพงเมืองได้ก็คือผ่านกองกำลังที่ขวางหน้าอยู่เท่านั้น
มันมีเพียงการโค่นล้มกองกำลังตรงหน้าและเข้าสู่ตัวเมืองได้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถขยับการต่อสู้ไปสู่ระดับต่อไปได้
“บุก!!” จ้าวฉีรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ยิ่งพวกเขาสังหารไปมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ยิ่งดูง่ายมากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศที่หนักหน่วงปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ในขณะที่จิตสังหารแผ่มายังกองกำลังทั้งหมดจากทุกทิศทาง
เขาสามารถจินตนาการถึงกับดักและสิ่งกีดขวางที่รออยู่เบื้องหน้าของพวกตนได้ในทันที
พวกเขาเหวี่ยงดาบของตัวเองราวกับมังกรที่ไม่ย่อท้อ จากนั้น ทันทีที่วิญญาณตนสุดท้ายของกองกำลังนครชฺวีฟู่ถูกสังหารไป และก่อนที่ทุกคนจะได้พักหายใจ พวกเขาก็ได้ยินเสียงปล่อยสายธนูจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น
“ยิง!!” ด้วยคำสั่งที่ดุดัน ลูกธนูจำนวนหนึ่งถูกยิงออกมาในอากาศราวกับฝูงตั๊กแตนบิน และตกลงมาด้านล่างอย่างหนักหน่วงราวกับฝนดาวตก! ในขณะเดียวกัน ประกายแสงสีขาวก็สว่างขึ้นจากด้านบน จ้าวฉีที่กำลังตวัดดาบของตนเพื่อป้องกันลูกธนูอยู่พลันอ้าปาค้างกด้วยความตกตะลึง
ธนูพวกนี้…หนักหน่วงมากกว่าเดิม มันไม่ใช่ลูกธนูที่ทหารวิญญาณปกติจะสามารถยิงได้
ฉึก! การเสียสมาธินำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล ลูกธนูอีกลูกหนึ่งปักเข้าที่หัวไหล่ของเขา จุดที่เป็นช่องว่างของชุดเกราะเข้าอย่างจัง เขาก้าวถอยหลังกลับไปพร้อมกับเสียงครางต่ำ ในขณะที่กำแพงโล่ที่อยู่ด้านหลังของเขารีบเติมเต็มช่องว่างที่ถูกเปิดออกตรงหน้าทันที
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดมองเห็นแถวของทหารอีกกลุ่มหนึ่งยืนกันอยู่ตรงหน้า มันเป็นเหมือนกับกำแพงที่ป้องกันกองกำลังทหารแนวหน้าเอาไว้ ในขณะที่พลธนูจำนวนมากยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสุด ยิงลูกธนูชุดแล้วชุดเล่าออกมา อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า…กองกำลังทหารวิญญาณของฝ่ายศัตรูนั้นดูเหมือนจะมีแผ่นยันต์ติดอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้า และยันต์ดังกล่าวก็เปล่งแสงสว่างออกมา เผยให้เห็นรูปของนกฟินิกซ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องล่างของค่ายกลกองกำลังทั้งหมด!
มันคือค่ายกลฟินิกซ์ทะยานฟ้า!
กองกำลังตรงหน้าคือทัพหลักของด่านซานไห่อย่างไม่ต้องสงสัย!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! ฝนลูกธนูจำนวนมากหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถก้าวเท้าไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว มู่กุ้ยอิงเองก็เช่นกัน เพราะสายฝนลูกธนูที่น่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยากที่จะต้านทาน แม้แต่ขั้นตุลาการนรกเองก็ตาม ดังนั้นสำหรับขั้นยมทูตขาวดำอย่างนางมันจะยากขนาดไหนกัน?
ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว…นี่คือวินาทีที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันด้วยกำลังที่แท้จริง… นางลอบสังเกตค่ายกลของฝ่ายศัตรูอย่างระแวดระวัง หากพูดกันตามความจริง นางไม่คิดเลยว่ากองกำลังหลังจะมาถึงอย่างรวดเร็วและกระทันหันเช่นนี้
ในขณะที่พวกนางกำลังสังหารแนวหน้าของการป้องกันกำแพงเมือง กองกำลังหลักของนครชฺวีฟู่ก็กำลังยุ่งอยู่กับการสร้างค่ายกลและวางกับดักเพื่อรอให้กองกำลังของยมโลกสังหารทหารแนวหน้าจนเสร็จสิ้น
ต้องยอมรับเลยว่าความสามารถทางการทหารของนครชฺวีฟู่นั้นไม่สามารถเทียบได้กับกองกำลังของหยางจีเย่ได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม…ความได้เปรียบทางจำนวนก็ยังมีผลเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ พวกเขายังมีข้อได้เปรียบทางสถานที่อีกด้วย! จนถึงตอนนี้ กองกำลังของยมโลกสามารถบอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายมีจำนวนทหารวิญญาณมากกว่าพวกตนอย่างน้อย 1 หมื่นนาย!
ฉึก! หนึ่งในพลโล่ที่อยู่ใกล้ถูกแทงด้วยลูกธนูที่พุ่งทะลุผ่านช่องว่างของชุดเกราะของตนและกลายเป็นลูกไฟนรกที่สลายหายไปอย่างรวดเร็ว มู่กุ้ยอิงกำมือแน่น – จะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
นางไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ที่กำแพงเมืองส่วนอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้าง สาเหตุที่นางมุ่งเข้าสู่สนามรบเป็นคนแรกก็ด้วยหวังว่าจะรีบเปิดเส้นทางและสามารถไปช่วยพี่ๆคนอื่นๆได้ แต่ต่อให้นางจะต้องเหลือเป็นคนสุดท้ายที่สามารถยืดหยัดอยู่ได้…นางก็หวังเป็นอย่างนิ่งว่าตนเองจะสามารถช่วยลดภาระให้กับกองกำลังของฉินเย่หลังจากนี้ได้
นี่คือราคาที่ทุกสงครามจะต้องจ่าย
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!…ลูกธนูแปลกประหลาดยังคงตกลงมายังเหล่าทหารของยมโลก และมันก็เป็นการยากอย่างมากที่จะเดินทัพไปข้างหน้า มู่กุ้ยอิงสูดหายใจเข้าช้าๆ และผิวปากออกมาเสียงดัง
วี๊ดดด! เสียงที่คมชัดของมันหายไปในสายฝนลูกธนูที่ถาโถมลงมาอย่างหนักหน่วง แต่ถึงกันนั้น ทันทีที่มันดังขึ้น อาณาเขตมนตราที่ลอยอยู่บนฟ้าซึ้งได้จางไปแล้วพลันกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้ง!
“กำลังเสริมอย่างนั้นหรือ?” ผู้บัญชาการหลี่ที่มาถึงที่อสูรกลไกของม่อจื๊อเอ่ยด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นว่าอาณาเขตมนตราสว่างขึ้นอีกครั้ง “เร็ว…เร่งมือเข้า!!!”
“รีบบรรจุหินวิญญาณ! เปิดใช้งานอสูรกลไกเดี๋ยวนี้!”
ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ภายในห้องขนาดใหญ่
มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 150 เมตร และสูง 30 เมตร นี่คือภายในส่วนหัวของอสูรกลไก และมันก็ถูกแบ่งออกเป็นชั้น
แต่ละชั้นล้วนเต็มไปด้วยวิญญาณที่สวมเสื้อคลุมสีดำและมียันต์แปะอยู่บนหน้าผากพร้อมกับหน้ากากสีขาว
มือที่แห้งและซีดเซียวยืนออกมาจากภายใต้เสื้อคลุมสีเข้ม เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่ควบคุมเครื่องมือที่เรียงรายอยู่รอบตน หลายสิบวินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น เครื่องจักรภายในก็เริ่มทำงานในที่สุด
ผู้บัญชาการหลี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะที่จ้องมองไปยังหน้าจอพลังหยินตรงหน้าตน
“ไปลงนรกซะ…”
“มันไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร…อสูรจักรราศีตัวนี้คือสิ่งก่อสร้างทางกลไกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลัทธิม่อจื๊อในตลอด 2,000 ปีของพวกเขา ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานมันได้!”
“ผู้ใดที่กล้าจู่โจมนครชฺวีฟู่จะต้องตาย!”
ในขณะเดียวกัน ท้องฟ้าพลันสั่นสะเทือน และกลุ่มก้อนพลังหยินจำนวนมากก็เริ่มก่อตัวขึ้นเหนือกำแพงเมือง ในเสี้ยววินาทีต่อมา คลื่นกระแทกอันรุนแรงก็ปะทุออกมาจากใจกลางการรวมตัวนั้นและแผ่ขยายออกไปพร้อมกับสร้างความหายนะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อสูรวิญญาณขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้น ณ จุดกึ่งกลางของสนามรบ!
ร่างของมันมีลักษณะคล้ายกับแรด ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยเดือยกระดูกที่น่าสะพรึงกลัว พลังหยินรุนแรงแผ่ออกมาจากทั่วทุกรูขุมขนของร่างกาย หัวของอสูรตรงหน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยม หากพูดให้ถูกก็คือ อสูรตัวดังกล่าวมีส่วนหัวคล้ายกับไทรเซอราทอปส์ นอกจากนี้ มันยังมีเขาแหลมที่ยื่นออกมาจากส่วนหัวของมันอีกด้วย
ที่สำคัญที่สุด ทุกคนที่อยู่โดยรอบสามารถบอกได้ทันทีว่านี่คืออสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรก!
“นี่มัน…” รัศมีของขั้นตุลาการนรกที่แพร่กระจายออกไปยังกำแพงเมืองปัดเผ่าเศษดินและฝุ่นบนฟื้นจนฟุ้งไปทั่ว แทบจะเหมือนกับว่ากำลังเริ่มเต้นทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น กลับมายังภายในอสูรกลไก ผู้บัญชาการหลี่มองดูภาพอสูรวิญญาณตรงหน้าด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา
ในวินาทีนั้น เขาตระหนักได้แล้วว่ายมโลกนั้นตั้งใจที่จะโค่นล้มนครชฺวีฟู่โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น!
“นี่มัน…อสูรทำลายล้างเก้าตาไม่ใช่หรือ? พวกเขาเริ่มใช้อสูรวิญญาณแล้วอย่างนั้นหรือ?!” ด้วยความตื่นตะลึง เขารีบหันกลับไปตะโกนใส่วิญญาณด้านล่างเสียงดัง “ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ที่อสูรกลไกจะเริ่มทำงาน?!!”
“นายท่าน...” หนึ่งในวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆก้มหน้าลงและเอ่ยเสียงเบา “เรายังต้องทำทุกอย่างให้ถูกขั้นตอน...”
ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ผู้บัญชาการหลี่ก็แทงมือเข้าไปในกะโหลกอีกฝ่ายและเปลี่ยนให้วิญญาณตนดังกล่าวกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทาอีกครั้ง “พวกเจ้าไม่เข้าใจคำถามของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“มันต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดกว่าจะสามารถใช้งานได้?!!”
“20 นาที นายท่าน! อีก 20 นาที!”
“ดีมาก…” ผู้บัญชาการหลี่รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผาก จากนั้นเขาจึงค่อยๆลดมือที่สั่นเทาของตนเองลง ก่อนจะหันไปหาผู้ติดตามของตนเองและมอบหมายคำสั่งต่อไป “รีบไป… รีบไปแจ้งท่านหลายและรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของเราในตอนนี้โดยเร็วที่สุด! เราจะยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว…ต้องรีบจัดการศัตรูให้ได้ในขณะที่อีกฝ่ายยังอยู่ที่กำแพงเมือง! เราจะเสี่ยงให้พวกมันเข้ามาในเมืองไม่ได้ นครชฺวีฟู่นั้นใหญ่มาก หากศัตรูสามารถควบคุมที่นี่และสร้างฐานที่มั่นของตัวเองเพื่อรอรับกำลังเสริมที่จะตามหลังจากนี้ได้ ไม่เช่นนั้น นครชฺวีฟู่อาจมีความเสี่ยงที่จะตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง!”
“รับทราบ!”
……………………………………….
กลับมาที่นอกประตูเมืองทางฝั่งตะวันตก อสูรทำลายล้างเก้าตาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ร่างขนาดใหญ่ของมันมีความยาว 20 เมตรและสูง 8 เมตร มันขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกยืนขึ้น จากนั้น พร้อมกับเสียงร้องที่ทำให้ผืนดินต้องสั่นสะเทือน มันก็พุ่งเข้าหากองกำลังของศัตรูทันที!
ยมทูตขาวดำทั้งเจ็ดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของค่ายกลสู่รบของนครชฺวีฟู่ หนึ่งในขั้นยมทูตขาวดำมีลิ้นห้อยยาวออกมาครึ่งเมตรและผิวหนังที่แห้งเหี่ยวซึ่งไม่ต่างอะไรกับเจียงซือก็ตะโกนออกมาดังลั่น “ต้านเอาไว้!! ผู้ใดที่ถอยหนีจะถูกประหารทันที! กองกำลังหอกและโล่เดินหน้าต่อไป! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะปล่อยให้ศัตรูฝ่าเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!! กำแพงเมืองสั่นสะเทือนภายใต้การเดินที่หนักหน่วงของอสูรขนาดใหญ่ กองกำลังที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับมันอยู่ได้นั้นควรค่าแก่การที่จะถูกเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังหลักของนครชฺวีฟู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการบุกของอสูรวิญญาณขั้นตุลาการนรกที่น่าสะพรึงกลัว แต่พวกเขาก็ยังสามารถข่มความกลัวภายในใจและเดินทัพไปข้างหน้าได้อย่างมาดมั่น ไม่มีพวกเขาคนใดถอยหนีเลยแม้แต่คนเดียว พลหอกยึดฐานหอกของตนลงกับพื้นในทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดิน ในขณะที่พลธนูก็ยังคงยิงลูกธนูชุดแล้วชุดเล่าใส่อสูรวิญญาณ
น่าเสียดายที่ลูกธนูส่วนใหญ่ล้วนถูกสะกัดกั้นจากการพุ่งตัวมาข้างหน้าของอสูรวิญญาณทั้งสิ้น ภายใต้ความกดดันที่ลดลง กองกำลังของยมโลกสามารถเดินทัพไปข้างหน้าได้อีกครั้ง
พวกเขาอาจไม่ได้เร็วมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะยังมีลูกธนูบางส่วนที่สามารถเล็ดลอดผ่านการป้องกันและพุ่งมายังทหารวิญญาณได้บ้าง แต่ช่องว่างเหล่านั้นก็ถูกเติมเต็มด้วยกองกำลังโดยรอบอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ภายในเวลาสามนาที กองกำลังของโลกก็สามารถเดินทัพไปข้างหน้าได้อีกร้อยเมตร!
และตอนนี้ อสูรทำลายล้างเก้าตาก็ไปถึงที่เบื้องหน้ากองกำลังของศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ตู้ม!!!
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ประชากรวิญญาณทั้งหมดที่มองดูจากภายในกำแพงเมืองต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่เริ่มถูกโยนกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า
อย่างไรก็ตาม…การพุ่งเข้ามาของมันก็ต้องหยุดลงในไม่ช้า!
โฮกกกกก...!!! ร่างขนาดใหญ่ของมันถูกปกคลุมไปด้วยลูกธนูและหอก แต่ถึงกระนั้น อสูรทำลายล้างเก้าตาก็ได้ใช้ความแข็งแกร่งของมันในการพุ่งผ่านแนวหน้าของศัตรูและทำให้อีกฝ่ายถอยหลังกลับไปได้ถึงห้าเมตร แต่น่าเสียดาย ที่มันไม่สามารถเคลื่อนตัวไปมากกว่านี้ได้
มงกุฎขนาดใหญ่บนส่วนหัวของมันเต็มไปด้วยหอกที่พังทลาย เหล่าทหารวิญญาณที่อยู่ด้านล่างกัดฟันแน่นขณะที่พยายามยืนหยัดเพื่อต้านการเดินหน้าของอสูรขนาดใหญ่ แม้ว่าอสูรตรงหน้าจะเปลี่ยนให้สหายร่วมรบของพวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินและเปลวไฟนรกที่สลายไปในอากาศแล้วก็ตาม
เห้อ… ผู้บัญชาการขั้นยมทูตขาวดำของฝ่ายนครชฺวีฟู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทันใดนั้นเอง…
ร่างๆหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ
มันสง่างามราวกับมังกรที่พุ่งขึ้นมาจากน้ำ หรือนกฟินิกซ์ที่บินขึ้นไปบนฟ้าไม่มีผิด
คนทั้งหมดต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้านั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ภายใต้สายฝนลูกธนูที่พร่างพรม ร่างผอมบางส่วนแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำสนิท จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของนางนั้นรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเมื่อควบคู่ไปกับหอกในมือของนางที่อันแน่นไปด้วยพลังหยิน การเคลื่อนไหวของนางจึงดูไม่ต่างอะไรกับการร่ายรำของมังกรดำที่น่าสะพรึงกลัวเลยแม้แต่น้อย
เวลาดูเหมือนจะหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนที่กล้าถึงขนาดที่จะพุ่งตัวตามหลังอสูรทำลายล้างเก้าตามา แล้วจะนับประสาอะไรกับการที่คน ๆ หนึ่งจะกล้าพุ่งเข้าใส่กองกำลังทหารหมื่นนายเพียงลำพัง…
ขั้นยมทูตขาวดำทั้งหมดของนครชฺวีฟู่มองเห็นร่างดังกล่าวอย่างชัดเจน
มันคือร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง
ใบหน้าของนางไม่ได้งดงามมากนัก แต่รัศมีของนักรบผู้กล้าที่แผ่ออกมากลับทำให้พวกเขาไม่สามารถละสายตาจากอีกฝ่ายได้
เส้นผมของนางสยายไปในอากาศราวกับปีศาจ จากนั้น…พวกมันก็เปลี่ยนเป็นปีกอีกาคู่ใหญ่
ปีกอีกาสีดำสนิท
ฟิ้ว…สายลมที่พัดผ่านสร้างความรู้สึกจั๊กจี้บริเวณหูของมู่กุ้ยอิงเล็กน้อย เปลวไฟนรกในดวงตาของนางได้ดับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือไว้เพียงดวงตาที่ดำสนิท จากนั้น ริมฝีปากของนางก็แยกออกและเอ่ยประโยคๆหนึ่งออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“วิญญาณร้ายจงพินาศ เมืองเฟิงตูจงเจริญ”
ตู้ม!!!
ขนนกสีดำจำนวนมากลุกโชนขึ้นและพุ่งออกจากร่างของนางไปไกลหายพันเมตร!
ในขณะเดียวกัน เสียง “ฟึ่บ” เบาๆก็ดังขึ้น ตามมาติดๆด้วยเสียงของบางสิ่งบางอย่างพุ่งแหวกอากาศ
บางสิ่งบางอย่างกำลังพุ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด
จ้าวฉีจับตาดูมู่กุ้ยอิงมาโดยตลอด
เขารู้ดีว่าแม่ทัพคือหัวใจของกองกำลัง ดังนั้น ในขณะที่มู่กุ้ยอิงกำลังจับตาดูกองกำลังของตน จ้าวฉีจึงสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุดที่ห่างออกไป
อสูรกลไกขนาดใหญ่ได้ยิงหอกที่มีความยาวประมาณสี่เมตรซึ่งถูกเชื่อมไว้ด้วยโซ่เหล็กยาวออกมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ม่านตาของเขาหดลงก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่ใช่หอกเพียงเล่มเดียวที่ถูกยิงออกมาในเวลานี้
เพราะเครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากที่อยู่เหนืออสูรกลไกทั้งหมดเองก็เล็งเป้ามาที่เป้าหมายเดียวกันทั้งสิ้น…