ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 432: สงครามครั้งสุดท้าย (4)
บทที่ 432: สงครามครั้งสุดท้าย (4)
ภายในโลกใต้พิภพถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
อาร์ทิสได้สร้างหน้าจอพลังหยินขึ้นมามากเพียงพอให้ทุกคนที่อยู่ภายในกองกำลังที่เหลืออยู่ของยมโลกสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
เมื่อสงครามทวีความรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ ความร้อนใจของเหล่าวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น ทุกคนพยายามต้านความต้องการที่จะพุ่งตัวออกไปยังสนามรบและร่วมรบกับสหายของตนเอง
ความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่สามารถส่งต่อกันได้ แม้แต่กระต่ายที่อ่อนแอก็สามารถเปลี่ยนเป็นสิงโตที่ดุร้ายได้ในสถานการณ์คับขัน และนี่ยังไม่ได้พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาคือสิงโตที่ดุร้ายอยู่แล้ว
ทหารวิญญาณจำนวนมากกัดฟันแน่นและกระชับมือรอบอาวุธของตนแน่นขึ้นกว่าเดิม ตั้งตารอวินาทีที่จ้าวนรกของพวกเขาจะเอ่ยคำสั่ง หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าหน้าที่ของพวกเขาคือรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไป พวกเขาก็คงจะขออนุญาตเข้าร่วมรบไปนานแล้ว
พวกเขารู้ดีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เห็นสหายร่วมรบของตนเอง
พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีคนล้มตายไปมากเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่ากองกำลังของตระกูลหยางครึ่งหนึ่งได้ถูกสังหารไปในสงครามครั้งนี้
แต่ถึงกระนั้น…พวกเขาก็ยังไม่สามารถลงมือได้!
หน้าที่ของฝ่ายลอบจู่โจมก็คือโจมตีในวินาทีที่วิกฤตที่สุด! ซึ่งมันยังไม่ใช่ตอนนี้!
“หืม?” ทันใดนั้นเอง ดวงตาของฉินเย่ก็เป็นประกายขึ้น หน้าจอพลังหยินจำนวนมากคอยฉายภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ กำแพงเมืองทิศต่างๆ และกำแพงเมืองทางทิศใต้ก็เกิดบางสิ่งบางอย่างที่สะดุดตาของเขาขึ้น ทันใดนั้น ความคาดหมายในแววตาของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงและประหลาดใจ
และมันก็ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ทหารวิญญาณหลายนายเองก็ลุกยืนขึ้น หายใจอย่างติดขัดขณะที่จ้องไปยังหน้าจอที่ฉายภาพของประตูเมืองทางทิศใต้ มือของพวกเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง
พวกเขาเข้าไปได้แล้ว…
พวกเขาเข้าไปได้แล้ว!!
กองกำลังพยัคฆ์คลั่งจำนวนนับร้อยคำรามอยู่หน้าสุดของกลุ่ม ถึงแม้ว่าเกราะของพวกเขาจะได้รับความเสียหายมากแล้ว และทหารหลายนายก็ได้รับบาดเจ็บอยู่หลายจุด แต่พวกเขาก็ยังพุ่งเข้าหาทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ที่ถอยออกห่างจากกำแพงเมือง ซึ่งนั่นเป็นจุดที่โลงศพส่งวิญญาณถูกวางอยู่!
นั่นคือจุดที่ฮวาเจี่ยอวี่ถูกมอบหมายให้ไปประจําการ...
นางควรค่าแก่การที่จะเป็นที่ผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่แม่ทัพหญิงทั้งหมดอย่างแท้จริง ไม่คิดเลยว่านางจะสามารถทำเช่นนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ!
“อย่าเพิ่งถูกหลอกพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะที่อาร์ทิสและฉินเย่ต่างเต็มไปด้วยความดีใจ หยางเหยียนเต๋อก็ดึงทั้งสองกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง “ลองทอดพระเนตรดูตรงจุดนี้เสียก่อน... ศัตรู…จงใจ”
ฉินเย่มองไปยังทิศทางที่เขาบอก และก็พบว่ากองกำลังที่ถอยทัพไปนั้นถอยได้อย่างถูกเวลาและเป็นระเบียบ พวกเขาอาจจะดูเหมือนว่าแพ้ แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือพวกเขาเพียงแค่กลับไปรวมกองกำลังของตนที่อื่นๆ
พื้นที่ด้านล่างกำแพงเมืองนั้นกว้างกว่าด้านบนสุดของกำแพงมาก และมันก็ทำให้การเคลื่อนไหวของกองกำลังของนครชฺวีฟู่นั้นง่ายกว่าเดิมมาก!
นี่เป็นผลดีกับกองกำลังของกองกำลังของนครชฺวีฟู่และความได้เปรียบทางจำนวนของอีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย! นอกจากนี้…พวกเขายังสามารถบอกได้ด้วยว่ากำลังเสริมของนครชฺวีฟู่ล้วนต่างกำลังรอเพื่อจุดนี้มาโดยตลอด
“กระหม่อมหวังว่าแม่ทัพฮวาจะสังเกตเห็นมัน…” หยางเหยียนเต๋อสูดหายใจเข้าช้าๆ “กระหม่อมมีความรู้สึกว่ากองกำลังป้องกันหลักของกำแพงทางทิศใต้กำลังจะปรากฏขึ้นเร็วๆนี้ พวกเขาจะต้องไม่ยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ผ่านไปแน่ๆ…”
ใช่แล้ว นี่คือโอกาส
โอกาสสำหรับทั้งฮวาเจี่ยอวี่และนครชฺวีฟู่!
……………………………………………….
“พระเจ้า!!” “ใครก็ได้!! ช่วยด้วย!!” “ทหารวิญญาณของศัตรูเข้ามาในเมืองได้แล้ว! ทหารของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาได้แล้ว!!” “กองกำลังป้องกันไปไหน? เหตุใดพวกเขาจึงปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในเมืองเช่นนี้?!”
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยืนอยู่บนถนนสายนอกของนครชฺวีฟู่กรีดร้องออกมาเสียงดังขณะที่พยายามหลบหนีเข้าไปในบ้านเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
ฮวาเจี่ยอวี่ที่แต่งกายในชุดเกราะสีดำสนิท วิ่งไปตามท้องถนนด้วยใบหน้าเฉยเมย อย่างน้อยที่สุดก็จดกระทั่งตอนที่นางวิ่งไปถึงที่ช่วงปลายสุดของถนน
ทัพทหารม้าจำนวนมากได้รออยู่ก่อนแล้ว ห่างจากทัพของนางออกไปประมาณพันเมตร และมันก็เป็นระยะทางที่มากพอที่ม้าของพวกเขาจะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพื่อบุกเข้ามา นอกจากนี้ มันก็ยังมีเนินลาดชัดที่อยูาด้านหลังของทหารม้าพวกนั้นอีกด้วย
บริเวณโดยรอบยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือนจำนวนมาก แต่ทันทีที่กองกำลังของฮวาเจี่ยอวี่ไปถึง พลธนูจำนวนมากของนครชฺวีฟู่ก็วิ่งขึ้นไปยังด้านบนสุดของบ้าน ดึงคันธนูและยิงไปที่กองกำลังของนางทันที โดยพลธนูทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 20,000 นาย
ไม่ถอย
รูปแบบของกำแพงภายในด่านซานไห่นั้นงดงามและชาญฉลาดเป็นอย่างมาก กำแพงเมืองชั้นในถูกสร้างขึ้นที่ด้านบนของเนินที่มีทางลาดยาวลงมานอกเมือง และโลงศพส่งวิญญาณก็ตั้งอยู่เหนือเนินหล่านั้นอีกที มันเป็นเรื่องง่ายที่กองกำลังที่อยู่ภายในเมืองชั้นในที่จะเดินทัพไปด้านนอก แต่เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้บุกรุกที่จะล้อมพื้นที่ด้านใน
ฮวาเจี่ยอวี่ไม่ได้มีความคิดที่จะถอยหนีเลยแม้แต่น้อย
นางเลิกให้ความสนใจกองกำลังตรงหน้า และหันไปมองยังกำแพงเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่ฝั่งที่นางจากมา กำแพงเมืองแต่ละฝั่งล้วนเต็มไปด้วยพลังหยินที่รุนแรงและการระเบิดของเปลวไฟนรก ภาพนี้ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่านางเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่สามารถบุกทะลวงกำแพงและเข้ามาสู่เขตเมืองได้สำเร็จ
และตอนนี้นางก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับกองกำลังทหารหลายหมื่นนาย
แม้ว่ามันจะอันตราย แต่มันก็เป็นโอกาสเช่นกัน
หากนางสามารถเจาะทะลวงกองกำลังที่อยู่ตรงหน้าไปได้ นางก็จะสามารถสร้างความวุ่นวายขึ้นได้ แม้ว่านั่นจะหมายความว่านางเหลือทหารอยู่ภายใต้บังคับบัญชาเพียงแค่หมื่นนายเท่านั้นก็ตาม!
ในเมื่อมันไม่มีที่ให้ถอยหนี… เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นจะต้องหนีอีกต่อไป!
“ค่ายกล” นางพูดขึ้น และเสือโครงกระดูกที่อยู่ด้านหลังก็ก่อตัวเรียงกันราวกับกระแสน้ำสีดำที่ไหลเชี่ยว พลโล่และพลหอกพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อนประจำตำแหน่งของตนพร้อมกับร้องเสียงดัง กระโจนเข้าหาศัตรูที่อยู่ห่างออกไปอย่างกล้าหาญ
ไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยอะไรออกมา
ไม่จำเป็นต้องพูดลอยๆเช่นกัน
เสี้ยววินาทีต่อมา กองสงครามก็เริ่มดังขึ้นจากด้านหลังของกองกำลังของศัตรู และเหล่าทหารแนวหน้าของนครชฺวีฟู่ซึ่งเต็มไปด้วยม้าศึกสีดำนับพันก็เริ่มพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามทันที
ครื้นนน.…มันราวกับคลื่นพายุที่โหมกระหน่ำ จากนั้น หลังจากที่ม้าศึกกลุ่มแรกของกองกำลังนครชฺวีพุ่งเช้าหากองกำลังของยมโลก กองกำลังกลุ่มที่สองก็เคลื่อนตัวออก และกองกำลังที่สามก็เตรียมตัวที่จะก้าวออกมา!
บ้านเรือนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาสั่นไหวเบา ๆ จากจังหวะการย่ำเท้าที่หนักหน่วงนี้ ในขณะเดียวกัน ทหารม้ากว่าหมื่นนายก็พุ่งเข้าหากองกำลังของยมโลกเช่นกัน! มันเป็นภาพที่ตระการตาอย่างไม่น่าเชื่อ! ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วด้านหลังของพวกเขา ผสมผสานเข้ากับความมืดมิดและความเย็นยะเยือกของพลังหยินที่ลอยอยู่โดยรอบ ทุกสิ่งทุกอย่างดูพร่าเลือนไปหมด สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นในตอนนี้มีเพียงประกายจากลูกไฟนรกที่ลอยอยู่ภายใน
รวมถึงประกายไฟและแสงสะท้อนจากใบมีดจากคมดาบของศัตรูอีกด้วย
มันดูไม่ต่างอะไรกับความวุ่นวายในตอนที่เทพปีศาจปรากฏตัวขึ้นเลยสักนิด ด้วยความเร็วของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามา มันคงจะใช้เวลาอีกไม่ถึง 30 วินาทีในการสร้างความเหน็บหน่วงขึ้นภายในใจของเหล่าทหารวิญญาณของยมโลกขึ้นได้ ในอดีต การบุกรุกของทหารม้านับหมื่นนายก็สามารถสร้างความหวาดหวั่นขึ้นภายในใจของเหล่าทหารวิญญาณได้แล้ว
ฮวาเจี่ยอวี่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา กลับกัน นางเพียงจ้องมองไปยังกระแสน้ำสีดำที่กำลังพุ่งมาหาพวกตน ใกล้ขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ม้าศึกที่นำทัพมาก่อนโน้มตัวมาด้านหน้า บ่งบอกเป็นอย่างดีว่าพวกมันกำลังจะพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด!
300 เมตร… 200 เมตร… 100 เมตร!!
ครืดดด!! หอกยาวในมือของกองกำลังทหารสร้างประกายไฟขึ้นขณะที่พวกมันถูกลากไปตามพื้น ทั้งสองฝ่ายสามารถได้ยินเสียงจังหวะการหายใจของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี ในวินาทีนั้น ฮวาเจี่ยอวี่ประกบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากันและเริ่มประสานเป็นลักษณะต่างๆ ในวินาทีต่อมา ยันต์สีทองก็ส่องสว่างขึ้นใต้ฝ่าเท้าของทหารวิญญาณที่อยู่โดยรอบ เชื่อมต่อพวกเขาจนก่อตัวเป็นรูปของดอกไม้ที่สวยงาม ดวงตาของคนทั้งหมดพลันเปล่งประกายขึ้น โล่ที่ถืออยู่ส่องสว่างด้วยอักขระรูนที่ซับซ้อนกว่าเดิม
มันคือค่ายกลสู้รบ!
ค่ายกลสู้รบของตระกูลหยาง!
ย้อนกลับมาที่โลกใต้พิภพ ทั้งฉินเย่และอาร์ทิสต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าตระกูลหยางจะครอบครองค่ายกลสู้รบที่แข็งแกร่งเอาไว้!
แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คนทั้งหมดต่างจับจ้องไปยังหน้าจอพลังหยินที่อยู่ตรงหน้าของตน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในขณะที่เหล่าทหารม้าของนครชฺวีฟู่มาถึงในรัศมี 50 เมตรของกองกำลังยมโลก ประกายแสงที่ส่องสว่างไม่แพ้กันก็ปะทุออกมาจากใต้เท้าของพวกเขาเช่นกัน! ในทำนองเดียวกัน ยันต์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของทหารม้าทั้งหมด ก่อนจะรวมตัวกันเป็นรูปของพยัคฆ์ขาว
มันคือค่ายกลสู้รบเหมือนกัน!
นี่คือการต่อสู้ระหว่างค่ายกลสู้รบ!
มันคือการเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลัง ทหารวิญญาณของยมโลกสามารถเผชิญหน้ากับวิญญาณทั่วไปได้ในคราวเดียว แต่กองกำลังของนครชฺวีฟู่ก็ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของการพุ่งตัวเข้ามาของม้า มันไม่มีกลยุทธ์ใดๆในการปะทะที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งนี้คือการต่อสู้ของความแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ฝ่ายที่คว้าชัยได้จะสามารถเคลื่อนทัพต่อไปได้
ในขณะที่ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะถูกสังหารและฝังดิน
กรุบ กรุบ… 20 เมตร… 10 เมตร… 5 เมตร!!
“ชัยชนะแด่ยมโลก!!!” ฮวาเจี่ยอวี่เหวี่ยงดาบออกไปอย่างรุนแรง และทหารวิญญาณทั้งหมดก็กระชับการป้องกันของตนเอง ตะโกนออกมาสุดเสียงและรอรับแรงกระแทก
“ฆ่ามัน!!!” ในทำนองเดียวกัน กองกำลังของนครชฺวีฟู่เองก็ยกหอกของตนขึ้นราวกับปีศาจที่มีขนแหลมคม
ตู้ม!!!
เสียงจากการปะทะดังสนั่นไปทั่ว
มันดังเสียจนเสียงอื่นดูเหมือนจะเงียบไปอย่างกระทันหันไม่มีผิด
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงแรงสั่นสะเทือนจากการปะทะเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดแล้ว มันไม่มีฝ่ายใดที่ได้เปรียบเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง สิ่งที่เหลือจากการปะทะมีเพียงความยุ่งเหยิงระหว่างการปะทะกันของวิญญาณกับวิญญาณ
จุดแรกของการปะทะเผยให้เห็นภาพกองกำลังทหารม้าของนครชฺวีฟู่ที่กลายสภาพเป็นเม่นจากการถูกหอกจำนวนมากของกองกำลังยมโลกจ้วงแทงเข้าไป นี่เป็นหนึ่งในประโยชน์ของการต่อสู้ภายในเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย จริงอยู่ที่พื้นที่บริเวณนี้กว้างกว่าบริเวณประตูเมืองมาก แต่ถนนพวกนี้ก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะรับร้องการปะทะระหว่างกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ดี!
อ๊ากกกกก! ทหารของนครชฺวีฟู่หลายนายกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนขณะที่ร่างกลับกลายเป็นเปลวไฟนรกที่สลายหายไปจากอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นเพียงทหารม้ากลุ่มแรกเท่านั้น เพราะมันยังมีกองกำลังทหารม้าอีกจำนวนมากที่กำลังพุ่งตัวมาจากด้านหลัง!
กรุบ กรุบ… กรุบ กรุบ กรุบ!!!
ทหารม้าจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาเป็นเหมือนกับคลื่นน้ำที่รุนแรงที่สาดซัดเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่พุ่งตัวเข้าหากองกำลังป้องกันของยมโลกอย่างหนักหน่วง ลูกที่หนึ่ง… ลูกที่สอง… ลูกที่ห้า… ลูกที่สิบ!! และเมื่อคลื่นทหารลูกที่ 12 มาถึง กองกำลังของยมโลกก็ไม่สามารถต้านทานการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไป
มันมากเกินกว่าจะรับมือ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ากองกำลังขนาดเล็กของฮวาเจี่ยอวี่จะสามารถต้านทานการบุกทะลวงของทหารม้ากว่า 50,000 นายได้ ด้วยเหตุนี้ รอยร้าวจึงปรากฏขึ้นบนตัวค่ายกลทันที
ปั้ง… หนึ่งในทหารของยมโลกถูกผลักกระเด็นออกไป และในที่สุด…การป้องกันที่แน่นหนาของยมโลกที่เกิดช่องโหว่ขนาดเล็กขึ้น ทว่าก่อนที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปเติมเต็มส่วนที่ขาดไปได้นั้น ทหารม้าที่เหลือของนครชฺวีฟู่ก็รีบพุ่งเข้าใส่ช่องว่างนั้นราวกับปลาฉลามที่ได้กลิ่นเลือด และฉีกกระชากมันออกอย่างเมามัน
“พวกเรา…” หนึ่งในผู้บัญชาการของนครชฺวีฟู่โยนหอกที่หักของเขาทิ้งและดึงดาบของตัวเองออกมาและคำรามออกมาด้วยเสียงดังลั่น “ฆ่ามัน!!!”
“บุก!!!” มันเป็นการปะทะกันระหว่างทหารราบและทหารม้า เมื่อใดก็ตามที่ส่วนหนึ่งของค่ายกลของยมโลกถูกฉีกกระชากออก สิ่งที่จะตามมาก็คือการทำลายล้างที่รุนแรง โชคดีที่ทหารวิญญาณส่วนใหญ่ของยมโลกที่ถูกกระแทกกลับไปไม่สลายไปในทันที ภายใต้นำทัพที่นิ่งสงบของฮวาเจี่ยอวี่ พวกเขากัดฟันแน่นและต่อสู้กับความเจ็บปวด ก่อนจะสร้างค่ายกลขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง
ยมโลกยังคงต่อต้านการจู่โจมที่รุนแรงของกองกำลังของนครชฺวีฟู่ต่อไป
พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่ากองกำลังตรงหน้าคือส่วนหนึ่งของกองกำลังหลักของนครชฺวีฟู่! ไม่เช่นนั้น อีกฝ่ายคงไม่สามารถต่อสู้กับยมทูตของยมโลกได้อย่างสูสีเช่นนี้
สังหารอีกฝ่ายซะ…แล้วเส้นทางเบื้องหน้าของพวกเขาจะไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใดๆ!
เคร้ง เคร้ง! เสียงของโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ การต่อสู้นั้นรุนแรงและร้อนระอุ คำสั่งของฮวาเจี่ยอวี่ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ภายใต้การต่อสู้ที่วุ่นวาย สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือเหล่าหัวหน้าหน่วยทหารห้านาย เมื่อค่ายกลค่อยๆพังทลายลง ทหารม้าที่พุ่งเข้าสู่สนามต่อสู้ก็พบว่าพวกเขาถูกล้อมรอบโดยทหารวิญญาณที่สวมเกราะและอาวุธครบมือ
ในทุกครั้งที่ทหารม้าของนครชฺวีฟู่นายหนึ่งสังหารทหารของยมโลกไป เมื่อหันกลับมา เขาจะพบหอกยาวสี่เล่มแทงทะลุอกของตัวเอง
เคร้ง เคร้ง… ดาบแแหลมคมฟาดฟันไปมาราวกับมังกรที่ร่ายระบำ ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านไปที่ใด กองกำลังของยมโลกจะกรีดร้องออกมาด้วยความน่าสังเวช และเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟนรกที่สลายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นาน ตำแหน่งดังกล่าวก็ถูกแทนที่ด้วยกองกำลังที่ไร้ซึ่งความกลัว ในขณะเดียวกัน คลื่นของทหารม้าก็ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่ลูกธนูยังคงพร่างพรมลงมาอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลสู้รบของยมโลกได้พังทลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเหล่าทหารวิญญาณก็ไม่สามารถต้านทานการจู่โจมของทหารม้าได้อีกต่อไป
ยิ่งมีทหารม้าบุกเข้าระยะประชิดมากขึ้นเท่าไหร่ บาดแผลของกองกำลังยมโลกก็ยิ่งสาหัสขึ้นเท่านั้น ในที่สุด หลังจากที่ต่อสู้กันอยู่นาน กองกำลังทหารม้าที่ไม่หยุดหย่อนของนครชฺวีฟู่ก็มาถึงจุดจบ
“ท่านขงจงเจริญ!!” พร้อมกับเสียงตะโกนที่บ้าคลั่ง กองกำลังทหารม้ากลุ่มสุดท้ายก็พุ่งตัวเข้าสู่สนามรบอย่างกล้าหาญ ในที่สุดพวกเขาก็บุกเข้าสู่ค่ายกลของอีกฝ่ายได้!
ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วน ในขณะที่สายลมกระโชกแรงกำลังพัดไปรอบๆกลุ่มก่อนพลังหยินเกิดขึ้นจากทุกชีวิตที่สูญเสียไป และส่งทุกอย่างขึ้นไปบนอย่างกาศและกลายเป็นเพียงกลุ่มพลังหยินบริสุทธิ์ แต่ถึงกระนั้น ดวงตาของฮวาเจี่ยอวี่กลับวาวโรจน์ขึ้นเมื่อเห็นว่าทหารม้าทั้งหมดอย่างได้อย่างเต็มตา และนางก็รีบประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกันทันที
ถึงเวลาแล้ว!
ข้อเสียเปรียบที่ยิ่งใหญ่ของกองกำลังทหารม้าของนครชฺวีฟู่ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่มีใครอยู่ขั้นยมทูตขาวดำเลยแม้แต่คนเดียว วิญญาณทุกตนล้วนไม่ได้แข็งแกร่งกว่าขั้นยมเทพเลยสักนิด เมื่อควบคู่กับเรื่องข้อได้เปรียบทางจำนวนที่ไม่ได้มากนัก สิ่งที่ดูเหมือนว่ายากก็กลายเป็นชัยชนะอย่างล้นหลามของยมโลก กองกำลังยมโลก 3,000 นายยอมแลกชีวิตของพวกเขาเพื่อสู้กับทหารม้า 30,000 นายของฝ่านศัตรู
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังรวมตัวกันใหม่ นางจะต้องพุ่งเข้าไปยังสนามรบและกำจัดทหารม้าที่หลงเหลืออยู่ จากนั้นจึงแบ่งกองกำลังออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยนายเพื่อทำลายนครชฺวีฟู่!
แต่หลังจากที่ประสานมือไปได้ถึงช่วงกลาง นางก็ชะงักไป
ใบหน้าของนางไม่ได้เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวระหว่างการต่อสู้ที่น่าสะพึงกลัวทื่ออกมาเลนแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้…แผ่นหลังของนางกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ขณะที่รู้สึกเย็นยะเยือกไปตามสันหลัง นางก็มองไปยังปลายสุดของถนนด้วยความหวาดกลัว
และในวินาทีนั้น นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงไม่มีขั้นยมทูตขาวดำให้เห็นในสนามรบเลยแม้แต่คนเดียว
วินาทีนี้ นางเพิ่งสังเกตเห็นที่พำนักขนาดกใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางถนน
มันมีขนาดประมาณ 20 เมตร และถูกสร้างขึ้นในรูปแบบจีนโบราณ ทางเข้าสู่ที่พำนักถูกแขวนไว้ด้วยม่านสีเขียวบาง นอกจากนี้ มันยังมีขั้นยมทูตขาวดำอีกอย่างน้อยสิบตนที่กำลังคุกเข่าอยู่ภายใน!
ขั้นตุลาการนรก… แกนนำของกองกำลังป้องกันหลักก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด…
“ไม่เลวนี่?” น้ำเสียงนิ่งเรียบดังมาจากด้านหลังของม่านสีเขียว แต่ฮวาเจี่ยอวี่ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารและความโกรธที่รุนแรงแฝงอยู่ภายใต้เสียงที่สงบนิ่งนั้น “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะวางแผนที่จะปิดล้อมนครชฺวีฟู่ และแม้กระทั่งสังหารกองทัพจันทราได้… ไม่เลว… ไม่เลวเลยจริงๆ”
“เอาล่ะ บอกข้ามา เจ้ารับใช้ฝ่ายใดกัน? หากเจ้ายอมบอก ข้า—…”
เสียงที่ราวกับกัดฟันดังขึ้น “อาจจะปล่อยให้เจ้าได้ตายเร็วขึ้น!”