ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 433: สงครามครั้งสุดท้าย (5)
บทที่ 433: สงครามครั้งสุดท้าย (5)
กำแพงเมืองทางตะวันออก การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ยืนไหล่ชนไหล ก่อตัวเป็นกำแพงมนุษย์ที่ขัดขวางกองกำลังของยมโลกที่ถาโถมเข้ามา ทุกคนกัดฟันแน่นและจ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา
กลุ่มก้อนพลังหยินขนาดใหญ่แพร่กระจายออกไปอย่างน้อย 1,000 ตารางเมตร แต่ถึงกระนั้นทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ก็ยังสามารถมองเห็นร่างอันเลือนรางของสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาพวกตนได้
นี่คือหนึ่งในสี่อสูรวิญญาณที่ถูกใช้ในการสำรวจดินแดนของกองกำลังของยมโลก – อสูรกลืนเมฆา
“ยิง!!” ผู้บัญชาการที่อยู่ด้านหลังตะโกนเสียงดัง และลูกดอกหน้าไม้จำนวนมากก็ถูกยิงออกมา ไม่เหมือนกับลูกธนู ลูกดอกหน้าไม้นั้นทรงพลังกว่ามากเมื่อถูกยิงออกมา ลูกดอกหน้าไม้พุ่งทะลุกลุ่มก้อนพลังหยินและตรงไปที่ อสูรกลืนเมฆา อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ลูกดอกหน้าไม้ที่ตรงไปที่อสูรกลืนเมฆาเป็นเหมือนกับวัตถุที่ตกลงบนทรายดูด ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของอสูรกลืนเมฆาดูเหมือนว่าจะช้าลงเล็กน้อย แต่กองกำลังทหารของนครชฺวีฟู่ต่างรู้ดีว่าการโจมตีของพวกเขาไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเป้าหมายเลยแม้แต่น้อย
“นี่มันปีศาจบ้าอะไรกัน?!!” ขั้นยมทูตขาวดำที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้บัญชาการกัดฟันแน่นอยู่ที่ด้านหลัง พวกเขาอยู่ห่างจากประตูเมืองอีกเพียงแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น! หากกองกำลังของพวกเขายังคงถอยหลังต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ ประตูทางตะวันออกและอาคารสำคัญอีกสิบแห่งภายในรัศมี 30 ตารางกิโลเมตรจะต้องตกเป็นของศัตรูอย่างแน่นอน!
แต่…พวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อให้เอาชนะคู่ต่อสู้ได้?!
ในขณะที่ความคิดเริ่มอยู่นอกเหนือความควบคุม ที่ฐานของกลุ่มก้อนพลังหยินก็ส่องสว่างขึ้น และหอกนับพันก็พุ่งตรงไปยังร่างเงาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ฉึก! ฉึก! ฉึก! ชุดเกราะที่สวมโดยชุดกองกำลังของทหารวิญญาณฝ่ายของนครชฺวีฟู่พังทลายลงเหมือนกับเกราะกระดาษที่อ่อนแอ และทหารวิญญาณที่สวมชุดเกราะเหล่านี้ก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงก่อนที่จะกลายเป็นลูกไฟนรกและสลายหายไป
บัดซบ… บัดซบ!!!
เขาคว้าตัวของทหารวิญญาณที่อยู่ข้างๆ วิญญาณตนดังกล่าวสวมเสื้อคลุมยาวสีดำและมียันต์สีเหลืองแปะอยู่บนหน้าผากของตน เขายังสวมหน้ากากปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่ง ผู้บัญชาการขั้นยมทูตขาวดำเอ่ยถามพร้อมกัดฟันแน่น “เมื่อใดอสูรกลไกถึงจะสามารถใช้งานได้?!!”
“นายท่าน...” วิญญาณตนดังกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “โดยปราศจากคำสั่งของท่านหลี่ พวกเราไม่มีวิธีที่จะเปิดใช้งานอสูรกลไกเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้…พวกเรายังต้องใช้ยันต์พยัคฆามาเพื่อเปิดใช้งานมันอีกด้วย…”
“เวรเอ้ย!!!” ผู้บัญชาการขั้นยมทูตขาวดำกัดฟันกรอดและโยนร่างของวิญญาณตนนั้นออกไป ท่านหลี่นู่น ท่านหลี่นั่น… หลี่หลินฝู่หายหัวไปที่ใดกัน?!!
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถติดต่ออีกฝ่าย ได้ หากพูดกันตามตรง ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจะมีคนที่สามารถบุกตรงเข้ามาประชุดอสูรกลไกได้! นี่เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขา!
นี่อีกฝ่ายมาจากที่ใดกัน? การต่อสู้ที่กำแพงเมืองนั้นเป็นการต่อสู้ที่ขนาดใหญ่มาก ดังนั้นนางสามารถก้าวข้ามระยะทางกว่าสิบกิโลเมตรจากกำแพงเมืองมาได้อย่างไร? ทางเข้าของเมืองยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา! แต่มันกลับมีใครบางคนสามารถทำในสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำเร็จ!
ผู้บัญชาการขั้นยมทูตขาวดำก้มมองด้านล่าง เขาสามารถรับรู้ได้ว่ากำลังเสริมได้มาถึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปเสริมกำลังกองกำลังของเขาที่กำแพงเมืองได้เนื่องจากภูมิประเทศที่มีลักษณะเฉพาะตัวของที่นี่ กองกำลังของเขานั้นไม่ได้เล็กไปกว่ากองทัพจันทราเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็กำลังก่อตัวกันในลักษณะของค่ายกลยาว ตั้งตารอให้กองกำลังยมโลกพุ่งเข้ามาเพื่อต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
“ท่านหลี่…หากท่านไม่ทำอะไรสักอย่าง เช่นนั้นโปรดอย่าโทษข้าหากต้องสูญเสียการควบคุมของประตูเมืองทางตะวันออกไปก็แล้วกัน ทหารวิญญาณของยมโลกพวกนี้ไม่ใช่กองกำลังที่พวกเราจะสามารถเผชิญหน้าหนึ่งต่อหนึ่งได้! พวกเรากำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมาก... มันเหมือนกับว่าพวกเราเป็นลูกแกะที่กำลังเดินเข้าโรงเชือดดีๆนี่เอง!”
น่าเสียดายที่ท่านหลี่นั้นไม่ได้ยินเสียงร้องของเขาเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะรับฟังมันด้วยซ้ำ
ประตูเมืองทางตะวันตกคือจุดที่มีการนองเลือดมากที่สุดในเวลานี้ กำแพงเมืองส่วนนี้กินระยะทางมากกว่า 20 กิโลเมตร แต่มันกลับไม่มีส่วนไหนของกำแพงที่ไม่มีจะเลือดเปรอะอยู่ กองกำลังของยมโลกเริ่มต้นด้วยการล้อมรอบนครชฺวีฟู่ตั้งแต่เมื่อสี่ชั่วโมงก่อน แต่ถึงกระนั้นกองกำลังฝ่ายของมู่กุ้ยอิงกลับยังอยู่ห่างจากทางออกของประตูเมืองทางตะวันตกอยู่ถึงแปดกิโลเมตร!
อย่างไรก็ตาม ทั้งกำแพงฝั่งตะวันตกกลับถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
ทุกคนในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ต่างซ่อนตัวอยู่ภายใต้เกราะกำบังของกองกำลังของตนเอง พวกเขาหยุดสู้รบกันไปโดยปริยาย สายลมพัดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ หอกขนาดใหญ่มากมายปักอยู่บนพื้นราวกับป้ายหน้าหลุมศพ กำแพงเมืองถูกปกคลุมไปด้วยรอยร้าวและทั่วทั้งสถานที่ก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่น่าขนลุก
ไม่มีใครสามารถลบภาพฝนหอกที่ตกลงมาด้านล่างก่อนหน้านี้ได้เลยแม้แต่น้อย หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ โนบูทาดะก็ชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของกำแพงโล่และมองดูผลที่ตามมาด้วยร่างที่สั่นเทา
สายฝนหอกได้สังหารกองกำลังของนครชฺวีฟู่ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง! วิญญาณมากกว่า 30,000 ตนได้ถูกสังหารไป ในขณะที่กองกำลังของยมโลกเองก็เสียกองกำลังของตนไปส่วนหนึ่งเช่นกัน
มันเป็นภาพที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าท่านหลี่จะโหดเหี้ยมขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาสามารถรักษากำแพงเมืองเอาไว้ได้!
ตึก! ตึก! ตึก! ลึกเข้าไปด้านในของประตูประมาณแปดกิโลเมตร กองกำลังของนครชฺวีฟู่เริ่มเดินทัพอีกครั้ง พวกเขามุ่งหน้าไปพร้อมกับเสียงร้องที่ดังลั่น ในขณะเดียวกัน โนบูทาดะตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนด้วยดวงตาที่แดงก่ำและยกดาบของตนชูขึ้นเหนือศีรษะ
“ทหาร!!” เขาตะโกนออกมาสุดเสียง “แม่ทัพของเราได้มุ่งหน้าเข้าหาอสูรกลไกของศัตรูเพียงลำพัง! ต่อให้นางจะสามารถจัดการกับมันได้สำเร็จ มันก็ยังมีศัตรูอีกจำนวนมากมายที่กำลังรอนางอยู่ด้านล่าง นางไม่มีที่ให้หนีหรือหลบซ่อน! ในฐานะของผู้ใต้บังคับบัญชา…พวกเราควรจะทำอย่างไร?!!”
“ฆ่ามัน!!!” นี่คือสิ่งที่ถูกเอ่ยขึ้นมาโดยทหารของทัพเกราะทมิฬนายหนึ่งที่ถูกหอกปักอยู่บนพื้น เขาโชคดีกว่าจ้าวฉีมากเนื่องจากมันปักอยู่ที่แขนซ้ายของเขาเท่านั้น และขณะที่พูด เขาก็ยกดาบขึ้นด้วยมืออีกข้างหนึ่งและตัดแขนซ้ายของตนเองหน้าตาเฉย
ไม่มีที่ให้หนี
ยมโลกแห่งใหม่ได้เดิมพันทุกอย่างในการต่อสู้ครั้งนี้ ในฐานของทัพหน้า บทบาทของพวกเขาคือการทำลายกำแพงเมืองเพื่อที่พวกเขาจะสามารถดึงไพ่ตายของอีกฝ่ายออกมาได้ และในเมื่อนี่คือจุดประสงค์หลักของพวกเขา พวกเขาจะยอมตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?
“ฆ่ามัน!!!” ทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกนายหนึ่งจากตระกูลหยางกัดฟันแน่นและพยายามลุกขึ้นยืน เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาริบหรี่เป็นอย่างมาก เขาพยุงตัวโดยใช้หอกของตน แผ่จิตสังหารและเจตนาต่อสู้ของตนออกมาจนลมหายใจสุดท้าย
นี่คือยมโลก
มันคล้ายกับขุมนรกของการสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ถึงกระนั้น… ทหารวิญญาณผู้กล้าหาญที่ได้รับบาดเจ็บก็ค่อยๆลุกยืนขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่ากำแพงเมืองจะเต็มไปด้วยร่องรอยของสายฝนหอกที่น่าสะพรึงกลัวก็ตาม
แม้ว่าส่วนอื่นๆของกำแพงเมืองจะเต็มไปด้วยทหารวิญญาณของฝ่ายศัตรู
ดั่งเช่นก่อนหน้านี้ พวกเขาจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อแย่งชิงกำแพงเมืองมาให้ได้!
“ย๊ากกกกก.…” โนบูทาดะยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกองกำลังของยมโลก เขารู้ดีว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้เฉิดฉาย กองกำลังของยมโลกกำลังต้องการกำลังใจ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและไล่นิ้วไปตามคำที่ถูกสลักบนใบมีด – คิคุอิจิมอนจิ ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญและพุ่งเข้าใส่ศัตรู
“ยมโลกจงเจริญ!!!” ทันใดนั้น กองกำลังที่อยู่ด้านหลังของเขาซึ่งมีจำนวนกว่าหมื่นนายก็คำรามออกมาเสียงดังลั่น และวิ่งเข้าใส่ศัตรูเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน กลับมาที่อสูรกลไก หลี่หลินฝู่อ้าปากค้างขณะที่จ้องมองไปที่หน้าจอพลังหยินตรงหน้าของตนด้วยแววตาตกตะลึง
หน้าจอตรงหน้าเผยให้เห็นวิญญาณตนหนึ่งของกองกำลังยมโลกที่กำลังบุกทะลวงชั้นที่เจ็ดของอสูรกลไก!
เพลงดาบของนางนั้นดูเหมือนกับระบำแห่งความตายที่แสนงดงาม ทุกๆการเคลื่อนไหวของนางจะต้องมีวิญญาณหลายตนล้มลงกับพื้น ลูกไฟวิญญาณจะนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาอยู่บริเวณชั้นบันไดภายในร่างของอสูรตัวใหญ่ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นในตอนนี้
นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร?!
อสูรกลไกตัวนี้มีอยู่ทั้งหมดเก้าชั้น แต่ถึงกระนั้น นาง…นักรบหญิงเพียงคนเดียว กลับสามารถพุ่งตัวผ่านชั้นที่เจ็ดขั้นมาได้ภายในชั่วพริบตา?!
แผ่นหลังของนางถูกปักไปด้วยลูกธนูมากมาย แต่นางกลับไม่แม้แต่เสียเวลาเพื่อดึงมันออกจากหลังของตัวเอง นางยังคงพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อปล่อยให้ลูกธนูดังกล่าวหลุดออกด้วยตัวของมันเอง ร่างโปร่งเต็มไปด้วยบาดแผลที่น่ากลัว ผ้าคลุมของนางขาดรุ่ย และชุดเกราะของนางก็เต็มไปด้วยรอยร้าว แต่ถึงกระนั้น…นางก็ยังคงพุ่งตัวไปที่ทางเข้าของชั้นที่แปดโดยไม่ลังเล!
ขั้นยมทูตขาวดำและทหารรักษาการณ์ยืนอยู่ที่ทางเข้าของชั้นที่แปดของอสูรกลไก พลโล่ยืนอยู่ด้านหน้า ในขณะที่พลหอกยืนอยู่ด้านหลัง แต่พวกเขากลับไม่กล้าพุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
พวกเขากำลังกลัว
ทุกคนหวาดกลัวนางเป็นอย่างมาก พวกเขาถูกกดดันโดยความกล้าหาญและตกตะลึงโดยท่าทางที่เป็นปรปักษ์ของอีกฝ่าย และมันก็เป็นวินาทีนี้เองที่พวกเขาเข้าใจอย่างแท้จริงว่า “สู้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี” ของพวกเขานั้นแตกต่างจากสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้ามีเป็นอย่างมาก
“ถอยไป” มู่กุ้ยอิงถือหอกของตนในแนวขนานไปกับพื้น ชี้ไปยังทหารวิญญาณทั้งหมดตรงหน้าของตน เสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อย “ถอยไป…หรือตาย”
นางจะทนไม่ไหวอีกแล้ว…สังหารนางซะ!!
กลับมาบนชั้นที่เก้า หลี่หลินฝู่จ้องมองหน้าจอด้วยดวงตาแดงก่ำ
เจ้าพวกไร้ประโยชน์! เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รีบลงมือ?! กลัวอะไรกันอยู่?!!
……………………………………………………….
ประตูเมืองทางทิศใต้
บนถนนสายหลักทางทิศใต้ของเมือง
พระราชวังอันหรูหราหลังหนึ่งตั้งอยู่
โคมไฟพระราชวังอันสวยงามจำนวนมากส่องสว่างด้วยเปลวไฟนรกที่ลุกโชน พวกมันถูกล้อมรอบโดยวงล้อมคนกระดาษที่ถือธงวิญญาณและธงอื่นๆอีกจำนวนมากซึ่งมีขั้นยมทูตขาวดำอีกสิบตนคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยปราศจากวิญญาณตนอื่นๆโดยรอบ พวกเขาไม่ขยับเขยื้อนตัวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าถูกตัดขาดจากโลกอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างแผ่แรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งกดทับร่างของฮวาเจี่ยอวี่ออกมา นางรู้สึกราวกับว่ากระดูกภายในร่างของตัวเองกำลังสั่นเทาภายใต้แรงกดดันนี้ สายลมที่น่ากลัวพัดผ่านสนามรบ ราวกับบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหม่
พื้นที่ส่วนนี้ดูราวกลับถูกแยกออกจากส่วนอื่นของเมืองอย่างสิ้นเชิง เสียงของความวุ่นวายด้านนอกไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น ฮวาเจี่ยอวี่ก็ได้ยินสิ่งที่คู่ต่อสู้คนต่อไปของนางพูดได้อย่างชัดเจน เปลวไฟนรกในแววตาของนางเผาไหม้อย่างโชติช่วงขณะที่นางจ้องมองไปยังม่านตรงหน้าเขม็ง
นี่คือศักดิ์ศรีแห่งอำนาจ
หูของนางอื้อไปหมด ในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้น จากนั้นนางก็หลุบตาลงเล็กน้อยและมองไปรอบๆ
ที่กำแพงทางตะวันออก นางสามารถบอกได้เลยว่ากองกำลังของเหยี่ยลู่จินเอ๋อร์ได้เข้าถึงกองกำลังสุดท้ายก่อนที่จะถึงทางเข้าแล้ว ที่กำแพงทางตะวันตก กลุ่มก้อนพลังหยินนั้นหนาแน่นเสียจนนางไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นได้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น การต่อสู้ที่นั่นยังเป็นจุดที่ดุเดือดที่สุดอีกด้วย ในส่วนของกำแพงทางตอนเหนือ ฮูเหยียนชื่อจินได้ปลดปล่อยร่างที่แท้จริงของนางออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างของนางถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม และนางก็กำลังนั่งอยู่บนม้าศึกที่มีความสูงกว่าสามเมตร จัดการกับกองกำลังของศัตรูราวกับเทพีแห่งสงคราม กองกำลังของยมโลกติดตามนางไปติดๆพร้อมด้วยขวัญกำลังใจที่สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถมีได้ อย่างไรก็ตาม พวกนางยังอยู่ห่างจากทางประตูเมืองอยู่อีกประมาณหกกิโลเมตร
แน่นอน มันยังมีทหารม้าอีก 50,000 นายรอพวกนางอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของถนน จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นรุนแรงและชัดเจนเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญที่สุด…
นางหันกลับไปมองยังสิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องหน้าของตน
นางกำลังเผชิญหน้ากับขั้นตุลาการนรกผู้ที่สามารถฉีกร่างของนางเป็นชิ้นๆได้ภายในพริบตา แต่นางกลับไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย หากพูดกันตามความจริง นางรู้สึกว่าอะดรีนาลีนในร่างกายของตนเองกำลังพุ่งพล่านและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น!
กองกำลังป้องกันสุดท้ายของฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวแล้ว…ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสนามรบ ดังนั้นมันแทบจะไม่มีผู้ใดรู้ด้วยว่านครชฺวีฟู่ได้เริ่มใช้ไพ่ตายที่เก็บไว้ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
นางรู้ดีว่านี่ไม่มีทางเป็นไพ่ตายที่รุนแรงที่สุดของอีกฝ่าย แต่มันก็ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี! นครชฺวีฟู่ได้ระดมกองกำลังทหารไว้ที่กำแพงเมืองอย่างน้อย 250,000 นาย และการที่กองกำลังของยมโลกสามารถจัดการกับพวกเขาได้ก็เป็นเพราะความได้เปรียบทางภูมิประเทศ และแน่นอน ฝ่ายของพวกนางเองก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายเช่นกัน นอกจากนี้ นางยังคาดการณ์เอาไว้อีกว่านครชฺวีฟู่จะต้องระดมกองกำลังทหารเพิ่มอีก 50,000 ถึง 60,000 นายที่ฐานของกำแพงแต่ละแห่ง ซึ่งโดยรวมแล้วก็น่าจะประมาณ 250,000 นายอย่างแน่นอน
ซึ่งนี่หมายความว่าจนถึงตอนนี้นครชฺวีฟู่ได้รวบรวมกองกำลังกว่าครึ่งล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“ค่ายกล” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งสงบ ไม่ต่างอะไรกับความสงบก่อนที่จะเกิดพายุขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทหารวิญญาณที่ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้อยู่รีบพุ่งตัวมาอยู่เคียงข้างนางและก่อตัวในรูปแบบของค่ายกลทันที
ชุดเกราะของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยร้าวและแตก มีทหารหลายนายที่เปลวไฟนรกในแววตาริบหรี่เต็มที แต่นั่นก็สมเหตุสมผล เพราะอย่างไรแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ทหารราบจะสามารถป้องกันการจู่โจมของทหารม้าหนึ่งกลุ่มได้ นับประสาอะไรกับทหารม้าหลายสิบกลุ่ม แถมแต่ละกองกำลังทหารม้าที่พุ่งเข้ามาในแต่ละครั้งก็มีมากถึงหลายพันนาย แรงกระแทกของมันรุนแรงจนทำให้พื้นดินโดยรอบสั่นสะเทือน กองกำลังของยมโลกสามารถสังหารกองทัพจันทราไปได้ แต่กองทัพจันทราเอง…ก็สังหารกองกำลังส่วนใหญ่ของยมโลกไปเช่นกัน
ทั้งหมดที่เหลืออยู่มีเพียงเจตจำนงที่แรงกล้า พวกเขาเพียงเค้นพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ภายในร่างของตนออกมา
ทหารวิญญาณตั้งโล่ของตน แต่ครั้งนี้ในมือของพวกเขาไม่มีดาบอีกต่อไป กลับกัน ทหารวิญญาณที่เหลือรอดอยู่ทั้งหมดสลัดหอกของพวกเขาทิ้งและหยิบหน้าไม้ของพวกเขาขึ้นมาแทน
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ… เปลวไฟสีแดงเข้มลุกโชนขึ้น พวกมันคือ…หน้าไม้ศักดิสิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรม!
เปรี๊ยะ! เปลวไฟแห่งกรรมที่น่าสะพรึงกลัวเผาไหม้พลังหยินโดยรอบทันที ส่งผลให้อากาศโดยรอบส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมา
ยมโลกกำลังเดือดพล่าน ทหารวิญญาณเริ่มส่งเสียงกู่ร้อง
มันยังไม่พอ…
ฮวาเจี่ยอวี่ยกมือของตนขึ้นเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่เพียงพอที่จะสะกดกองกำลังของนครชฺวีฟู่เอาไว้ได้!
และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น… ด้วยจำนวนทหารวิญญาณที่เหลืออยู่ทั้งหมด… ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต
พวกนางจะเคลื่อนทัพต่อไปจนกว่าเปลวไฟนรกส่วนดวงสุดท้ายของฝ่ายตรงข้ามจะดับลง! พวกนางจะเคลื่อนทัพต่อไปจนกว่ารากฐานกองกำลังของศัตรูจะพังทลาย!!!