ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 436: สงครามครั้งสุดท้าย (8)
บทที่ 436: สงครามครั้งสุดท้าย (8)
เจ้าแห่งหัวหยินแน่นิ่งไป
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยิงระเบิดทมิฬออกมาได้ติดต่อกันหลายครั้งในคราวเดียว มันควรที่จะต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 45 นาทีสำหรับการโจมตีแต่ละครั้ง แต่ความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นของพลังหยินบริเวณปากของอสูรกลไกกลับทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปตามสันหลัง ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา เขาหันหน้าหนีจากฮวาเจี่ยอวี่และพุ่งตรงไปที่อสูรกลไกทันที
ต้องหยุดอีกฝ่ายให้ได้!
เขาไม่สามารถปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามยิ่งระเบิดทมิฬออกไปได้อีก ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาจะไม่สามารถจินตนาการได้!
แต่ทันทีที่เขาเริ่มวิ่งออกไป ดาบเพลิงยาวก็ฟันลงมาที่แผ่นหลังของเขาทันที
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!!” เจ้าแห่งหัวหยินร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แขนของเขายื่นออก โผล่ทะลุแขนเสื้อยาว เผยให้เห็นผิวหนังที่ขาวซีดซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตก เขาไม่มีเล็บมือเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ปลายนิ้วของเขากลับเปลี่ยนเป็นคมมีดแหลมที่เหวี่ยงกลับไปด้านหลังอย่างดุเดือดทันที
อึก! เสียงครางอู้อี้ดังขึ้นให้ได้ยินจากด้านหลัง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้หันกลับไปมองความเสียหายที่ตนได้สร้างเอาไว้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขายังคงพุ่งตรงไปที่อสูรกลไกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา… นี่คือรากฐานของด่านซานไห่ หากพวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะไม่ต่างอะไรไปกับซากเรือที่ล่องลอยอยู่ในทะเลกว้างอีกครั้ง!
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง ก็มีบางสิ่งบางอย่างพันธนาการรอบขาของเขาและตรึงร่างเขาไว้อีกครั้ง!
ครั้งนี้ เขาไม่ได้พยายามสลัดมัน
กึก กึก กึก… ศีรษะของเขาหมุนไปด้านหลังด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดและมองไปยังสายโซ่ที่พันอยู่รอบขาของตนเองด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะหันไปมองยังที่มาของมันด้วยจิตสังหารที่รุนแรง
โซ่สีเงินพันรอบข้อเท้าของเขาเอาไว้ เมื่อมองไล่ไปยังจุดที่มันพุ่งออกมา เขาก็พบกับกลุ่มก้อนพลังหยินขนาดใหญ่ซึ่งแผ่ออกมาจากร่างสูงกว่า 20 เมตรที่ลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟแห่งกรรม
ที่ลำคอของอีกฝ่ายเป็นปล้อง ๆ แขนทั้งสี่ข้างสวมด้วยกำไลแขนสีทอง และกงล้อเปลวไฟแห่งกรรมที่มีลูกไฟขนาดหนึ่งเมตรสามลูกลอยอยู่ด้านบนปรากฏอยู่ด้านหลัง ดวงตาของเขาปิดสนิท และเขี้ยวยาวก็ยื่นออกมาจากใบหน้าสีเขียว ตรงกลางระหว่างคิ้วมีรอยแยกที่เป็นจุดที่ดวงตาที่สามของเขาปรากฏอยู่ ในขณะที่แขนถูกปกคลุมไปด้วยดวงตาจำนวนมาก มือแต่ละข้างถืออาวุธที่แตกต่างกันออกไป ทั้งหมดล้วนเล็งเป้าไปที่เจ้าแห่งหัวหยินทั้งสิ้น
“พระอารยเทพ?” [1] เจ้าแห่งหัวหยินสูดหายใจเข้าช้า ๆ ขณะที่เอ่ยออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา เขาไม่ได้หวาดกลัว แต่เขากำลังโกรธ
“ตายไปซะ!!!” เขาตะโกนออกมาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว “บัดซบ!! วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!!”
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้การตอบกลับเป็นคำพูดอย่างที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้
แต่เขากลับได้รับคำตอบผ่านการกระทำ ใบมีดแสงจำนวนมากปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา มันเป็นการโจมตีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น!
บัดซบ… บัดซบ!!
เจ้าแห่งหัวหยินกัดฟันแน่นจนมีเสียงดังออกมา ร่างที่ใหญ่โตของพระอารยเทพไม่ได้ทำให้เขากังวลเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือผู้ที่อยู่ใกล้กับอสูรกลไกวัวคลั่งมากที่สุดในเวลานี้ และข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้ใช้พลังไปมากมายมหาศาลในการต้านทานอานุภาพของระเบิดทมิฬ มากจนเขาแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
มากจนเขา…ต้องใช้บางสิ่งบางอย่างที่เขาถือได้ว่าเป็นอันตรายมากกว่าปกติ ๆ!
ใบมีดแสงจำนวนมากพุ่งมาถึงตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยจิตสังหารที่รุนแรง เสียงร้องของวิญญาณนับพันดังก้องออกมาจากภายในร่างกายอย่างน่าขนลุก ในเสี้ยววินาทีต่อมา บริเวณกลางหน้าอกของเขาก็แยกออก และวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา ก่อตัวเป็นมือขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าใส่ช่องท้องของฮวาเจี่ยอวี่
อึก...ร่างของฮวาเจี่ยอวี่กระเด็นออกไปหลายร้อยเมตร ในขณะที่พลังหยินจำนวนมากไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของนาง แต่เจ้าแห่งหัวหยินก็ไม่แม้แต่จะหันไปมองนางเลยแม้แต่น้อย เขาหันหลังไปมองอสูรกลไกที่อยู่ห่างออกไป จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะออกตัววิ่งอีกครั้ง เขาก็ถูกหยุดไว้เป็นครั้งที่สาม
กรอด…ฟันที่กัดแน่นเริ่มส่งเสียงอีกครั้ง เขาหันไปมองที่ข้อเท้าของตนเอง โซ่เวรนี่ยังอยู่อีกหรือ?!
“เจ้าเป็นผู้ร้องขอเองนะ!!” ความโกรธของเขาพุ่งทะลุถึงจุดสูงสุด มือขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ดวงตาสีแดงสดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางฝ่ามือและจ้องเขม็งไปที่ฮวาเจี่ยอวี่
ทันใดนั้นเอง ใจกลางเมืองชั้นในก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กลุ่มก้อนพลังหยินขั้นตุลาการนรกขนาดใหญ่สองกลุ่มพุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับมังกรดำสองตัว
ย้อนกลับมาบนถนน ประชากรวิญญาณจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะร้องครางออกมาด้วยความกลัวขณะที่พยายามมองหาที่กำบัง “พระเจ้า…” “เกิดอะไรขึ้นกับนครชฺวีฟู่… ไม่ นะ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?!” “หลบเร็ว! เร็วเข้า!” “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นตุลาการนรกเหล่านี้เป็นมิตรหรือศัตรู!”
น่าเสียดายที่เหล่าประชากรวิญญาณเหล่านั้นอยู่นอกเหนือความสนใจของขั้นตุลาการทั้งสองอย่างสิ้นเชิง กลุ่มก้อนพลังหยินที่รุนแรงพลันลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกจำนวนมากก่อนจะระเบิดออกในที่สุด!
ชายร่างผอมสูงและผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินดังกล่าว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในร่างจริงของตัวเอง ทั้งคู่ดูแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่อสูรกลไก กองกำลังที่แข็งแกร่งกว่า 200,000 นายยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหลัง ราวกับว่าพวกเขาคือกลุ่มเมฆดำที่ปกคลุมทั่วทั้งดินแดนด้านล่าง
ชายร่างผอมสูดหายใจเข้าช้าๆ และเปลวไฟนรกที่หลั่งไหลออกมาจากร่างก็ลุกโชนอย่างรุนแรง หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงเบา ๆ และจากนั้น เขาก็ตะโกนออกมาสุดเสียง “บุก!!!!”
พรึ่บ!!! ทันใดนั้น ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงไปที่กำแพงเมืองทางฝั่งตะวันตก ราวกับฝูงนกที่อพยพย้ายถิ่นฐาน มันเป็นภาพที่น่าตกตะลึงและยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ที่กำแพงเมืองทางตะวันออก ทางตอนเหนือ และทางใต้ต่างรู้สึกว่าภายในใจของพวกเขาเดือดพล่านทันทีที่เห็นภาพนี้
เหยี่ยลู่จินเอ๋อร์จ้องมองไปยังท้องฟ้าด้านบนเหนือเมืองชั้นในอย่างเหม่อลอย นกกระเรียนกระดาษปกคลุมท้องฟ้าด้านบนราวกับหมู่เมฆ ในขณะที่พลังหยินแผ่ลงมาไม่ต่างอะไรกับสายฝน ร่างของนางสั่นเทาเนื่องด้วยรู้ดีว่านี่จะต้องเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ถูกซ่อนไว้ของนครชฺวีฟู่อย่างแน่นอน! นี่จะต้องเป็นกองกำลังสุดท้ายของอีกฝ่าย!
ในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็ถูกกดดันด้วยการรุกรานของยมโลก ในที่สุดกองกำลังกลุ่มสุดท้ายก็ถูกส่งออกมา
พวกเรา… เห็นกันหรือไม่?
วินาทีนั้น ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พร้อมกับเสียงผิวปากที่ยาวและแหลม นางเปลี่ยนเป็นร่างจริงของตัวเองในลักษณะของรากษส และพลังหยินที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของนางราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เงาสะท้อนจากใบมีดประกายสว่างจ้าท่ามกลางความมืดมิด ราวกับมันคือความหวังอันริบหรี่
“ทหารทุกนาย…” นางสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง “ยมโลกจงเจริญ!! ร่วมรบไปกับข้า!!!”
“ยมโลกจงเจริญ!!!!” ทหารวิญญาณที่เหลืออยู่ 8,000 นายที่อยู่ด้านหลังของนางตะโกนตอบด้วยความมุ่งมั่นไม่แพ้กันขณะที่พวกเขาวิ่งตามหลับแม่ทัพผู้กล้าหาญของตนไปติด ๆ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม… กลับมาที่สนามรบ ฮวาเจี่ยอวี่พยายามรั้งเจ้าแห่งหัวหยินเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ในขณะเดียวกัน ในร่างของอสูรกลไก มู่กุ้ยอิงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ของตัวเองสำหรับการยิงระเบิดทมิฬครั้งต่อไป ในขณะเดียวกัน พลังหยินที่ปะทุจากบริเวณกำแพงเมืองทั้งสองฝั่งก็ทำให้ความรุนแรงของสงครามเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ!
การต่อสู้ที่กำแพงเมืองทั้งสี่กำลังดุเดือดเป็นอย่างมาก ผลจากกลยุทธ์เริ่มถดถอยจนเหลือเพียงความอดทนของทหารจากทั้งสองฝ่ายเพียงอย่างเดียว แม้แต่การโจมตีของยมโลก พวกเขาก็ได้รับการโต้กลับที่ไม่แพ้กัน!
กลุ่มก้องพลังหยินและเปลวไฟนรกลุกโชนไปทั่วทั้งสนามรบที่กว้างใหญ่
จำนวนทหารวิญญาณที่ถูกสังหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การสังหารที่นองเลือดปรากฏให้เห็นไปทั่วทุกที่
………………………………………………..
กลับมาที่โลกใต้พิภพ ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมองดูภาพดังกล่าวด้วยลมหายใจที่ติดขัด
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหน้าจอพลังหยินขนาดใหญ่เบื้องหน้า แม่ทัพหลายนายหันไปหาฉินเย่พร้อมประสานหมัดและฝ่ามือด้วยความเคารพเพื่อร้องขอให้เด็กหนุ่มเอ่ยคำสั่ง “ฝ่าบาท…โปรดสั่งการด้วยพ่ะย่ะค่ะ!!!” “นครชฺวีฟู่ได้ดึงไพ่ตายที่ซ่อนเอาไว้ออกมาแล้ว! และมันก็น่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 นาย ตอนนี้จำนวนทหารวิญญาณที่เหลืออยู่ในเมืองชั้นในก็น่าจะไม่เกิน 150,000 นายเท่านั้น! ไม่ว่าพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาจะมีอานุภาพสักเพียงใด แต่พวกเราก็ยังมีโอกาสในการที่จะประสบความสำเร็จอย่างน้อย 50% นะพ่ะย่ะค่ะ!” “ฝ่าบาท หากเราไม่อาศัยโอกาสนี้และเคลื่อนทัพ มันอาจจะสายเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ! เหล่าแม่ทัพในสนามรบไม่สามารถอดทนรอได้นานกว่านี้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
พวกเขาต่างสามารถบอกได้ว่ากองกำลังสุดท้ายที่ถูกนำโดยขั้นตุลาการนรกสองตนนั้นไม่ใช่กองกำลังธรรมดา ๆ เลยแม้แต่น้อย
หุ่นกระบอกทุกตัวล้วนเป็นทหารวิญญาณขั้นยมเทพทั้งสิ้น!
และความแตกต่างดังกล่าวก็อาจจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีกภายใต้อำนาจของค่ายกลสู้รบ!
ในทางกลับกัน มู่กุ้ยอิงและกองกำลังทหารที่เหลือของยมโลกต่างดึงกำลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ของพวกตนมาใช้ ด้วยเหตุนี้กองทัพหุ่นกระบอกจึงไม่ใช่กองกำลังที่จะสามารถรับมือได้ง่าย ๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นของสงครามก็ตาม
“บังอาจ!!” หยางเหยียนเจาตะคอกกลับเสียงดังก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไรออกมา “ในสนามรบไม่มีที่ว่างสำหรับความรู้สึก! ในฐานะของทหาร พวกเราทุกคนล้วนเตรียมใจที่จะตายในสนามรบ!”
หลังจากที่เอ่ยจบ เขาก็หันไปหาฉินเย่และโค้งคำนับ “ฝ่าบาท… ได้โปรด… อดทนรออีกนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น และหน้าอกของเขากระเพื่อมรุนแรงมากกว่าเดิม
“ท่านอรากษสได้เคลื่อนไหวแล้ว” หยางเหยียนเจารีบเอ่ยต่อ “ฝ่าบาท… พวกเราจะรีบร้อนไม่ได้… พวกเราจะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด! นี่จะต้องไม่ใช่ไพ่ตายเพียงอย่างเดียวที่อีกฝ่ายมีแน่! โปรดรออีกสักนิด… อสูรกลไกได้เล็งไปที่เมืองชั้นในแล้ว ประกอบกับการเข้าร่วมทัพของท่านอรากษส นครชฺวีฟู่จะต้องพังทลายลงในอีกไม่ช้านี้ และนั่นก็จะเป็นเวลาที่พวกเราจะสามารถชักดาบและปลดปล่อยการโจมตีสุดท้ายของเราได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเย่ไม่เอ่ยอะไร เขากัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างแรงก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามือของเขาที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อในตอนนี้กำปากกาแห่งการพิพากษาแน่นขึ้นกว่าเดิม
……………………………………………
ณ ด่านซานไห่ นครชฺวีฟู่
กลับมาบนอากาศ ชายร่างผอมสูงและวิญญาณผู้หญิงที่ร่างแยกออกระหว่างกลางได้นำกองทัพทหาร 200,000 นายมุ่งหน้าตรงไปที่อสูรกลไก
ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? นครชฺวีฟู่ นครซึ่งเต็มไปด้วยวิญญาณนับล้าน ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ ชายร่างสูงตะโกนออกมาเสียงดัง “อีกนานเท่าไหร่?! เรายังมีเวลาเหลืออยู่อีกเท่าไหร่?!”
“18 นาที!” วิญญาณผู้หญิงเอ่ยตอบด้วยฟันที่กัดแน่น “ระเบิดทมิฬจะถูกยิงอีกครั้งในอีก 18 นาที!”
18 นาที…พวกเขาเหลือเวลาอยู่อีกนิดเดียวเท่านั้น… หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เรายังมีโอกาสที่จะหยุดยั้งการโจมตีต่อไปได้ พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอาจจะยังมีความลับอื่นๆที่หลายจวิ่นเฉินไม่ได้บอกพวกเขาซ่อนอยู่อีก แต่ถึงกระนั้น การโจมตีครั้งต่อไป…
“พวกข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าทำมันได้สำเร็จ!” ด้วยฟันที่กัดแน่น ชายร่างผอมเอ่ยออกมาเบาๆขณะที่พุ่งตรงไปที่อสูรกลไกด้วยความเร็วสูงสุด
แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา แหล่งพลังงานหยินที่บริสุทธิ์และกดดันอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ก็ปะทุขึ้นบนท้องฟ้า!
พรึ่บ… อาณาเขตมนตราที่ใหญ่กว่าเดิมปรากฏขึ้น มันมีความกว้างกว่าพันเมตร ก่อตัวขึ้นจากสัญลักษณ์และรูปแบบที่ซับซ้อนอย่างไม่หาที่เปรียบไม่ได้ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้วิญญาณทุกตนที่อยู่บริเวณโดยรอบต้องถอยหนีโดยสัญชาตญาณเข้าปกคลุมดินแดนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
กลับมาบนชั้นที่หกของอาคารที่ตั้งอยู่ภายในเมืองชั้นใน หลายจวิ่นเฉินร้องออกมาด้วยความตกตะลึงขณะที่มองไปยังทิศตะวันออก “ตุลาการนรก?!”
ในเสี้ยววินาทีต่อมาหลังจากที่อาณาเขตมนตราปรากฏขึ้น มือขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินก็ปรากฏขึ้นและตบลงที่อะไรบางอย่างพร้อมกับเสียงดังลั่น
มันคืออะไร?
สิ่งใดกันที่อยู่ตรงนั้น?
หลายจวิ่นเฉินกระพริบตาอย่างมึนงง จากนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัวขณะที่เอนหลังพิงกับประตูที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง
พลังหยินของเจ้าแห่งหัวหยินสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
“นี่มัน…ยมทูตตัวจริง!!! ยมทูตขั้นยมทูตขาวดำ!!! พวกเขาดึงไพ่ตายออกมาแล้ว!!” มือของเขากำแน่นเข้าหากัน ในขณะที่หัวใจแทบจะระเบิดออกมา “อีกฝ่ายมีขั้นตุลาการนรก… พวกเขามีขั้นตุลาการนรกอยู่จริงๆ! นี่พวกเขาพยายามขัดขวางเจ้าเมืองทั้งสองอย่างนั้นหรือ? พวกเขาพยายามปกป้องอสูรกลไกอย่างนั้นหรือ?!”
นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับพวกเขา
แต่มันก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดเช่นกัน
เพราะในวินาทีนั้น มือขนาดใหญ่ได้สลายกลายเป็นผีเสื้อสีดำที่ไม่นานก็เปลี่ยนร่างเป็นม่านสีดำยาวหลายร้อยกิโลเมตรที่ยื่นยาวจากกำแพงเมืองทางฝั่งตะวันออกไปจนถึงกำแพงเมืองทางฝั่งตะวันตก!
แหล่งกำเนิดพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวปะทุออกมา และยันต์ลักษณะแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นเหนือม่านพลังหยินนั้น จากนั้น เสียงที่เจือไปด้วยแรงกดดันและจิตสังหารที่รุนแรงของอาร์ทิสก็ดังขึ้น “ยันต์นรกรูปแบบที่เก้า – อาณาเขตไร้เทพ”
ตู้ม!
กระแสลมที่ไม่มีที่สิ้นสุดและกระดูกสีขาวพัดผ่านดินแดน ในขณะที่รูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจุดที่กองทัพหุ่นกระบอกยืนประจำอยู่ จากนั้น ลำแสงสีดำก็ปะทุออกมาจากรูดังกล่าว ส่งคลื่นกระแทกสีดำขนาดใหญ่กระเพื่อมออกไปทั่วทั้งเมือง แท่นดอกบัวโครงกระดูกที่สูงกว่าร้อยเมตรปรากฏขึ้นกลางรูดังกล่าว ราวกับว่ามันคือพระโพธิสัตว์ของนรก
“ตุลาการนรกแห่งยมโลก อรากษส ได้มาถึง ณ ที่แห่งนี้แล้ว” อาร์ทิสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆด้วยแววตาสีล้ำลึก “ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น”
นางยืนอยู่เบื้องหน้าของขั้นตุลาการนรกของทั้งสองของนครชฺวีฟู่ รวมถึงกองทัพหุ่นกระบอกที่เรียงแถวอยู่กลางอากาศ
[1] ศิษย์ของนาคารชุนะและเป็นผู้เขียนตำราพุทธมหายานที่สำคัญหลายเล่ม เป็น “พระโพธิสัตว์เทพ” ในศรีลังกา