ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 440: พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา (2)
บทที่ 440: พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา (2)
เวลาหยุดนิ่งไปในวินาทีนั้น
หัวใจของฉินเย่หยุดเต้นไปชั่วขณะ การโจมตีนี้อาจจะไม่ฆ่าเขา แต่…มันจะต้องทำให้เขากระเด็นออกไปหลายพันเมตรอย่างแน่นอน! และผลกระทบที่ตามมาก็จะต้องเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!
เขาจ้องมองไปยังทหารวิญญาณด้านล่างที่ตอนนี้มีจำนวนอยู่ทั้งสิ้นไม่กี่พันนายเท่านั้น หากหลายจวิ่นเฉินยังคงมีไพ่ตายอย่างอื่นซ่อนอยู่ มันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ยมโลกจะไม่สามารถแย่งชิงการควบคุมพระราชวังแห่งการสะท้อนเงามาได้สำเร็จ! และเมื่อเป็นเช่นนั้น กองกำลังของนครชฺวีฟู่ก็จะมารวมตัวกันอีกครั้ง และสถานการณ์ทั้งหมดก็จะกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกรอบ!
ทว่าทันใดนั้นเอง หางตาของฉินเย่ก็สังเกตเห็นว่าหยางเหยียนเจาดูเหมือนจะกำลังตะโกนว่าอะไรบางอย่าง… หืม?
ฉินเย่ชะงักไป
หยางเหยียนเต๋ออยู่ที่ไหน?
เสี้ยววินาทีต่อมา ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของฉินเย่และดึงตัวเด็กหนุ่มออกจากจุดที่เขายืนอยู่ ในเวลาเดียวกัน ประกายแสงจ้าระเบิดออกมาจากตะเกียงเถาฮวา ส่งผลให้เกิดการบิดเบือนในอากาศ จากนั้น…โคร่ม อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป 10,000 เมตรก็แตกสลายกลายเป็นผุยผง
“พี่ห้า!!!!!” ดวงตาของหยางเหยียนเจาวาวโรจน์ด้วยความโกรธขณะที่เขาคำรามออกมาสุดเสียง แต่ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งตัวไปข้างหน้า เขาก็หยุดตัวเองไว้พร้อมกับกัดฟันกรอด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงในทุก ๆ ลมหายใจ
หัวใจของฉินเย่พลันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าเมื่ออยู่ในสนามรบ เขาจะมาสนใจความรู้สึกของตนเองไม่ได้เด็ดขาด เขาดึงหอกกลับมาเล็กน้อยและแทงมันเข้าไปที่ไหล่ของหลายจวิ่นเฉิน
จะเสียสมาธิตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
“อ๊ากกกกก!!!” หลายจวิ่นเฉินกรีดร้องออกมาขณะที่ร่างของเขาถูกตรึงไว้ที่แท่นบูชาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขายกมือกุมใหล่ของตัวเองด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเพียงใดก็ตาม
ฉินเย่มองผ่านหลายจวิ่นเฉินและเลยไปยังกระจกบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย จากนั้น เขาก็มองเลยมันไปยังผืนดินด้านล่าง และในวินาทีนั้น เขาก็ได้เห็นภาพทิวทัศน์ทั้งหมดของนครชฺวีฟู่ มันเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
มันเป็นภาพของบ้านเรือนหลายแสนหลังที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองที่สูงตระหง่าน
บ้านส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ และพวกมันก็ถูกออกแบบในลักษณะของจีนโบราณ เรียงรายไปตามถนนที่กว้างขวางอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกต่อการเข้าถึง เมืองทั้งเมืองถูกออกแบบมาอย่างดี อันที่จริง มันแทบจะคล้ายคลึงกับช่วงยุคสมัยของราชวงศ์ฮั่นหรือราชวงศ์ถังในตอนที่ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเลยก็ว่าได้
และมันก็เป็นวินาทีนั้นเช่นเดียวกันที่ทำให้ฉินเย่เข้าใจว่าเหตุใดกลุ่มอำนาจในแดนมนุษย์ถึงมักจะทำสงครามกันตลาดเวลา
นั่นก็เพราะว่าในวินาทีที่แม่ทัพหรือพระราชาผู้หนึ่งได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก มองลงมายังดินแดนและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ก้มหัวยอมจำนนแก่ตน มันทำให้หัวใจของพวกเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของการประสบความสำเร็จอย่างนี้นี่เอง
มันคือความสวยงามของสงคราม
สงครามครั้งนี้ดำเนินมาเพียง 20 ชั่วโมง แต่มันกลับมีทหารวิญญาณผู้กล้าหาญตั้งกี่นายที่ต้องถูกสังหารไปในระยะเวลาสั้น ๆ นี้? นครชฺวีฟู่… เขาค่อย ๆ กวาดตามองไปยังดินแดนทั้งหมดโดยรอบ มองไปยังดวงวิญญาณนับล้านที่ยังคงลอบมองมาที่เขาจากภายในที่หลบภัยของตนเอง จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา
มันยังคงเปล่งประกายสว่างจ้า ราวกับดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า รัศมีความสว่างของมันแผ่ขยายออกไปหลายร้อยไมล์ ดูงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
“และตอนนี้ มันก็ตกเป็นของเรา!” เด็กหนุ่มหลับตาลงและปล่อยให้เสื้อผ้าของตนกระพือไปตามลมขณะที่สูดหายใจเข้าช้าๆ
มันเป็นความรู้สึกของอำนาจ
เขารู้สึกได้ว่าบางสิ่งบางอย่างในร่างกายได้หลอมรวมเข้ากับร่างเขาอย่างสมบูรณ์ มันเป็นความรู้สึกที่เบาบางและหายวับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ชัดเจน เขาพยายามนึกหาว่าตนเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนที่ใด แต่เขาก็นึกไม่ออก
พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง หยางเหยียนเจาก็วิ่งขึ้นมาถึงด้านบนสุดของแท่นบูชาพร้อมกับการหอบหายใจอย่างหนักหน่วง กองกำลังของยมโลกส่วนที่เหลือยังคงตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญขณะที่พวกเขาเองก็วิ่งขึ้นมาด้านบนเช่นกัน ฉินเย่ถูกดึงออกจากภวังค์ความคิดของตนและรีบก้มหน้าลงมองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของหลายจวิ่นเฉินที่นอนอยู่ตรงหน้าของตนทันที
ไม่…เขายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่
จะต้องแย่งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาและกลายเป็นเจ้าเมืองของนครชฺวีฟู่! จากนั้น เขาก็จะใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการรวบรวมพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน!
สงบใจไว้… สงบใจไว้… เขาพยายามระงับความรู้สึกภายในใจของตนเองก่อนจะหันไปหาหยางเหยียนเจา “แม่ทัพหยางเหยียนเต๋ออยู่ที่ใด?”
“ฝ่าบาท!!” ดวงตาของหยางเหยียนเจาสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งขณะที่อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนัก “นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้นครชฺวีฟู่แทบจะตกอยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว! แต่…เราไม่สามารถปล่อยให้ชายผู้นี้ตายได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเย่พยักหน้า ก่อนจะหันไปมองนครชฺวีฟู่อีกครั้ง
ห่างไกลออกไป ทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่กว่าแสนนายกำลังมุ่งหน้ากลับเข้ามาภายในเมืองชั้นในโดยไม่สนใจกองกำลังของยมโลกที่ไล่ตามมาติด ๆ มันแทบจะเหมือนกับว่ามีทะเลเปลวเพลิงได้หลั่งไหลกลับเข้ามาด้านในจากทั่วทุกสารทิศ
ถึงเวลาที่จะต้องจบทุกอย่าง…
เขาละสายตาจากภาพตรงหน้าและหันไปยังพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกครั้ง ที่ฐานของมันมีรูปปั้นของตี้ทิงที่พัวพันกับเซี่ยจื้อตั้งอยู่ที่ฐานของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา และกรงเล็บของอสูรทั้งสองก็พยุงกระจกบานใหญ่ขึ้น หากพูดกันตามตรง กรงเล็บของอสูรทั้งสองดูเหมือนว่าจะทิ่มเข้าไปในผิวของกระจกด้วยซ้ำ
พลังหยินมหาศาลหลั่งไหลเข้าไปในพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาผ่านทางกรงเล็บของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง นี่คือแหล่งพลังงานที่คอยค้ำจุดพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาเอาไว้
ทุกคนต่างรู้ดีว่าวัตถุหยินนั้นจะต้องขับเคลื่อนโดยแหล่งกำเนิดพลังหยิน รวมทั้งหินวิญญาณ และนี่ก็คือช่องทางที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้รับพลังงานของมัน
ฉินเย่ใส่พลังหยินขั้นตุลาการนรกของตนเข้าไปในหอกอีกครั้ง จากนั้นด้วยแรงผลักอันทรงพลัง เขาแทงไปที่รูปปั้น ทำให้มันเกิดรอยร้าวและแตกสลายกลายเป็นผุยผง ตู้ม!! กลไกส่งพลังหยินไปยังพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาถูกเผยออกมาให้เห็น พร้อมกับ…กองหินวิญญาณจำนวนมากที่มีขนาดราวกับภูเขาขนาดย่อม!
หากพูดกันตามตรง สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้แท่นบูชาขนาดใหญ่ล้วนคือหินวิญญาณทั้งสิ้น!
พรึ่บ…ทันใดนั้น พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาก็เริ่มเปล่งแสงอีกครั้ง
ครืนนน…พลังหยินโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรงและนครชฺวีฟู่ก็เริ่มวูบไหวสลับระหว่างความจริงและภาพลวงตา จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ไม่เพียงแต่แสงประกายบนผิวหน้ากระจกไม่จางหายไปเท่านั้น แต่มันยังกลายเป็นแสงสีเขียวอันไร้ขอบเขตที่กระจายตัวไปทั่วอย่างรวดเร็ว!
ทั่วทั้งโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวอย่างกระทันหัน พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาได้สูญเสียแหล่งพลังหยินของมันไป และแทนที่แสงของมันจะจางหายไป แต่รัศมีที่แผ่ออกมาของมันกลับดูน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม! หากพูดกันตามความจริง อักขระสีแดงมากมายเริ่มปรากฏขึ้นที่ผิวหน้าของกระจก แทบจะเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังวาดมันขึ้นมาจากด้านใน นอกจากนี้ มันยังเหลือพื้นที่อีกประมาณสองแถวเท่านั้นก่อนที่พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาทั้งหมดจะเต็มไปด้วยอักขระดังกล่าว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว สัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
ทันใดนั้น นครชฺวีฟู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง และจากนั้นกำแพงเมืองด้านนอกของนครชฺวีฟู่ก็ลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นผีเสื้อสีดำที่กระจายตัวไปโดยรอบ มันแทบจะเหมือนกับว่าเมืองทั้งเมืองได้เข้าสู่ช่วงวินาทีสุดท้ายของมัน!
นี่คือ…การสลายของพลังหยิน!
และเขาก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ตกตะลึงกับภาพดังกล่าว เพราะแม้แต่ทั่วทั้งนครชฺวีฟู่ ทหารวิญญาณนับแสนและประชากรกว่าสิบล้านเองก็นิ่งงันไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
เหล่าทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่ที่พยายามวิ่งไปเสริมการป้องกันภายในเมืองหยุดนิ่งไปทันที พวกเขาหันไปมองโดยรอบด้วยความหวั่นสะพรึง คนทั้งหมดสัมผัสได้ว่าเมืองทั้งเมืองกำลังสลายกลายเป็นควัน มันเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาไม่สามารถเมินเฉยได้!
พวกเขาจะต้องทำอย่างไร?!
กลับมาบนท้องถนนและตรอกซอยทั้งหมด ประชากรวิญญาณของนครชฺวีฟู่ลอยออกมาจากบ้านจ้องมองทุกอย่างด้วยความตื่นกลัวขณะที่พวกเขาเห็นเมืองที่ตนใช้ชีวิตอยู่มาเป็นเวลากว่าสิบปีกลายร่างเป็นผีเสื้อและล่องลอยไปในอากาศ เมืองทั้งเมืองสั่นเทาภายใต้แสงสีเขียวหม่น
“เกิดอะไรขึ้น? แผ่นดินไหวอย่างนั้นหรือ?” “นครชฺวีฟู่…กำลังจะหายไป?” “ดูนั่น! ดูที่กำแพงเมืองชั้นนอก! ผีเสื้อสีดำ! ผีเสื้อพลังหยิน! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน?!”
น่าเสียดาย แต่มันกลับไม่มีใครสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้เลยสักนิด
ราวกับการโหมโรงของการทำลายล้าง พลังหยินทั้งหมดที่สร้างนครชฺวีฟู่ขึ้นมาค่อยๆสลายไป ทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายตัวไปโดยรอบ มันแทบจะเหมือนกับว่าเมืองทั้งเมืองกำลังประกาศถึงจุดสิ้นสุดของยุคสมัย
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรลงไป?!” หยางเหยียนเจากระทืบลงไปที่อกของหลายจวิ่นเฉินอย่างแรง ส่งผลให้เขากระอักพลังหยินภายในร่างออกมา หลายจวิ่นเฉินนอนอยู่บนพื้น หอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ตาย…ตายไปพร้อมกับข้า!! นครชฺวีฟู่ได้ล่มสลายแล้ว…ท่านขงจะต้องไม่มีทางไว้ชีวิตข้าอย่างแน่นอน… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตาย… ดังนั้นเหตุใดข้าถึงไม่ลากเจ้าลงนรกไปกับข้าด้วยเล่า?! ฮ่าๆๆๆๆ!!”
ฟึ่บ…ฉินเย่จ่อปลายหอกของตนไปที่ลำคอของหลายจวิ่นเฉิน “หยุดอยู่นิ่ง ๆ ซะ และข้าจะมอบความตายที่ง่ายดายและรวดเร็วให้กับเจ้า!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ!!” หลายจวิ่นเฉินเงยหน้าและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้น พร้อมกับหอบหายใจเข้า เขาตะโกนเสียงดัง “อย่า…ฝัน!!”
มันเป็นการตอบสนองที่เป็นไปตามธรรมชาติเมื่อคนเราถูกผลักดันให้หลุดจากหลักของเหตุผลและตรรกะ พวกเขาย่อมทำในสิ่งที่ผิดไปจากลักษณะนิสัยปกติของตนเองเป็นธรรมดา
ยกตัวอย่างเช่น หลายจวิ่นเฉินไม่เคยคิดว่านครชฺวีฟู่จะล่มสลายมาก่อน แต่ความขัดแย้งกันระหว่างความคาดหวังและความจริงได้ผลักดันให้เขาเสียสติ ภายในใจเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและไม่ยอมรับความจริง
“นี่คือคำสาปแห่งการบังคับดับสูญ” ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่ยิ่งใหญ่ซึ่งแฝงไปด้วยความอ่อนแอก็ดังขึ้นที่ด้านบนของแท่นบูชา
ดวงตาของหลายจวิ่นเฉินหดลงขณะที่มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดหวั่น ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง
ฉินเย่แน่นิ่งไป “ตี้ทิง?”
ตี้ทิง… ตี้ทิง?!
คำพูดเพียงไม่กี่คำทำให้หลายจวิ่นเฉินเริ่มบ้าคลั่งอีกครั้ง เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ถูกกดลงกับพื้นอีกครั้งโดยฝีมือของหยางเหยียนเจา ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ราวกับว่าโลกทั้งโลกของเขาได้พังทลายลง หลายจวิ่นเฉินหันไปจ้องหน้าฉินเย่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย “ไม่จริง… เป็นไปไม่ได้… ท่านตี้ทิงยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้… นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”
“ท่านขงบอกว่าท่านตี้ทิงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกใต้พิภพอีกแล้ว! หึหึ… ฮ่า ๆ … เข้าใจแล้ว… เจ้าพยายามจะหลอกข้า! เจ้ากำลังพยายามที่จะโกหกข้า!!”
“ข้าไม่ได้อยู่ที่โลกใต้พิภพอย่างแท้จริง นอกจากนี้… ขงโม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน? กล้าดีอย่างไรถึงมาคาดเดาเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของข้า?” ตี้ทิงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอย่างนั้นหรือ… หึหึ ข้าไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว เห้อ… มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะควบคุมมัน ก่อนหน้านี้ ข้าสัมผัสได้ว่าทั้งแดนสวรรค์และโลกใต้พิภพได้ยอมรับเจ้าในฐานะของว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลก จ้าวนรกคือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างในโลกใต้พิภพ ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำมีเพียงหยดเลือดของตนลงไปบนมัน และมันก็จะจดจำเจ้าในฐานะของผู้เป็นนายทันที เมื่อเจ้าทำเช่นนั้น ข้าก็จะเป็นผู้รับช่วงต่อและช่วยเจ้าจัดการกับข้อจำกัดทั้งหมดที่ถูกวางเอาไว้เอง”
ฉินเย่ยืนฟังสิ่งที่ตี้ทิงอธิบายอย่างตั้งใจ
“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าจะต้องหาทางทำลายคำสาปแห่งการบังคับดับสูญให้ได้เสียก่อน เฮ้อ…ถึงแม้ว่าขงโม่จะไม่ได้มอบอำนาจในการควบคุมพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหมด แต่เขาก็ยังบอกถึงวิธีการทำลายมันให้กับอีกฝ่าย เจ้ามีเวลาอย่างมากที่สุดห้านาที ไม่เช่นนั้น ทันทีที่หน้ากระจกเต็มไปด้วยอักขระพวกนี้ มันจะทำลายนครชฺวีฟู่และกำจัดวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ และเมื่อถึงเวลานั้น…ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะเป็นผู้เดียวที่รอดชีวิต”
“โชคดีที่การทำลายมันนั้นไม่ใช่เรื่องยาก วัตถุหยินทั้งหมดล้วนมี ‘ทางเข้า’ เป็นของมันเอง ทางเข้านี้จะทำให้มันสามารถดึงพลังหยินจากแหล่งพลังหยินที่อยู่ภายนอกเข้าไปเพื่อใช้ขับเคลื่อนมันได้ จากการคาดเดาของข้า คำสาปนี้ได้เกิดขึ้นจากการสังเวยวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำระดับต้นไป ดังนั้นหากเจ้าสามารถหาวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านั้นมาสังเวยได้ ข้าก็จะสามารถทำลายคำสาปให้เจ้าได้”
หลายจวิ่นเฉินฟังทุกอย่างที่ตี้ทิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้น เขาก็เริ่มหันไปหาฉินเย่ด้วยปากที่อ้ากว้าง
เขาบ้าไปแล้ว
ไม่… มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้… ทำไม… ทำไมจู่ ๆ ท่านตี้ทิงถึงปรากฏตัวขึ้น?
แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อยู่ข้างเขา!
ฉินเย่ครุ่นคิดคำพูดของตี้ทิงอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่หยางเหยียนเจาเริ่มมองไปรอบๆอย่างร้อนรน – พวกเขาจะไปหาวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำมาจากที่ใดในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้?
มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำอยู่ที่เมืองชั้นนอกของนครชฺวีฟู่อย่างแน่นอน แต่พวกเขาคงไม่สามารถไปที่นั่นและกลับมาได้ทันเวลาแน่ ๆ !
เขาเหลือบไปยังอาร์ทิส แต่ก็พบว่าลูกบอลเส้นผมสีดำยังคงรัดเข้าด้วยกันอย่างหนาแน่น เขาพยายามเรียกอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาควรจะทำอย่างไรดี?
พระราชวังแห่งการสะท้อนเงานั้นเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาที่เหลือเวลาเพียงห้านาที ต่อให้พวกเขาชนะการต่อสู้นี้ แต่พวกเขาก็ยังพ่ายแพ้ในสงคราม!
พวกเขาได้ใช้ทรัพยากรของยมโลกไปเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้กลับมาพบว่าตัวเองจะไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ จากสงครามเลยแม้แต่นิดเดียว! แล้วแบบนี้ยมโลกจะต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใดถึงจะสามารถชดเชยความสูญเสียทั้งหมดและเริ่มต้นสงครามในการขยายอาณาเขตครั้งที่สองขึ้นได้?
“ฝ่าบาท…” หยางเหยียนเจาแทบเสียสติ หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที เขาก็กัดฟันแน่นและหันไปหาฉินเย่อีกครั้ง “ท่านตี้ทิงไม่ได้บอกว่า…มันจำเป็นจะต้องเป็นขั้นยมทูตขาวดำของศัตรูนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “เจ้าคงไม่คิดที่จะเสนอตัวจะทำมันใช่หรือไม่?”
“นี่เป็นทางเดียวพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเหยียนเจาเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยต่อ ฉินเย่ก็โบกมืออย่างไม่สนใจพร้อมกับหันไปหาหลายจวิ่นเฉิน “นี่เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน? มันมีผู้ที่เหมาะที่จะทำหน้าที่นั้นมากกว่าเจ้าอยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ?”
หยางเหยียนเจาที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปทันที
เขาลืมอีกฝ่ายไปที่เสียสิ้น… นี่คือเหตุผลที่ทำให้ชายผู้นี้มีท่าทีราวกับคนเสียสติเมื่อครู่นี้สินะ…
“หลายจวิ่นเฉิน เจ้าเคยเป็นข้าราชการที่มีชื่อเสียงที่รับใช้ราชวงศ์ถัง รวมถึงราชวงศ์โจวของบูเช็คเทียน หากพูดกันตามตรง สำนวน ‘เชิญท่านลงโอ่ง’ เองก็มาจากเจ้า ช่างน่าชื่นชมจริงๆ… และตอนนี้ข้าคิดว่ามันก็คงถึงเวลาแล้วที่ข้าจะเชิญเจ้าลงโอ่งเช่นกัน…” [1]
ฉินเย่แย้มยิ้มพร้อมกับปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตนเอง ก่อนจะผายมือเชิญอีกฝ่าย “เชิญ…”
[1] 請君入甕 (ฉิ่งจวินยู่เวิ่ง) : เชิญท่านลงโอ่ง หมายถึงการใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง