ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 442: สมัชชาใหญ่ครั้งแรก
บทที่ 442: สมัชชาใหญ่ครั้งแรก
เปลวไฟในดวงตาของเหวยโหย่วเหลียงวูบไหวอย่างรุนแรง ขณะที่เขากำเอกสารด้วยมือที่สั่นเทา
มันคือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เหมือนกับที่มีให้เห็นในแดนมนุษย์ คุณภาพของมันไม่ได้ดีเยี่ยมหรือด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย
เขาได้ยินมาว่านี่คือหนึ่งในผลผลิตพิเศษของยมโลก และจ้าวนรกก็สามารถส่งมันมาที่นี่โดยใช้วิชาที่ชื่อว่าเคลื่อนย้ายจักรวาล หลังจากที่ได้ทำงานมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน สิ่งเดียวที่พวกเขาได้รับเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือหนังสือพิมพ์หลายล้านฉบับที่ถูกแจกจ่ายให้กับชุมชนต่างๆ
ใช่แล้ว ชุมชน มันคือคำที่กระตุ้มความรู้สึกที่คุ้นเคยภายในใจของเขา
ตอนนี้มีวิญญาณตนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังพูดคุยกันอยู่รอบตัวเขา นี่คือชุมชนนักอ่าน – สมาคมที่ถูกก่อตั้งขึ้นตามคำสั่งของท่านจ้าวนรกแห่งยมโลก ผู้ที่ได้ทรงรับสั่งให้ผู้ที่ต้องการก่อตั้งสมาคมทำการส่งแบบฟอร์มการสมัครและรายชื่อผู้เข้าร่วมภายในระยะเวลาสามวัน โดยวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสมาคมเหล่านี้ก็คือเพื่อส่งเสริมเจตนารมณ์ของท่านจ้าวนรก เหมือนดั่งเช่นที่พวกเขากำลังทำกันอยู่ในตอนนี้
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นประชากรวิญญาณธรรมดาๆของนครชฺวีฟู่ ซึ่งหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต พวกเขาก็มาถึงที่ด่านซานไห่โดยไม่รู้ตัว
ในเวลานั้น พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเลย และพวกเขาก็คิดว่าตัวเองมาถึงที่ยมโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใช่แล้ว ด้วยความยิ่งใหญ่ หรูหรา และสง่างามพร้อมด้วยประชากรวิญญาณนับล้าน ที่แห่งนี้จะไม่ใช่ยมโลกได้อย่างไร?
พวกเขาสามารถบอกได้ว่ามันทรงพลัง เพราะแม้แต่ราชาอสูรวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวก็ยังไม่สามารถเข้ามาในรัศมีสามกิโลเมตรของกำแพงเมืองชั้นนอกของด่านซานไห่ได้
การป้องกันของเมืองนั้นแน่นหนาและมั่นคงเป็นอย่างมาก ที่นี่คือป้อมปราการด่านแรกของกำแพงเมืองจีนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว พวกเขาเพิ่งได้รู้ความจริงเป็นครั้งแรกว่าแท้จริงแล้ว…พวกเขาคือส่วนหนึ่งของกองกำลังกบฏ
พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในยมโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกระจกที่อยู่ภายในความครอบครองของผู้บงการผู้ชั่วร้าย และยมโลกที่แท้จริง…ก็ได้รวบรวมกองกำลังของตนเองภายใต้การนำของแม่ทัพแห่งตระกูลหยางผู้โด่งดังเพื่อปราบปรามกบฏที่เรียกว่านครชฺวีฟู่!
นับตั้งแต่นั้น เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน เมืองทั้งเมืองต้องตกอยู่ภายใต้เคอร์ฟิว เมืองที่เคยส่องแสงสว่างแม้กระทั่งในเวลากลางดึกกลับกลายเป็นเงียบสนิทราวกับสุสานทันทีที่เคอร์ฟิวมีผลบังคับใช้ ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนลาดตระเวนไปตามท้องถนนและตรอกต่างๆในยามค่ำคืน จับกุมทุกผู้ทุกคนที่ฝ่าฝืนคำสั่ง
“ทุกคน...ดูนี่” เขาหลับตาลงและเริ่มส่งหนังสือพิมพ์ให้กับคนอื่นๆ “มันถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน...”
“ข้าขอเสริมอะไรสักเล็กน้อย” ชายคนหนึ่งลุกยืนขึ้น เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าเขาแต่งกายด้วยชุดเกราะโบราณ เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อนนัก “ท่านฉินไม่ได้สนใจอดีต พระองค์เพียงกำจัดเหล่าผู้บงการผู้ชั่วร้ายที่เตรียมการเรื่องทั้งหมด เจ้าอาจจะเป็นประชากรวิญญาณ แต่…เจ้าก็เป็นประชากรวิญญาณของยมโลกด้วยเช่นกัน”
“และสำหรับเหตุผลว่าทำไมยมโลกถึงถูกเรียกว่ายมโลก…เจ้าจะได้รู้ในอีกไม่ช้า”
เหวยโหย่วเหลียงปิดปากเงียบและคิดกับตัวเอง – เอ้อ...จะว่าไป เขาได้ยินมาว่าท่านจ้าวนรกใช้สกุลฉิน…
ข่าวลือบอกว่าท่านจ้าวฉินได้ทำการพูดคุยกับผู้นำของแต่ละชุมชนเกี่ยวกับความรับผิดชอบและอุดมการณ์ทางการเมืองที่พวกเขากำลังรณรงค์ด้วยตัวของตนเอง
ด้วยกังวลว่าพวกเขาอาจจะทำให้เหล่าประชากรเข้าใจผิด กองกำลังชุดเกราะจึงแย้มยิ้มบางและเอ่ยเสริม “ขงโม่คือคนทรยศของยมโลกที่ได้หลบหนีมายังซานตงหลังจากที่ได้ขโมยวัตถุหยินอันล้ำค่าอย่างพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา เขาอาจจะสามารถปกป้องพวกเจ้าจากอันตรายภายนอกได้ และก็คงจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าคนที่เจ้ารักจะตายลงเมื่อใด?”
“พวกเจ้าไม่ต้องการส่งข้อความไปให้พวกเขาผ่านทางความฝันอย่างนั้นหรือ?”
“นี่คือผลประโยชน์ที่มีเพียงยมโลกที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถจัดสรรค์ได้! พวกเรากำลังพูดถึงยมโลกดั้งเดิมของโลกใต้พิภพ ไม่ใช่สถานที่ซึ่งถูกปกครองโดยหัวหน้าของกองกำลังกบฏ!” จากนั้นเขาก็พยักหน้า “นี่คือหนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษที่ถูกตีพิมพ์โดยอุตสาหกรรมสื่อแห่งยมโลก ลองดูด้วยตัวของเจ้าเอง สาเหตุและผลกระทบทั้งหมดของสงครามล้วนถูกอธิบายอย่างละเอียด นอกเหนือจากนั้น… วันนี้เวลา 6 โมงเย็น ท่านฉินจะมาเป็นประธานของสมัชชาใหญ่ครั้งนี้ด้วยตนเอง และมันจะมีการถ่ายทอดสดอีกด้วย ข้าเชื่อ…ว่าวาระทั้งหมดของที่ประชุมจะต้องเปลี่ยนมุมมองที่เจ้ามีต่อยมโลกอย่างแน่นอน”
อ่า…ใช่แล้ว มันยังมีข่าวเรื่องสมัชชาใหญ่อีก เขาได้ยินมาว่ายมโลกได้สุ่มคัดเลือกผู้เข้าร่วมจำนวน 50 คนจากชุมชนที่พักอาศัยทั้งหมดเพื่อเข้าร่วม ส่วนที่เหลือจะได้รับชมผ่านการถ่ายทอดสด
เหวยโหย่วเหลียงเหลือบตาไปยังนาฬิกาทรายที่วางอยู่บนโต๊ะ มันยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนที่การประชุมใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น
แต่มันก็ไม่ใช่เขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่กำลังตั้งตารอมัน เพราะตอนนี้ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปยังจำนวนทรายที่ลดลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไป แจกจ่ายข่าวเกี่ยวกับการประชุมครั้งใหญ่ให้ได้มากที่สุด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถรับประกันได้ว่าประชากรวิญญาณทั้งหมดกว่าสิบล้านคนจะดูการถ่ายทอดสดนี้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถแจ้งให้อีกฝ่ายได้ทราบ หากพูดกันตามตรง การดำเนินการเพื่อเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการประชุมได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน และนี่ก็คือชุมชนที่พักอาศัยแหล่งสุดท้ายที่พวกเขาจะต้องกระจายข่าว ภาระของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลงเสียที
หนึ่งในวิญญาณร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างเหวยโหย่วเหลียงอดไม่ได้ที่จะแย่งหนังสือพิมพ์ในมือของอีกฝ่ายมาและเอ่ยด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ชัยชนะครั้งใหญ่!!” หัวข่าวสูดพาดด้วยตัวอักษรที่แสนจะสะดุดตา
สงครามสำหรับการขยายอาณาเขตครั้งแรกของยมโลกหรืออีกชื่อหนึ่งคือการเดินทางสำรวจดินแดนทางตะวันออก หลังจากการต่อสู้กับกองกำลังกบฏเป็นเวลานานกว่า 19 ชั่วโมง ยมโลกก็สามารถเข้าควบคุมด่านซานไห่ นครชฺวีฟู่ ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการหลักของขงโม่ได้สำเร็จ พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา หนึ่งในสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของยมโลกซึ่งถูกขงโม่ขโมยไปก่อนหน้านี้เองก็กลับคืนสู่มือของยมโลก เจ้าของที่ถูกต้องของมันเช่นกัน กองกำลังของศัตรูได้ล้มตายไปมากกว่าครึ่งล้าน ในขณะที่กองกำลังของยมโลกมีผู้เสียชีวิตไปทั้งสิ้น 60,000 นาย นี่คือชัยชนะครั้งแรกของยมโลกแห่งใหม่ตั้งแต่ที่ถูกก่อตั้งขึ้น! ยมโลกสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและคว้าชัยชนะมาได้อย่างน่าอัศจรรย์!
“ขงโม่นั้นชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ ตอนอยู่ที่แดนมุนษย์ เขาได้วางแผนการที่ชั่วร้ายขึ้นจนทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในตระกูลขงจื๊อ และเขาก็ได้กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในฐานะของคนบาปแห่งขงจื๊อ แม้ว่าจะตายไปล้ว หัวใจของเขาก็ยังคงหลุดออกจากเส้นทางแห่งความชอบธรรม และเขายังคงวางแผนมากมายเพื่อต่อต้านยมโลกโดยการขโมยพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกด้วย การตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์และการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกทำให้เขาสามารถหลบหนีได้สำเร็จ ท่านจ้าวนรกฉินได้ขึ้นสืบทอดบัลลังก์ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ แต่เนื่องจากความต้องการเร่งด่วนในหลายๆด้านของยมโลกแห่งใหม่ พระองค์ทรงไม่สามารถไล่ติดตามเพื่อทวงพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาคืนได้ ดังนั้น มันจึงสูญหายไปจากยมโลกเป็นระยะเวลานานกว่าร้อยปี”
“แต่ทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทน การแก้แค้นนั้นไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังไม่สาย 100 ปีนับตั้งแต่ขงโม่สามารถหลบหนีไปพร้อมกับพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา กองกำลังของยมโลกได้เดินทัพมาที่มณฑลซานตง ก้าวข้ามด่านซานไห่และทวงคืนสิ่งที่เป็นของตน เนื้อหาต่อไปนี้รายงานถึงรายละเอียดของการต่อสู้ที่เกิดขึ้น…”
พรึ่บ พรึ่บ… วิญญาณจำนวนมากเริ่มโน้มหน้าเข้ามาอ่านรายงานเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้น และหลังจากผ่านไป 40 นาที วิญญาณร่างท้วมก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดขณะที่เขาพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษ
เนื้อหาส่วนตัวไปครอบคลุมถึงการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า และสถานการณ์ปัจจุบันของยมโลกแห่งใหม่ในเวลานี้ จากนั้น เมื่อบทความเริ่มเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับยมโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมุดแห่งความเป็นตาย ตราจ้าวนรก รวมถึงตี้ทิง วิญญาณทั้งหมดที่อ่านอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเสียงดัง
มีเพียงยมโลกที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้!
นี่พวกเขา…ถูกหลอกให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังกบฏจริงๆอย่างนั้นหรือ?
บทความในหนังสือพิมพ์นั้นละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ มันเริ่มขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจากการตรัสรู้และขึ้นสู่สรวงสวรรค์ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ไปจนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนกระทั่งท่านจ้าวฉินทรงเข้าสืบทอดบัลลังก์ในฐานะของท่านจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก มันยังพูดอีกด้วยว่าท่านฉินนั้นช่างสมบูรณ์แบบจนแทบจะเหมือนกับเป็นเทพเจ้าลงมาจุติ – สมบูรณ์แบบถึงขนาดที่ว่ามีเสน่ห์จนไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานพระองค์ได้!
เงียบสนิท
ทุกคนยังคงอ่านเนื้อข่าวต่อไปจนกระทั่งมาถึงที่หน้าสุดท้าย
มันมีรายชื่อมากมายถูกเขียนเอาไว้
“นี่คือการยกย่องเหล่าผู้ที่เสียสละตนเองในการเดินทางสำรวจดินแดนทางตะวันออกนี้”
“เหล่าบรรพบุรุษของยมโลก : มู่กุ้ยอิง หยางเหยียนเต๋อ จ้าวฉี”
“เฉิงจือหลี่ หวังโหย่วเต๋อ เล่ยหมิง ถังเหวิ่นซาน ฉีเซียงอู่ หลงเถียง หวังหลุน เฟิงหราว…”
รายชื่อมากกว่าหมื่นรายชื่อถูกเขียนไว้บนหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์!
คนทั้งหมดพลันรู้สึกถึงความเคร่งเครียดที่แพร่กระจายไปในอากาศทันที มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นถึงโศกนาฏกรรมของสงคราม หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ พวกเขาก็ยื่นหนังสือพิมพ์คืนให้กับเหวยโหย่วเหลียง ผู้ที่รับมันกลับมาด้วยสองมือก่อนจะส่งมันคืนให้กับผู้เป็นหัวหน้าที่ยืนอยู่ด้านหลัง
จากนั้น ขณะที่ผู้ที่เป็นหัวหน้ากำลังรับหนังสือพิมพ์คืนมา เสียงของระฆังก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
เต้ง… เต้ง… เสียงระฆังดังกล่าวดังก้องไปทั่วทั้งด่านซานไห่
ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากันและกันด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววาบ หัวใจของพวกเขาเต้นเร็วขึ้นทันที
นี่คือระฆังพันวิญญาณที่ถูกติดไว้ยังจุดสูงสุดของอาคารที่อยู่เหนือเมืองทั้งหมด ในตอนที่ขงโม่ปกครองดินแดน เขาเคยบอกว่ามันจะส่งเสียงก็ต่อเมื่อถึงวินาทีวิกฤตเท่านั้น ตราบใดที่ระฆังดังกล่าวยังไม่ดัง ประชาชนก็สามารถถือได้ว่าชีวิตของพวกเขายังปลอดภัย
แต่…นครชฺวีฟู่ได้ล่มสลายลงโดยที่ระฆังดังกล่าวไม่ดังขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว การที่มันดังขึ้นในตอนนี้มันช่างน่าขันจริงๆ
ขงโม่ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว
บางที…มันอาจจะเป็นความคิดที่ดีในการที่จะรับใช้ยมโลกที่แท้จริง แต่มันก็จะเป็นการดีกว่าที่จะรอดูระบอบรัฐบาลที่ถูกจะนำมาใช้เสียก่อน อีกฝ่ายสามารถเขียนอะไรก็ได้ลงในข่าว แต่พวกเขาที่เป็นประชาชนต่างเคยใช้ชีวิตและตายมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขามีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมามาก ดังนั้นพวกเขาจะขอตัดสินด้วยตาของตัวเองว่านี่เป็นยมโลกที่แท้จริงหรือว่าเป็นกองกำลังกบฏอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสร้างภาพลวงตาต่อหน้าพวกเขาเท่านั้น…
ถูกหลอกแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ หลังจากนี้พวกเขาจะเชื่อสายตาของตัวเองเพียงอย่างเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเขาก็เปิดประตูและเดินตรงไปยังลานกว้างที่อยู่ไม่ไกลออกไป เพราะอย่างไรแล้ว คำสั่งก็คือให้วิญญาณทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ลานกว้างให้ได้มากที่สุด
เอี๊ยดดดด… พวกเขาเปิดประตูออก และก็ต้องตาพร่ากับแสงสว่างตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็คุ้นชินกับมันไปเสียแล้ว
นครชฺวีฟู่ ด่านซานไห่ พื้นที่ส่วนใหญ่ของมันยังคงดูเหมือนเดิม เว้นก็แต่สิ่งปลูกสร้างบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นเพิ่มภายในเมืองชั้นใน
หนึ่งในนั้นก็คืออาคารสีขาวสูงที่กินพื้นที่กว้างหลายกิโลเมตรและสูง 20 เมตร อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงอาคารชั้นเดียว ความยิ่งใหญ่และความสง่างามของมันนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับวิหารแห่งเอเธนส์ บวกกับขั้นบันไดที่นำไปสู่ห้องที่อยู่ภายใน มันยังคงมีโถงกว้างที่ดูราวกับสถานที่ชุมนุมของเหล่าประชาชนในแดนมนุษย์อีกด้วย รูปสลักที่งดงามของตี้ทิงถูกสลักอยู่บน ณ ใจกลางอาคาร ในขณะที่ส่วนอื่นๆถูกสร้างขึ้นในรูปแบบจีนโบราณ รวมถึงเสาแกะสลักและเสาที่ถูกทาสีอย่างประณีต ทั้งหมดนี้ทำให้อาคารดังกล่าวดูเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความสง่างามและความยิ่งใหญ่
นี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในด่านซานไห่… เหวยโหย่วเหลียงจ้องมองอาคารดังกล่าวด้วยความมึนงง เหมือนกับการที่ด่านซานไห่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองชั้นในเองก็ดูเหมือนว่าจะปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นกัน
เขาอยู่ห่างจากเมืองชั้นในพอสมควร และทำให้สามารถมองเห็นได้เฉพาะจุดสูงสุดของอาคารเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถอ่านโคลงที่ถูกแขวนไว้ที่ด้านบนสุดของอาคารได้ มันค่อนข้างเลือนลาง แต่คำพูดของมันกลับสลักอยู่ภายในใจของเขา
แสงไฟสลัวในยามเที่ยงคืน ดักไว้ซึ่งความฝันอันน่าพิศวง
แสงสว่างแห่งความมืดมน บิดเบือนหัวใจที่แตกสลาย
ยิ่งเหวยโหย่วเหลียงจ้องมองโคลงตรงหน้ามาเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกบีบคั้นมากขึ้นเท่านั้น เขารีบเหลือบตาไปมองที่อาคารหลังอื่นๆทันที
อาคารอีกหลังหนึ่งเองก็ดูยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน มันมีอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดชั้น และชายคาที่ยื่นออกมาจากตัวอาคารล้วนถูกตกแต่งด้วยรูปปั้นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก เช่นเดียวกัน มันมีโคลงบทหนึ่งถูกคิดไว้ด้านบนสุดของอาคาร เขามองเห็นมันไม่ชัดนัก แต่คำทั้งหมดก็ยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจของเขา
หยินและหยาง เงามืดและแสงสว่าง
ดินแดนของมนุษย์และดินแดนของวิญญาณ เชื่อมเกี่ยวกันอย่างไม่สามารถแยกได้
มันยังมีอาคารอยู่อีกสามหลังที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เมืองชั้นในแห่งนี้เคยเป็นค่ายทหาร ไร้ซึ่งประชากรวิญญาณใดๆ แต่ตอนนี้มันกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และมันก็มีสิ่งอื่นที่ควรค่าแก่การสนใจเป็นอย่างมาก
มันคือต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง
ต้นไม้ดังกล่าวเต็มไปด้วยผลไม้แปลกๆที่มีใบหน้าของมนุษย์ปรากฏอยู่ ลูกไฟนรกจำนวนมากลอยอยู่รอบๆต้นไม้ดังกล่าว และมันก็มีแม้กระทั่งอีกาโครงกระดูกเกาะอยู่บนกิ่งของต้นไม้อีกด้วย ดวงตาของนกดังกล่าวเป็นจุดสีแดงเข้มที่ดูเหมือนกำลังจ้องมองกลับมาที่เหวยโหย่วเหลียง พวกมันทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปตามกระดูกสันหลัง
ช่างมัน!
ด้วยฟันที่กัดแน่น เขาสูดหายใจเข้าช้าๆและเดินต่อไป
อีกไม่กี่วินาทีต่อไปนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะอยู่หรือจะตาย!
แต่…ท่านฉินผู้นี้คงจะไม่สังหารวิญญาณทั้งหมดสิบล้านตนพร้อมกันหรอกใช่หรือไม่?
เขาควรจะรู้สึกว่าแม้แต่กระต่ายเองก็สามารถดุร้ายได้เมื่อถึงคราวจำเป็น!
……………………………………………..
ภายในอาคารสูงภายในเมืองชั้นใน อาร์ทิสโบกมือไปมาและกลอกตาไปทางฉินเย่ “นี่ท่านไม่ดูเฉยเมยเกินไปหรอกหรือ… ข้าหมายถึง… ช่วงนี้ท่านดูยุ่งมากเสียจนลืมอะไรบางอย่างไป”
“พวกเราสามารถยึดครองนครชฺวีฟู่ได้สำเร็จ แต่สิ่งต่อไปเองก็สำคัญไม่แพ้กัน พวกเราจะสามารถจัดการกับจิตใจของประชาชนเพื่อระงับการก่อจลาจลที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไร? นอกจากนี้ การเรียกข้ามาที่นี่…” นางกวาดตามองไปรอบๆ
มันเป็นห้องที่มีความกว้างประมาณ 1,000 เมตร
ภาพของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ถูกสลักไว้บนพื้นและล้อมรอบโดยสัญลักษณ์ของมังกรสวรรค์ทั้งแปด พวกนางกำลังอยู่ในจุดที่สูงกว่าระดับพื้นปกติมาก มากจนสามารถมองเห็นเมืองได้ทั้งเมือง
“นี่ท่านเริ่มหลงใหลในความงดงามของข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ยิปมันฉินเย่รีบตั้งท่าเตรียมสู้ทันที “เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ข้ารอเวลานี้มาเป็นเวลานานเหลือเกิน!”
“เข้ามา จะมีเจ้าสักกี่สิบตนก็เข้ามา!”
อาร์ทิสจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “อะไรกัน? นี่ท่านกล้าทำตัวอวดดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้…” ฉินเย่เริ่มยืดกล้ามเนื้อขาของตนเอง “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้วิวัฒนาการจากตัวการ์ตูนระดับสองเป็นตัวเอกของเรื่องแล้ว มันมีอะไรบางอย่างในตัวข้าที่บอกข้าว่าข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดายแล้ว”
กร๊อบ กร๊อบ… เขาหักคอและข้อนิ้วของตัวเองขณะที่พยักหน้าให้กับอาร์ทิส เขากำลังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก
จากนั้น พร้อมกับที่จ้องเขม็งไปที่อาร์ทิส เขาเอ่ย “ถึงเวลาคิดบัญชีเสียที!”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอก “ใช่แล้ว ความสัมพันธ์อันย่ำแย่ของเราได้ดำเนินมากกว่า 400 ตอนแล้ว… ช่างวุ่นวายเสียจริง…”
พรึ่บ… ฉินเย่เริ่มรวบรวมพลังหยินจากรอบตัวเพื่อที่จะเปลี่ยนเข้าสู่สถานะยมทูตของตน แต่ในขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนร่าง อาร์ทิสก็เอ่ยออกมาอย่างสง่างามว่า “ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้”
จากนั้น นางก็หมุนตัวและเริ่มเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
พร้อมกับการสะบัดแขนเสื้อ นางทิ้งให้เขาต้องมึนงงอีกครั้ง
นี่มันบ้าอะไรกัน?!
ดวงตาของฉินเย่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ให้ตายเถอะ… นี่เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?!