ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 448: รัฐบาลที่มากความสามารถของยมโลก
บทที่ 448: รัฐบาลที่มากความสามารถของยมโลก
ทันใดนั้น หวังเฉิงห่าวก็ชะโงกหน้าออกมาจากที่หัวมุมอีกครั้ง “ท่านพี่ฉิน…รัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆกำลังรอท่านอยู่”
“บอกพวกเขาว่าข้าจะไปถึงที่นั่นในอีก 20 นาที” ฉินเย่โบกมือและจ้องมองเนื้อหาในบันทึกนรกที่ยังลอยอยู่ตรงหน้าตนต่อไป
“จดบันทึกลงในพงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ (ยังคงดำเนินการ) ระยะเริ่มต้น – 50,000 แต้มกุศล ผู้ตรวจราชการมณฑลคนแรก (ยังคงดำเนินการ) ระยะเริ่มต้น – 20,000 แต้มกุศล” เขาไล่นิ้วไปตามเนื้อหาดังกล่าวขณะที่อ่านออกมาเสียงดัง “รายการหนึ่งให้แต้มกุศล 50,000 แต้ม ในขณะที่อีกรายการให้แต้มกุศล 20,000 แต้ม… และทั้งสองก็ถูกเขียนไว้ว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น แต้มกุศลที่ได้จากการผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้ก้าวข้ามระยะเริ่มต้นไปได้จะต้องเยอะมากแน่ๆ”
“จดบันทึกลงในพงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่… ทั้งหมดที่เราทำไปก็คือสั่งให้อารักษ์จดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างลงไป นั่นนับด้วยหรือ? แต่ถ้าระยะเริ่มต้นยังได้แต้มกุศลถึง 50,000 แต้ม แล้วตอนที่ทำสำเร็จ 100% จะได้แต้มกุศลมากถึงเพียงไหนกัน? เมื่อพิจารณาจากการที่ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไป และพวกเราก็เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด มันก็ถือว่าพวกเรากำลังบันทึกความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อยมโลกในอีกหลายพันปีข้างหน้า! แบบนั้นเราก็คงจะได้แต้มกุศลจำนวนมากพอสำควรเลยทีเดียวหลังจากที่จดบันทึกทุกอย่างเสร็จสิ้น!”
“ผู้ตรวจราชการมณฑล…หากเราจำไม่ผิด ผู้ตรวจราชการมณฑลนั้นก็คือผู้ว่าราชการมณฑลในสมัยก่อน ตำแหน่งที่ดูเหมือนไม่ได้มีความสำคัญอะไรนี้จะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆเท่านั้น ตอนนี้ยมโลกกำลังขาดแคลนเจ้าหน้าที่ระดับสูง และมันก็กำลังต้องการใครบางคนมารับผิดชอบหน้าที่ในฐานะของจ้าวนรกแห่งยมโลก นั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงได้แต้มกุศลมากนัก”
แต่ไม่นานเขาก็ต้องขมวดคิ้ว “ไม่ นั่นก็ไม่น่าใช่เหมือนกัน มันจะต้องมีเหตุผลว่าทำไมยมทูตระดับสูงถึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากยมทูตระดับกลางหรือระดับล่าง”
การเอ่ยความคิดทั้งหมดออกมาเสียงดังช่วยทำให้กระบวนการคิดทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “สิ่งเดียวที่ทั้งสองรายการสุดท้ายมีเหมือนกันก็คือพวกมันไม่ได้ถูกจำกัดโดยขอบเขตของนครหรือตำแหน่งที่ตั้งทั่วไป กลับกัน พวกมันพุ่งความสนใจไปที่ภาพรวมของการพัฒนายมโลก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแต้มกุศลที่ได้รับถึงสูงแบบนี้!”
แววตาของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น หากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็คงจะยอดเยี่ยมมาก!
ประการแรก การก่อตั้งเส้นทางการค้าทางทะเลในปีหน้าจะต้องมอบแต้มกุศลจำนวนมากให้เขาอย่างแน่นอน!
นั่นจะเป็นการก้าวหน้าที่น่าเหลือเชื่อ! มันสามารถถือได้ว่าเป็นวินาทีประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้!
ประการที่สอง การจับกุมตัวราชาผีเองก็จะมอบผลประโยชน์มากมายให้กับเขา! เพราะอย่างไรแล้ว ราชาผีก็เคยถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของกงล้อแห่งสังสารวัฏ การจับตัวอีกฝ่ายจะต้องไม่ต่างอะไรจากการสร้างพิภพทั้งหกขึ้นมาใหม่..ไม่สิ หากจะพูดกันตามตรงความสำเร็จดังกล่าวอาจมอบมอบผลประโยชน์ที่มาก
กว่าที่ได้ในตอนนี้อีกด้วยซ้ำ! เผลอๆ เขาอาจจะได้แต้มกุศลมากพอจนสามารถทะลุคอขวดและก้าวสู่ขั้นฝู่จวินเลยก็ได้!
ใช่แล้ว!
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือของตัวเอง – เขาอยากรู้จริงๆว่าเขาจะได้แต้มกุศลเท่าไหร่สำหรับการทวงคืนยมโลกแห่งเก่าจากการจู่โจมของแมลงแห่งหายนะ?
แต่นี่ยังไม่ใช่ความคิดที่อิงตามความเป็นจริงนักสำหรับตอนนี้ ที่นั่นมีแมลงแห่งหายนะอยู่กว่าล้านตัว และยังไม่รวมกับราชาแห่งหายนะด้วย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับพวกมันในตอนนี้ และนั่นก็นำไปสู่ปัญหาถัดไปซึ่งก็คือ จนกว่าที่ยมโลกจะแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถสู้กับแมลงแห่งหายนะทั้งหมดได้ ยมโลกแห่งเก่าจะหลงเหลืออยู่สักเท่าไหร่เชียว…
หมอกหนาภายในหัวของเขาค่อยๆสลายหายไป ด้วยการกอดอกและหรี่ตาลง เขายังคงพูดความคิดของตัวเองต่อไป “พูดกันตามตรง เราควรจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการต้องการแต้มกุศล 5,000,000 แต้มเพื่อเลื่อนขั้นนั้นมากเกินธรรมดา ยมทูตทั่วไปของยมโลกอาจจะสามารถเลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรกได้หากโชคมากพอ แต่จำนวนแต้มกุศลที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการก้าวสู่ขั้นฝู่จวินนั้นสูงกว่ามาก เราน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้อกำหนดดังกล่าวไม่ใช่จำกัดอยู่ที่ความสำเร็จส่วนตัวอีกต่อไป”
เขาวางมือบนราวบันไดและมองดูกลุ่มเปลวไฟนรกลอยอยู่รอบๆจัตุรัสภายในเมืองชั้นใน ความคิดเขาชัดเจนแล้ว
เขาจะต้องขยายมุมมองของตัวเองจากการพุ่งเป้าไปที่ความสำเร็จส่วนตัวไปสู่ความสำเร็จของชาติ นั่นคือทางที่ดีที่สุดในการหาแต้มกุศลจำนวนมากให้กับตัวเอง!
“เอาล่ะ…เราคงจะต้องทดสอบข้อสันนิษฐานของตัวเองทีละอย่าง…” เขาสูดหายใจเข้าช้าๆเพื่อระงับความรู้สึกที่พุ่งพล่านของตัวเอง ก่อนจะหันหน้ากลับมาและเดินลงบันได “บางทีการก้าวสู่ขั้นฝู่จวินอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป”
………………………………………………….
เมืองชั้นใน ในเวลานี้มีวิญญาณอย่างน้อย 50 ตนนั่งเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบภายในหอประชุมขนาดใหญ่ บรรยากาศทั้งหมดค่อนข้างตึงเครียด และก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
พวกเขาทั้งหมดแต่งตัวแตกต่างกันออกไป – ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดสูททรงจีน ในขณะที่บางคนสวมชุดไว้ทุก ใบหน้าของคนทั้งหมดในเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือพวกเขาทั้งหมดต่างมีรัศมีของความสูงศักดิ์แผ่ออกมารอบตัว
ด้วยเหตุนี้ ความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจึงไม่ได้ทำหน้าที่อะไรมากไปกว่าการแยกพวกเขาออกจากเหล่าผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆเนื่องจากความมั่นใจที่โดดเด่น มันเป็นรัศมีที่เหล่าผู้นำย่อมพัฒนาขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คุ้นชินกับการมีอำนาจเหนือผู้อื่น
โถงที่พวกเขานั่งอยู่นั้นมีขนาดใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก พร้อมด้วยโคมไฟพระราชวังขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่เพื่อให้แสงสว่าง พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงตอน แต่ละแถวตอนมีที่นั่งอีกจำนวนมาก โต๊ะและเก้าอี้มากมายถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ ในขณะที่มีฉากกั้นที่เป็นภาพของภูเขาและแม่น้ำถูกตั้งไว้ด้านหลัง ทั่วทั้งห้องโถงสามารถรองรับที่นั่งได้มากกว่าร้อยที่นั่ง
ด้วยความที่ไม่สามารถทดต่อความเงียบเป็นเวลานานได้ ชายหัวโล้นวัยกลางคนๆหนึ่งก็หันไปเอ่ยกับชายที่นั่งอยู่ข้างๆตนเบาๆ “เหล่าเกอ ท่านคิดว่าท่านฉินจะเป็นคนอย่างไร?”
คนที่ถูกเรียกว่าเหล่าเกอคือชายร่างท้วมในวัยห้าสิบกว่า อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำตอบ “อย่างน้อยที่สุด ขัาสามารถบอกได้ว่าเขาคือคนที่ทำงานหนักคนหนึ่ง”
“แต่นอกเหนือจากนั้น ข้าไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ใจนัก เหมือนอย่างที่เจ้าและทีมของเจ้าในกระทรวงอุตสาหกรรม พวกเราจากกองยุทโธปกรณ์เองก็ไม่เคยเจอเขามาก่อนเช่นกัน แต่ข้ามั่นใจว่าพวกเขาสามารถบอกได้จากการอนุมัติของเขาว่าเขาได้อ่านรายงานที่พวกเราส่งไปทั้งหมดด้วยความละเอียดเป็นอย่างมาก เสี่ยวซวี”
เหล่าเกอพยักหน้าให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างประตู “เจ้าพร้อมหรือไม่?”
“นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรากับรัฐบาลใหม่ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้”
“ท่านวางใจได้” เสี่ยวซวีคือวิญญาณในช่วงยี่สิบปลายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังกำหมัดแน่นด้วยความกังวล แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปก็ยังคงนิ่งเรียบและสงบนิ่งดังเดิม “ทุกอย่างได้ถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว รัฐมนตรีเฉียนของกระทรวงมหาดไทยได้ดูแลการประชุมในครั้งนี้ด้วยตัวเอง มันจะไม่มีอะไรผิดพลาด”
ทุกคนที่มารวมตัวกันที่ห้องโถงต่างเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ หากพูดกันตามตรง ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบจนไม่ต่างอะไรไปกับการประชุมระดับมณฑลที่ถูกจัดขึ้นในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย!
ทันใดนั้น บานประตูก็ถูกเปิดออก และฉินเย่ก็ลอยเข้ามาในห้องโถงอย่างน่าขนลุกด้วยร่างยมทูตของตน สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับวิญญาณอีกห้าตนที่ตามเข้ามาติดๆ ซึ่งนั่นก็คือหวังเฉิงห่าว ซูตงเซวี่ย อาร์ทิส โนบูทาดะ และหยางเหยียนเจา
เหล่าวิญญาณที่มารวมตัวกันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับเล็กน้อยให้กับแขกกิติมศักดิ์ “ท่านฉิน” “หัวหน้า” “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจจะเยินยอใดๆ ทุกคำพูดที่เอ่ยล้วนมาจากใจจริงทั้งสิ้น
มันแทบจะเหมือนกับว่าปฏิกิริยาดังกล่าวได้ถูกฝังอยู่ภายในหัวของพวกเขาผ่านการกระทำซ้ำๆมานับครั้งไม่ถ้วน
“ตามสบาย เชิญนั่ง” ฉินเย่กดมือลง หัวใจของเขากำลังปั่นป่วนเป็นอย่างมากเนื่องด้วยรู้ดีว่าเหล่ารัฐมนตรีผู้นี้คือใคร!
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก เขาได้ทำงานอย่างหนักในการสำรวจสำมะโนประชากรของนครเผิงชิว แต่มันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาสามารถเลือกไข่มุกเม็ดงามเหล่านี้มาได้ เขากล้ายืนยันด้วยตัวเองเลยว่าทุกคนที่ถูกเลือกมาล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ซึ่งจะเป็นที่ต้องการในทุกๆสถานที่ที่พวกเขาไป
และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเป็นคนฉลาด ถึงแม้ว่าฉินเย่จะบอกให้พวกเขาตามสบายและนั่งลง แต่มันก็ไม่มีใครนั่งลงจนกว่าฉินเย่จะนั่งลงก่อน
“ข้าคือจ้าวนรกองค์ที่สามของยมโลก พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าท่านจ้าวฉินก็ได้” ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงนิ่ง ตั้งแต่ที่ได้เป็นผู้ปกครองยมโลก เขาก็ได้ผ่านศึกที่ช่องแคบสึชิมะ หลุมของโครงกระดูกนับพัน และแม้แต่สงครามอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทหารวิญญาณกว่าล้านนาย! เขาได้เห็นอะไรมากมายเกินกว่าจะตื่นเต้นกับการประชุมกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในโลกนี้
“ข้าให้ความสนใจแค่เพียงสิ่งเดียว และนั่นก็คือการลงมือทำ ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะจัดการกับกิจการเหล่านั้นอย่างไรในแดนมนุษย์ แต่ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้านำนิสัยข้าราชการที่เจ้าได้รับมาจากสังคมการทำงานที่นั่นลงมาใช้ที่ยมโลก พวกเราจะมีการสำรวจความคิดเห็นลับในทุกๆ 20 ปี ผู้ที่มีความสามารถจะได้รับการเลื่อนขั้น และผู้ที่ไม่มีควาสามารถจะถูกลดขั้น ทุกคน...” ฉินเย่ยิ้มบาง “ข้าหวังว่าข้าจะได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของพวกเจ้าในอีก 20 ปีข้างหน้า…”
มันเป็นคำพูดสั้นๆ
วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นต่างมองหน้ากันอย่างเข้าใจ หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉินเย่กำลังพยายามจะสื่อ แต่ผู้สูงวัยเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้อย่างไร?
ปฏิบัตินิยมคือทุกสิ่ง ท่านจ้าวฉินทรงไม่ต้องการนักพูด พระองค์ทรงต้องการเพียงผลลัพธ์เท่านั้น
“นี่เป็นการประชุมครั้งแรกของเรา” ฉินเย่เอ่ยต่อโดยไม่เว้นช่องว่าง “นครเผิงชิวได้กลับมาที่ยมโลกอย่างเป็นทางการ และการเปลี่ยนการปกครองก็ยอมนำมาสู่การแต่งตั้งหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ และรัฐมนตรีชุดใหม่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆจะต้องพบปะและทำงานร่วมกัน น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้ามีอะไรหลายๆอย่างต้องทำ ทำให้ข้าไม่สามารถเรียกประชุมได้ ขออภัยสำหรับการละเลยนี้”
“โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น” ผู้นำของข้าราชการทั้งหมดรีบเอ่ย “ทุกคนต่างมีหน้าที่และสิ่งที่ตนต้องรับผิดชอบ ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทุกคนในที่นี้ต่างก็ยุ่งมากจนแทบจะไม่มีเวลาได้นอนเช่นกัน”
หลายคนในที่ประชุมต่างหัวเราะออกมาเบาๆกับคำพูดดังกล่าว แม้แต่ฉินเย่เองก็ไม่เว้น “พูดกันง่ายๆก็คือยมโลกในเวลานี้มีจำนวนข้าราชการไม่เพียงพอ จุดประสงค์ในการประชุมของเราในวันนี้ก็เพื่อชี้แจงและปรับปรุงหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย ข้าจึงอยากจะถือโอกาสนี้ในการลดกระบวนการและระงับการประทับตราหรือการอนุมัติใดๆที่ไม่จำเป็นอีกด้วย ข้าไม่ต้องการทำตามสิ่งที่เราเห็นในแดนมนุษย์ ที่เอกสารเพียงฉบับเดียวจะต้องถูกส่งไปทั่วกระทรวงทั้งแปดก่อนที่จะได้รับการอนุมัติในที่สุด การรักษาเวลานั้นเทียบได้กับการมีประสิทธิภาพ นี่จะเป็นเวลาสำหรับการพูดถึงปัญหา ความคับข้องใจ หรือการชี้แจ้งทุกอย่าง เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจกระบวนการทำงานในอนาคตมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ข้าได้สั่งให้ทางฝั่งของพ่อครัวเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้แล้ว เมื่อการประชุมจบลง เราจะเคลื่อนตัวไปที่ห้องจัดเลี้ยง ซึ่งพวกเราจะได้ผ่อนคลายและทำความรู้จักกันให้มากข้ึน”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันไปพยักหน้าให้กับซูตงเซวี่ย หญิงสาวโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะรับช่วงต่อ “อย่างที่ท่านฉินได้เอ่ยไป ประสิทธิภาพคือทุกสิ่ง การก่อตั้งนครเผิงชิวคือโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงขอประกาศเริ่มต้นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลระดับมณฑลของยมโลก ณ บัดนี้”
“ลำดับแรกของการประชุม – ขานรายชื่อ“
นางคลี่ม้วนกระดาษออกและเริ่มอ่านมัน “อดีตผู้ว่าราชการลำดับที่ 11 แห่งมณฑลซานตง จางเจ้อกวง”
มือข้างหนึ่งถูกชูขึ้น ซูตงเซวี่ยเห็นมันและพยักหน้าให้อีกฝ่าย จากนั้นเจ้าของมือก็ลดมือของตนลง
“อดีตเลขานุการลำดับที่ 12 แห่ง มณฑลซานตง หลิวจือหลี่”
มืออีกข้างหนึ่งถูกชูขึ้น
“อดีตผู้ว่าราชการลำดับที่ 10 แห่งมณฑลซานตง จูเถา” “อดีตเลขานุการลำดับที่ 11 แห่ง มณฑลซานตง เจิงถงกวง” “อดีตอธิบดีกรมที่ดินและทรัพยากรแห่งมณฑลซานตง ฮวงหมิงเยว่” “อดีตรองอธิบดีกรมที่ดินและทรัพยากรแห่งมณฑลซานตง ซาหลี่หมิง” “อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงินแห่งมณฑลซานตง หวางอู๋” “อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินแห่งมณฑลซานตง เถาหรง” “อดีตอธิบดีกรมปฏิรูปและพัฒนาแห่งมณฑลซานตง หม่าหรงฮวา” “อดีตรองอธิบดีกรมปฏิรูปและพัฒนาแห่งมณฑลซานตง เจียงซือหยวน”
“อดีตเจ้าเมืองฉีโจว เมืองหลวงของมณฑลซานตง ว่านฉวน” “อดีตเลขานุการของเมืองฉีโจว โม่เกาหมิง” “อดีตผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลการตลาดของมณฑลซานตง เริ่นฟางเยวียน” “อดีตผู้อำนวยการแผนกการศึกษาของมณฑลซานตง ถังเจ่อเยวียน”
นางเอ่ยรายชื่อดังกล่าวทีละคน และเจ้าของชื่อแต่ละคนก็ยกมือขึ้นเพื่อแสดงการเข้าร่วมของพวกเขา ฉินเย่แย้มยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นเช่นนี้
ขงโม่เอ๋ย ขงโม่…เจ้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองได้พลาดอัญมณีที่ซ่อนอยู่ไปเสียแล้ว!
เจ้าปล่อยให้คนเหล่านี้หายตัวไปในหมู่ประชากรของนครชฺวีฟู่ได้อย่างไรกัน? เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ? และเจ้ากลับเลือกที่จะใช้ระบอบการปกครองที่มีอายุมากกว่าพันปีเนี่ยนะ? เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถเทียบได้กับความฉลาดของเหล่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อย่างนั้นหรือ?
เรากำลังพูดถึงการรวมตัวกันของผู้ที่มีพรสวรรค์ลำดับต้นๆในยุคสมัยของตัวเอง – ผู้ว่าราชการมณฑลและรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ! เจ้าคิดว่ามีคนตั้งกี่คนที่ยอมตายเพื่อจะได้พบเจอกับผู้คนเหล่านี้? แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกลับมารวมตัวกันภายใต้การปกครองของยมโลก! มันยังมีรายชื่อของเหล่าผู้นำระดับเทศบาลหรือระดับนครที่ยังไม่ถูกเรียกอีกตั้งหลายคน และมันก็เพียงเพราะว่าพวกเรายังไม่มีโอกาสได้มอบบทบาทที่เหมาะสมให้กับพวกเขา!
ข้อเท็จจริงที่ว่ามันมีเพียงผู้ว่าราชการมณฑลและเจ้าเมืองที่ถูกเรียกชื่อไม่ได้หมายความว่าฉินเย่ต้องการทำให้ทุกอย่างสำหรับผู้ว่าราชการนครดูเป็นเรื่องง่าย เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็รู้ดีว่าแม้แต่ผู้ว่าราชการนครใหญ่ๆเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลและอำนาจในการควบคุมผู้คนหลายแสนคนในคราวเดียว!
แต่ผู้ว่าราชการมณฑลนั้นเป็นหนึ่งในหัวกะทิอย่างไม่ต้องสงสัย – ผู้ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อยๆแม้ว่าจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดจนกระทั่งได้นั่งอยู่ ณ จุดสูงสุด มองดูประชากรกว่าสิบล้านคนภายในคราวเดียว!
ยมโลกกำลังกอบโกยรางวัลปันผลทางประชากร!
ตลอดระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา มณฑลซานตงมีผู้ว่าราชการและเลขานุการมากมายแค่ไหนกัน?
ไม่…ในความเป็นจริงแล้วมันยังมีอีก!
ฉินเย่เหลือบตาไปมองด้านข้างที่มีชายสิบคนที่สวมเครื่องแบบทหารในสมัยโบราณยืนอยู่ บริเวณอกของพวกเขาเต็มไปด้วยเหรียญตรามากมาย
มณฑลซานตงคือสถานที่ซึ่งผู้บัญชาการทหารยศจอมพลประจำการอยู่!
จริงอยู่ที่เหล่าจอมพลผู้มีชื่อเสียงของจีนจะถูกฝังไว้ที่สุสานในเมืองเยียนจิง แต่มันก็ยังมีแม่ทัพสองนาย นายทหารฝ่ายการเมืองสามคน และผู้บัญชาการกองพลอีกห้านาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง หรือที่รู้จักกันในชื่อของสงครามแห่งการต่อต้าน [1]
นี่คงจะเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้มาจากการแย่งชิงการควบคุมมณฑลซานตง!
ไม่…นี่เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น…
ดวงตาของฉินเย่หรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขาจ้องมองไปยังซูตงเซวี่ย วันนี้หัวใจของเขาเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ ในที่สุดเขาก็มีเวลาในการตรวจดูของที่ได้มากจากสงครามในการขยายอาณาเขตครั้งล่าสุด และทุกอย่างก็กำลังจะถูกเผยออกมา…
[1] นายทหารฝ่ายการเมืองนั้นไม่ต่างอะไรกับผู้นำทางการเมือง โดยทั่วไปแล้วพวกเขาคือหัวหน้าของกลุ่มในกองทัพ และมักจะรับผิดชอบในเรื่องของการศึกษาและอุดมการณ์ทางการเมือง