ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 449: นักยุทธศาสตร์และแม่ทัพผู้มากความสามารถ
บทที่ 449: นักยุทธศาสตร์และแม่ทัพผู้มากความสามารถ
วิญญาณทั้งหมดนั่งหลังตรงทันทีที่การขานชื่อเสร็จสิ้น ไม่มีใครสามารถปกปิดความประหลาดใจในแววตาของตนได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่คิดเลยว่าเหล่าผู้นำผู้มีชื่อเสียงของมณฑลซานตงจะมารวมตัวกันอยู่ภายในโถงประชุมแห่งนี้! มันมีแม้กระทั่งแม่ทัพและ นายทหารฝ่ายการเมืองจากช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง!
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาขณะที่ค่อยๆลุกยืนขึ้น
เขารู้ดีว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับบุคคลเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาหากเขาต้องการความร่วมมืออย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถปกปิดข้อมูลใดๆจากวิญญาณในสมัยปัจจุบันได้ เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดต่างต้องทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
เขาโบกมือเบาๆ และทันใดนั้นอารักษ์และเสมียนก็เดินเข้ามาในห้อง ประตูทางเข้าหลักถูกปิดลง และอาร์ทิสก็ปิดผนึกประตูด้วยเส้นผมของนาง สายตาของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดวูบไหวทันทีที่เห็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าคำพูดที่ฉินเย่กำลังจะพูดหลังจากนี้จะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
“ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสำหรับพวกเจ้ามากทีเดียว” ฉินเย่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่มันก็ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่จะต้องทำในยมโลกแห่งใหม่ พวกเจ้าคงจะมีคำถามมากมายติดค้างอยู่ในใจ วันนี้ ข้าหวังว่าข้าจะสามารถมอบความกระจ่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในยมโลกให้พวกเจ้าได้มากขึ้น”
วิญญาณหลายตนอดไม่ได้ที่จะลอบมองหน้ากัน แม้แต่เหล่านายทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาเป็นประกาย
แน่นอนว่าพวกเขามีคำถาม
อย่างเช่น ทำไมกองกำลังของนครเผิงชิวถึงไม่ถูกรวมเข้ากับกองกำลังกลุ่มใหญ่หลังจากที่พวกเขายอมจำนน?
นี่เป็นสิ่งที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก โดยธรรมดาแล้ว การพิชิตชาติๆหนึ่งมักจะตามมาด้วยการหลั่งไหลและแทรกซึมของกองกำลังและประชากรเพื่อกระจายตัวกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม จากนั้น หลังจากทำการสำรวจสำมะโนประชากรเหล่ากองกำลังฝ่ายตรงข้ามเสร็จสิ้น พวกเขาก็จะถูกแยกออกจากกันและกระจายตัวไปตามเมืองใหญ่ต่างๆเพื่อลดความเป็นไปได้ในการสมรู้ร่วมคิดและการก่อจลาจล
แต่ยมโลกกลับไม่ทำอะไรแบบนั้น
มันแทบจะเหมือนกับว่าในยมโลกมีนครอยู่เพียงแห่งเดียว และยมโลกก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทำในสิ่งที่ผิดไปจากปกติเพื่อบรรเทาความปั่นป่วนภายในหัวใจของประชาชนทั้งหมด การกระทำเช่นนี้มันไม่ปกติเลยสักนิด!
หากพูดกันตามตรง ที่เป็นข้อยกเว้นทางขนบธรรมเนียมเดียวในประวัติศาสตร์จีน หรือหากพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่สิ่งแบบนี้เกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่กลับไม่ได้เอ่ยออกมาโดยตรง กลับกัน เขาเริ่มเดินไปรอบๆห้องขณะที่เอ่ยอย่างใจเย็น “ข้ารู้ ด้วยตำแหน่งของพวกเจ้า พวกเจ้าคงได้เห็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ไปมากกว่าพวกเจ้า และพวกเจ้าก็คงจะเป็นหนึ่งในมนุษย์ไม่กี่คนที่รู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนที่วิญญาณร้ายถูกผนึกไว้โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญในอดีตด้วยซ้ำ”
“พวกเจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดยมโลกถึงได้ไม่ทำการอะไรสักอย่างตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา? พวกเจ้าสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดมันจึงเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น? พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมจำนวนครั้งในการเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติถึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา?”
เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทิ้งระเบิด “มันก็เพราะว่า…ยมโลกแห่งเก่าไม่มีอยู่อีกแล้ว”
พรึ่บ! ทันทีที่ฉินเย่เอ่ยเช่นนั้น ดวงตาหลายสิบคู่พลันจ้องมองมาที่เขาในทันที
เด็กหนุ่มยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ตรัสรู้และขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ยมโลกแห่งเก่าไม่มีอยู่อีกแล้ว ท่านยายเมิ่งไปพบข้าและเริ่มต้นการเดินทางโดยส่งมอบเศษตราจ้าวนรกให้กับข้า จากนั้น ข้าก็ได้พบกับตี้ทิง รวมถึงสมุดแห่งความเป็นตาย การเดินทางดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในที่สุดเราก็สามารถสร้างรากฐานให้กับยมโลกได้สำเร็จ จากทั้งหมดที่ข้าได้พูดมาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าอาจจะสามารถพอคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เห็นยมทูตตนอื่นๆอยู่รอบๆเลย”
ฉินเย่แหงนหน้าขึ้นมองเพดาน “นั่นก็เพราะว่าเราไม่มียมทูตในยมโลกอีกต่อไป”
“ตอนนี้ คนกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงข้าราชการศักดินาทั้ง 12 หรือที่รู้จักกันในชื่อของราชทูตทั้ง 12 นั่นเอง ซึ่งมีทั้ง จิวยี่ หยางจีเย่ อวี๋เชียน และคนอื่นๆ หยางจีเย่และ อวี๋เชียนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับยมโลก ในขณะที่จิวยี่กำลังนั่งอยู่ระหว่างกลาง แต่นอกเหนือจากนั้น เหล่าคนที่เหลือ รวมทั้งหลิวอวี้ ฮั่นฉินหู เกาฉางกง และข้าราชการศักดินาคนอื่นๆล้วนประกาศตั้งตนเป็นเอกราชทันทีที่พวกเขาได้รับรู้ถึงการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า!”
จิวยี่ หยางจีเย่ อวี๋เชียน... รายชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้แววตาของคนทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง หากเป็นผู้ที่ด้อยประสบการณ์อาจอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงหรือร้องออกมาอย่างตกใจ แต่มันกลับไม่มีผู้ใดในที่นี้มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเลยสักคน
ทันใดนั้นฉินเย่ก็กลับหลังหันและจ้องหน้าวิญญาณทั้งหมดด้วยแววตาที่ลุกโชน “และที่ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมก็คือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่สามารถนำราชาผีอีกสามตนไปกับเขาได้ ในขณะที่ตี้ทิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกเป็นเวลานาน แล้วแบบนี้ ยมโลกจะสามารถจัดการปัญหาในแดนมนุษย์ได้อย่างไรในเมื่อพวกเรายังไม่สามารถจัดการกับปัญหาของตัวเองได้ด้วยซ้ำ?”
“พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของราชาผีจากภายนอก และกองกำลังปฏิวัติที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน ทุกคน...ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะร่วมมือกันกับข้าเพื่อฟื้นฟูยมโลกให้กลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์อีกครั้ง! พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และตี้ทิงเองก็จะช่วยพวกเราในทุกวิถีทางที่พวกเขาสามารถทำได้ เป้าหมายหลักของพวกเราในตอนนี้ก็คือรวบรวมตราจ้าวนรก มีเพียงการมีสิ่งนั้นและสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในการครอบครองเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถสร้างยมโลกที่เรารู้จักขึ้นมาได้ และเมื่อถึงเวลานั้น มันก็จะไม่มีผู้ใดสามารถขวางทางเราได้!”
เงียบ
บรรยากาศไม่ได้ผ่อนคลายอีกต่อไป กลับกัน ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และเปลวไฟนรกในดวงตาของพวกเขาก็วูบไหวอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์ในยมโลกจะย่ำแย่เช่นนี้
พวกเขาถูกกำหนดมาให้อยู่เคียงข้างยมโลก
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นชาวจีน พวกเขาต่างรู้ดีว่าอัตราการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินั้นเพิ่มสูงขึ้นมากเพียงใดในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
แผ่นดินจีนเต็มไปด้วยความโกลาหลจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในแดนมนุษย์อีกแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ของเหล่าผู้ที่ยังมีชีวิต หรือเพื่อล้างแค้นให้กับเหล่าผู้ที่ถูกช่วงชิงชีวิตไป พวกเขาทั้งหมดจะต้องยืนอยู่เคียงข้างยมโลกไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม!
นี่คือวิธีการรับมือกับพวกระดับสูง เขาจะต้องโน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผลและไร้ช่องว่าง การเกลี้ยกล่อมคนเหล่านี้อย่างที่ทำกับประชาชนของนครเผิงชิวไม่มีทางได้ผล
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ชายสูงวัยที่แต่งกายในเครื่องแบบทหารก็ถอนหายใจออกมาและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “อย่างนี้ที่เอง หลานชายของกระหม่อม…ต้องตกเป็นเหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ การสืบสวนเองก็ไม่มีความคืบหน้าๆ…”
“หัวหน้า…” “เหล่าจ้าว…” วิญญาณตนอื่นๆที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปหาชายสูงวัยทันที แต่พวกเขาก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “อย่างที่หลายๆคนในที่นี้ทราบ ก่อนที่จะมีห้ากองบัญชาการยุทธบริเวณ แผ่นดินจีนเคยมีกองบัญชาการทหารอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดกอง ในตอนที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ข้าทำงานกับหน่วยสอบสวนพิเศษ ฉีโจว…น่าจะเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติน้อยครั้งที่สุดจากทั่วทั้งจีน แต่ถึงกระนั้น…”
เขาเหลือบมองฉินเย่ “ในที่สุดกระหม่อมก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดนั้นเป็นเพียงการจัดการกับผลที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สาเหตุ”
“ตราบใดที่ยมโลกยังคงตกอยู่ในความโกหล แดนมนุษย์จะไม่มีทางสงบสุข…” เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด ราวกับว่าคำถามที่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งมาโดยได้รับการแก้ไข จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “กระหม่อมเดาว่าพวกเราคงจะต้องจัดการเรื่องในยมโลกให้เสร็จเสียก่อน ทุกอย่างยังไม่จบลง สหายทุกท่าน เรามาทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดกันเถิด”
บรรยากาศภายในโถงประชุมคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย ขณะนั้นเอง ชายสูงวัยอีกคนหนึ่งที่มีเหรียญตรามากมายติดอยู่บนเครื่องแบบก็เอ่ยขึ้น “พูดได้ดี… สถานการณ์ในตอนนี้นั้นดีกว่าการปฏิวัติในสมัยก่อนมาก อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็มีนครและวิญญาณจำนวนมาก และเราสามารถพูดได้อีกว่าการป้องกันของนครแห่งนี้นั้นค่อนข้างแน่นหนาและไม่สามารถทำลายได้ ตราบใดที่เรามีฐานปฏิบัติการ พวกเราก็สามารถวางแผนการทุกอย่างได้อย่างมั่นใจ มันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เราค่อยๆพูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆไปทีละอย่าง”
“น่าเสียดาย–…” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้น “เวลาไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับเรา”
ชายสูงวัยเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านจ้าวฉินทรงหมายความว่าอย่างไร?”
ฉินเย่เดินผ่านชายชราโดยที่ยังคงเอามือไขว้ไปได้หลัง “จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกได้ติดตั้งผนึกคุ้มกันไว้รอบแผ่นดินจีนก่อนท่ีตนจะจากไป ในช่วง 150 ปีจากนี้ จะไม่มีโลกใต้พิภพของชาติใดกล้าเข้ามารุกรานอาณาเขตของแผ่นดินจีน แต่ทันทีที่ผลของผนึกดังกล่าวสลายไป…”
เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งและสูดหายใจเข้าช้าๆ “การป้องกันทั้งหมดจะถูกปลดออก และข้าก็เกรงว่าพันธมิตรแปดชาติแห่งโลกใต้พิภพอาจจะมาปรากฏตัวและเคาะประตูบ้านของเราอีกครั้ง”
พันธมิตรแปดชาติ? [1]
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมก็ส่งเสียงฮือฮา ในขณะที่เหล่าจ้าวเป็นคนแรกที่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ “พระองค์ทรงหมายความว่า…มันยังมีโลกใต้พิภพอื่นๆอยู่ภายนอกนั่นอีกอย่างนั้นหรือ?”
ยมโลกไม่ใช่โลกใต้พิภพเพียงแห่งเดียว?
“ถูกต้อง” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นในที่สุด “โลกใต้พิภพนั้นคล้ายกับแดนมนุษย์ที่ขอบเขตอำนาจของโลกใต้พิภพนั้นถูกจำกัดอยู่แค่ภายในอาณาเขตของตนเอง ในแดนมนุษย์มีประเทศอยู่กี่ประเทศ? พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมีศาสนาและตำนานของตัวเองทั้งสิ้น พวกเจ้า…คงไม่ได้คิดว่าโลกใต้พิภพของจีนจะปกครองเหนือโลกใต้พิภพทั้งหมด?”
“จนถึงตอนนี้ มีโลกใต้พิภพอย่างน้อยสิบแห่งที่ดำรงอยู่มาอย่างน้อยพันปี ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าทั้งหมดคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพญายมราช อานูบิส และแทนาทอสมาก่อน พวกเขานั้นมาจากโลกใต้พิภพของฮินดูสถาน อียิปต์ และอาร์โกสตามลำดับ โลกใต้พิภพเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างเงียบๆในส่วนต่างๆของโลก”
นางก้มหน้าลงเล็กน้อย “อธิบายอย่างนี้ก็แล้วกัน โลกใต้พิภพเหล่านี้มีความแข็งแกร่งที่เทียบได้กับพระกษิติครรภโพธิสัตว์เป็นอย่างน้อย ยมโลกของพวกเขาได้รับมรดกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าหลายพันปี และไม่มีฝ่ายใดที่มีกำลังน้อยกว่าเราในทุกๆทาง พวกเขาต่างมีทหารวิญญาณกว่า 100 ล้านนายภายใต้การบังคับบัญชา รวมถึงขั้นฝู่จวิน ขั้นตุลาการนรก และขั้นยมทูตขาวดำและนักล่าวิญญาณอีกมากมายมหาศาล! อสูรวิญญาณที่ได้รับการฝึกฝนอีกล้นหลาม หากพวกเราปล่อยให้พวกเขาเดินทัพมาที่นี่ แผ่นดินจีน...จะต้องไม่ต่างอะไรจากนรกบนดินอย่างแน่นอน!”
เงียบ
เงียบสนิท ทุกคนพูดอะไรไม่ออกมาขณะที่พวกเขากำลังสงสัยว่าการรุกรานของกองกำลังดังกล่าวนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ตอนแรกพวกเขาคิดว่ายมโลกกำลังฟื้นฟูไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นพวกเขาจะคาดหวังได้อย่างไรว่าจู่ๆอาร์ทิสจะบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความหายนะที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งยมโลกและแผ่นดินจีนในอีกไม่ช้าได้อย่างไรกัน?
“ทุกคน มันไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลมากจนเกินไปในตอนนี้” เสียงของฉินเย่ดังตัดผ่านความเงียบที่แสนจะบีบคั้น เขาตั้งใจที่บอกทุกคนให้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของยมโลก ไม่ใช่วางภาระไว้บนบ่าของอีกฝ่าย
เพราะอย่างไรแล้ว ภาระพวกนั้นก็มีแต่จะทำให้คนทั้งหมดคิดมาก ซึ่งมันจะเป็นโซ่ตรวจที่คอนขัดขวางกระบวนการตัดสินใจของพวกเขาเอง
ยมโลกเพิ่งเริ่มต้นเดินบนเส้นทางของตนเอง สิ่งที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้ก็คือความกล้าที่จะตัดสินใจและลงมือทำโดยปราศจากความลังเล! ไม่ว่าจะมีศัตรูหรือคู่แข่งมากเท่าไหร่ พวกเขาจะต้องมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้า! มันไม่มีที่ว่างสำหรับความหวาดกลัวหรือกังวลใดๆทั้งสิ้น
มันไม่ต่างจากการที่แผ่นดินจีนประกาศนโนบายปฏิรูป 30 ปีอย่างกล้าหาญเพื่อที่จะกำจัดสิ่งที่น่าอับอายในอดีตของตนเอง! ทุกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชาติย่อมมีค่าเสมอ
พวกเขาไม่สามารถจมอยู่กับภาระในอดีตและความกังวลเกี่ยวกับอนาคตได้ ภาระดังกล่าวสามารถดึงความสนใจของพวกเขาออกจากผลประโยชน์ที่อาจได้รับและทำลายความพยายามทั้งหมดได้!
“พวกเราสามารถแย่งชิงการปกครองของมณฑลซานตงมาได้ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากที่ก่อตั้งยมโลกแห่งใหม่ขึ้น เมืองหลวงของยมโลกนั้นตั้งอยู่ที่มณฑลอันฮุ่ย ด้วยการมีมณฑลซานตงเพิ่มเข้ามา พื้นที่อยู่ๆที่อยู่ระหว่างหสถานที่ทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นมณฑลเจียงซูและแม้แต่มณฑลอันฮุ่ยเองก็จะเป็นของเรา จากจุดนั้น…พวกเราสามารถเดินทัพไปทางตอนใต้และยึดครองมณฑลทั้งสี่ที่อยู่ติดกับชายฝั่งได้! จากนั้น โดยการมีตงไห่ทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่น ยมโลกก็จะสามารถเริ่มต้นบนเกมกระดานนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”
ใช่แล้ว มันคือการเริ่มต้นเท่านั้น
พวกเขาเพิ่มอยู่ในจุดเริ่มต้นของแผนการ 100 ปีสำหรับยมโลกแห่งใหม่เท่านั้น
“สิ่งที่เราจะต้องให้ความสนใจในเวลานี้ก็คือปูทางสำหรับอนาคต ดังนั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือวางรากฐานของนครเผิงชิวให้มั่นคง” ฉินเย่แย้มยิ้ม “ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพวกเราทั้งหมดต่างยุ่งกันมาก ยุ่งเสียงจนไม่มีเวลาได้พบกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับตอนนี้ ข้าอยากจะให้พวกเจ้าเลิกพูดถึงเรื่องอื่นและตามข้ามาเพื่อดูสิ่งที่เราได้รับมาจากสงครามก่อน ในขณะเดียวกัน มันก็จะเป็นโอกาสในการทำความรู้จักซึ่งกันและกัน รวมถึงรูปแบบของรัฐบาล จากนั้น พวกเราก็สามารถแยกย้ายกันกลับไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานต่างๆที่ต้องทำให้เสร็จ รวมถึงความยากลำบากต่างๆที่พวกเจ้าพบเจอ และกลับมาประชุมกันอีกทีในอาทิตย์หน้าเพื่อลงรายละเอียดกันมากขึ้น”
อาร์ทิสยังคงนิ่งเงียบขณะที่นางเอนหลังพิงกับประตูทางเข้าด้วยแววตาที่ค่อนข้างซับซ้อน
คนบางคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่าง…
ด้วยการมีนครเผิงชิวอยู่ภายใต้การปกครองของยโลก มณฑลซานตงก็พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว สิ่งกีดขวางเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือราชาผีและขงโม่ เพื่อจุดประสงค์ทั้งหมด ฉินเย่จะต้องทำงานร่วมกับมณฑลแห่งใหม่โดยสมบูรณ์
แต่มันต้องทำมากขนาดไหนกันล่ะ?
เด็กหนุ่มสามารถพูดจาอย่างฉะฉานแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าเหล่าคนระดับสูงและลดความกังวลของคนทั้งหมดได้ในเวลาที่อีกฝ่ายว้าวุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของนางอย่างสิ้นเชิง
“ยายเมิ่ง…ท่านได้เลือกคนที่เหมาะสมมากจริงๆ…” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและหลับตาลงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “จากไปอย่างสงบเถิด ข้ามั่นใจว่าท่านจะได้เห็นภาพที่แตกต่างออกไปในยมโลกหลังจากผ่านไปอีกร้อยปีอย่างแน่นอน”
มันจะกลายเป็นยุคสมัยใหม่ของยมโลก!
ยมโลกที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างโลกสมัยใหม่และยุคสมัยก่อน!
ตอนนี้นางมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
จากนั้น ทันทีที่ฉินเย่เอ่ยจบ อดีตผู้ว่าราชการลำดับที่ 11 แห่งมณฑลซานตง จางเจ้อกวงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้ม “กระหม่อมคือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดรายการสิ่งของที่ได้มาจากสงคราม และทุกอย่างก็พร้อมสำหรับการตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวซวี”
วิญญาณหนุ่มจากก่อนหน้านี้รีบเดินเข้ามาและโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม “คารวะท่านจ้าวฉิน กระหม่อมมีนามว่าซวีฉางโย่ว ผู้ช่วยลำดับที่หนึ่งของเลขานุการคนปัจจุบันของมณฑลซานตง กระหม่อมเองก็เป็นหนึ่งในวิญญาณกลุ่มแรกที่มาที่นครเผิงชิว และจะรับหน้าที่เป็นคนอ่านรายงานรายการทรัพย์สินทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่พยักหน้า และซวีฉางโย่วก็เอ่ยต่อ “หลังจากได้ใช้เวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาในการตรวจสอบสิ่งของที่ได้กลับมาจากสงคราม หากไม่นับรวมรายการทรัพย์สินที่อยู่ภายในคลังสมบัติของขงโม่แล้ว รายการทรัพย์สินทั้งหมดมีดังนี้”
“จำนวนวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ภายใต้อุตสาหกรรมต่างๆที่อยู่ภายใต้ยมโลกมีดังนี้ กองกำลังปฏิบัติการทางกฎหมาย – 470,000 ตน อุตสาหกรรมการเกษตรและการทำฟาร์ม – 200,000 ตน อุตสาหกรรมผ้าและเครื่องสวมใส่ – 240,000 ตน อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม – 530,000 ตน อุตสาหกรรมความงาม – 470,000 ตน อุตสาหกรรมเบาและเคมีภัณฑ์ – 1,340,000 ตน อุตสาหกรรมสรรพาวุธ – 150,000 ตน…”
“ทั้ง 17 อุตสาหกรรมมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญรวมอยู่ทั้งสิ้น 3,420,000 ตน พระองค์สามารถตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”