ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 454: สมบัติของราชันย์วิญญาณ
บทที่ 454: สมบัติของราชันย์วิญญาณ
มันมีบางอย่าง…
มันมีบางอย่างอยู่จริงๆ!
ตุลาการนรกทั้งสองต่างจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ – ขั้นพระยม…ในที่สุดวัตถุหยินขั้นพระยมก็ปรากฏตัวขึ้นนับตั้งแต่การล่มสลายของยมโลก! นี่มัน…เหมือนกับการติดตั้งรถแข่งด้วยไนตรัสเพื่อเร่งเครื่องแซงคนอื่นเลยนะ!
“เดี๋ยวก่อน!” ฉินเย่เป็นคนแรกที่ได้สติ เขาตีตัวเองอย่างแรกและพยายามสงบใจลง “มันมีบางอย่างผิดปกติ…พวกเรากำลังพูดถึงการปรากฏตัวของวัตถุหยินขั้นพระยม แต่เหตุใดข้าถึงไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้?”
และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่อาร์ทิสเองก็กลับมาได้สติเช่นกัน นางเพ่งพินิจวัตถุหยินตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้…แต่หากจะให้เดาก็คงอาจจะเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าของของมันได้ถูกปัดเป่าให้ขึ้นสวรรค์โดยพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ และได้สูญเสียพันธะเชื่อมต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วัตถุหยินผสานน่าจะสูญเสียการทำงานของมันไปแล้ว…”
“เจ้ากำลังจะบอกว่ามันยังสามารถใช้งานได้อยู่อย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ไม่ ถ้าเป็นวัตถุหยินผสาน หรือที่รู้จักกันในนามวัตถุหยินดั้งเดิม มันมักจะมีอยู่และสลายไปพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ ผู้ใดก็ตามที่สัมผัสวัตถุหยินเหล่านั้นจะได้เห็นจุดที่ผู้เป็นเจ้าของอยู่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่หากผู้เป็นเจ้าของยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ จุดใดของโลกทั้งสาม วัตถุหยินจะไม่มีทางสูญเสียอำนาจในการทำงานของมันเป็นอันขาด”
หมายความว่ามันไม่ใช่วัตถุหยินดั้งเดิม… ฉินเย่ถอนหายใจออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็อยากจะตบหน้าตัวเอง
ถ้าไม่ใช่แล้วอย่างไร?
ไม่ว่าอย่างไร วัตถุหยินขั้นพระยมก็วางอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว! สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาทำได้แค่ฝันถึงเท่านั้น! หากพูดกันตามตรง ในอดีต เขาคงจะเสียสติไปแล้วในตอนที่เห็นวัตถุหยินขั้นตุลาการนรก ดังนั้นมันมีสิทธิ์อะไรที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจกับวัตถุหยินขั้นพระยมตรงหน้า?
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆ เปลี่ยนร่างเป็นสายลมที่พุ่งไปข้างหน้า จากนั้น ด้วยแขนที่สั่นเทา เขาจับเข้าที่ปลายหอกและดึงมันขึ้นมาสุดแรง
ครื่นนนน...แท่นหกเหลี่ยมพังทลายในทันที เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่มีสิ่งใดไปมากกว่าส่วนปลายของหอก อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวัตถุหยินที่ไม่สมบูรณ์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้—…”
อาร์ทิสกรีดร้องออกมากลางประโยคและรีบวิ่งกลับไปที่ห้องในถ้ำก่อนจะชะโงกหน้าออกมาดูฉินเย่ด้วยร่างที่สั่นเทาของนาง
เมื่อครู่นี้ นางได้ยินเสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังมาจากด้านล่าง มันเงียบสนิท แต่นางกลับรู้สึกว่ามันดังก้องอยู่ในหูของตัวเอง
เสียงร้องนั้นแผ่วเบาและช่างฟังดูห่างไกล แต่มันกลับมีอำนาจจนดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้วิญญาณที่ได้ยินเสียงนี้ทั้งหมดยอมจำนนได้
มันกระตุ้นความกลัวจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ครอบงำทุกสรรพสิ่งด้วยอำนาจแห่งสายเลือด
“นะ นี่… นี่มัน…” ร่างทั้งร่างของนางสั่นระริกขณะที่นางจ้องมองไปยังฉินเย่ เพราะตอนนี้ร่างของเด็กหนุ่มกำลังถูกห่อหุ้มด้วยพลังหยินสีขาว ก่อตัวเป็นชุดเกราะเก่าๆและได้รับความเสียหายจากสมัยราชวงศ์ฮั่น และมันยังทำให้สายตาของฉินเย่ล้ำลึก สงบนิ่ง และดูสง่างามมากกว่าเดิม
นี่จะต้องไม่ใช่โก่วต้านที่นางรู้จักอย่างแน่นอน!
เส้นผมมากมายของนางพุ่งออกไปยังทางเข้าของห้องที่นางอยู่และปิดมันจนมิดชิด ร่างของอาร์ทิสสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่นางเอนหลังพิงกับผนังของห้องอย่างแรง “ราชันย์วิญญาณทั้งหก… ราชันย์วิญญาณทั้งหกไม่ผิดแน่!!!”
“และเขาก็คือคนเดียวกันกับที่ผนึกข้าไว้ในส่วนลึกของยมโลกในอดีต! เขาคือผู้ที่ทำโทษข้า!”
น่าเสียดายที่ฉินเย่ไม่สามารถได้ยินเสียงกรีดร้องของนางอีกต่อไป
ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ภายในภวังค์ แทบจะเหมือนกับว่าโลกโดยรอบมืดไปชั่วขณะ จากนั้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเอง…กำลังอยู่ในสนามรบ
และมันก็เป็นสนามรบที่มีทหารอย่างน้อย 100,000 นาย
ทหารบางนายสวมเพียงชุดเกราะหนังธรรมดา แต่ที่มากกว่าก็คือจำนวนของผู้ที่ไม่ได้สวมเกราะ คนทั้งหมดต่างกวัดแกว่งหอกหรือกระบี่ของตัวเอง ตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญขณะที่ฉีกกระชากคอของศัตรู ความหายนะปกคลุมไปทั่วทั้งสนามารบ พื้นดินเกลื่อนไปด้วยซากศพและกะโหลกเปื้อนเลือด
ผืนแผ่นดินถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มจากเลือดที่ไหลริน
ฉินเย่มองไปรอบๆสนามรบที่น่าสะพรึงกลัวจากมุมสูง และทันใดนั้น เขาก็จ้องชะงักไป ก่อนจะมองไปยังผืนธงที่ปลิวไสวไปในอากาศอีกครั้ง
หากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว การต่อสู้ระดับนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างสองกองกำลังใหญ่
แต่มันไม่ใช่
กองกำลังทั้งหมดดูเหมือนจะกำลังไล่ล่าอะไรบางอย่าง และมีเพียงส่วนเล็กๆของมันเท่านั้นที่ดูเหมือนว่ากำลังเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ราวกับต้องการจะล้อมรอบเป้าหมาย ในขณะที่ส่วนที่เหลือเพียงเดินทัพตามไปติดๆ ผืนธงทั้งหมดล้วนเป็นสีดำ และมีคำว่า ‘เฉา’ ปักอยู่อย่างชัดเจน
ที่นี่มันที่ไหนกัน?
สายตาของเขาไล่ตามเหล่าทหารและหยุดลงร่างของผู้ที่กำลังถูกไล่ล่า และเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นร่างสีแดงขาวกำลังพยายามสลัดการไล่ตามของคู่ต่อสู้
เขากำลังขี่ม้าสีขาว และร่างทั้งร่างเป็นสีแดง – ไม่ใช่เพราะมันคือสีดั้งเดิมของชุดเกราะของเขา แต่มันเป็นเพราะชุดเกราะที่สวมอยู่ได้ถูกย้อมด้วยสีเลือด ผ้าคลุมของเขาฉีกขาด ดาบยาวถูกห้อยอยู่ที่ข้างเอว ในขณะที่หอกในมือถูกเหวี่ยงไปมาอย่างเชี่ยวชาญจนดูราวกับการร่ายรำของมังกรในทุกครั้งที่เขาแทงศัตรู มันดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสลัดจากกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่ว่ากองกำลังของตระกูลเฉาจะทำอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางชายผู้นี้ได้เลยสักนิด!
กองกำลังตระกูลเฉาพยายามจะสร้างกองกำลังโล่ข้ึนเพื่อขัดขวางอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว แต่ชายผู้นี้ก็มักจะปลดปล่อยเพลงหอกที่ดูเหมือนจะพุ่งผ่านช่องว่างที่เล็กที่สุดไปได้ราวกับอสรพิษ ก่อนจะทิ่มแทงอุปสรรคทั้งหมดและสร้างเส้นทางสีแดงฉานเส้นใหม่ให้กับตัวเองในที่สุด
“เชี่ย…” ฉินเย่จ้องมองไปยังร่างดังกล่าวราวกับเห็นผี กวีของหลี่ ไป๋แว่บเข้ามาในหัว – ‘อานม้าสีเงิน พุ่งทะยานดั่งดาวตก คร่าหนึ่งชีวิตในทุกๆสิบย่างก้าว เดินหน้าไปหลายพันไมล์’ เขาเคยคิดว่าบทกวีของหลี่ไป๋นั้นเป็นเพียงจิตนาการของเจ้าตัว แต่…มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่?!
ยิ่งกว่านั้น นี่มันไม่ใช่ ‘คร่าหนึ่งชีวิตในทุกๆสิบย่างก้าว’ ด้วยซ้ำ… แต่มันคือคร่าสิบชีวิตทุกๆหนึ่งก้าวต่างหาก! ดูจากพื้นดินแดงฉานที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังสิ! เผลอๆอีกฝ่ายอาจจะสังหารไปมากกว่าร้อยคนแล้วก็ได้!
ทันใดนั้นเอง ชายคนดังกล่าวก็หันหลังกลับมา
“พระเจ้า…” หัวใจของฉินเย่หยุดเต้นไปชั่วขณะ – ไม่น่าเชื่อ…
คิ้วคมเข้มและแววตาอันสุขุม ร่างกายสูงใหญ่กำยำ เขานี่มันคือยากระตุ้นอารมณ์เดินได้ชัดๆ… แล้วแบบนี้ผู้อื่นจะสามารถหุบขาของตนได้อย่างไรเมื่อเห็นภาพนี้?!
เขาเกลียดคนที่หน้าตาหล่อเหลาแบบนี้ที่สุด!!!
ยกตัวอย่างเช่นคนอย่างหวังเฉิงห่าวและหลินฮั่น
ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังจะสบถออกมา บางสิ่งบางอย่างก็เข้ามาในสายตาและทำให้เขาต้องมองไปยังกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกของชายผู้นั้น–… ไม่ใช่ เขาหมายถึง สิ่งที่อยู่บนเกราะบริเวณอก
มันคือร่างของเด็กทารกที่ถูกห่อด้วยผ้า
เด็กทารกที่ยังมีชีวิต!
สายลมที่รุนแรงและการนองเลือดรอบตัวของทารกทำให้เด็กน้อยต้องร้องออกมาเสียงดังลั่น ร่างทั้งร่างของชายบนหลังม้าเต็มไปด้วยบาดแผล แต่จุดเดียวที่ยังคงไม่ได้รับความเสียหายใดๆก็คือพื้นที่บริเวณอกของเขา
“นี่มัน…” เขาจ้องไปยังนักรบผู้กล้าตรงหน้าเขม็ง “เตียวหยุน?! จูล่ง?! หนึ่งในราชันย์วิญญาณทั้งหก?!! นี่คือวัตถุหยินของเขาอย่างนั้นหรือ?!”
“นี่คืออาเต๊า บุตรชายของเล่าปี่?!” [1]
“ให้ตายเถอะ…” เขาจ้องมองภาพตรงหน้าและพึมพำออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “นี่คือ…ศึกสะพานเตียงปันเกี้ยว?” [2]
ตู้ม!!
ทันทีที่เขาพูดถึงศึกสะพานเตียงปันเกี้ยว ภาพตรงหน้าของเขาก็พังทลาย และทั้งหมดก็สลายหายไปราวกับกลุ่มควัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็พบว่าตัวเองยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ถือปลายหอกไว้ในมือ เขายังสามารถได้กลิ่นจางๆของสนิมมาจากมันอีกด้วย
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็มองไปที่ปลายหอกในมือด้วยแววตาเหม่อลอยและเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ “นี่มันอะไรกัน?”
“นี่คือ…วัตถุหยินดั้งเดิมของราชันย์วิญญาณทั้งหก…” เสียงแหบพร่าเอ่ยตอบจากด้านในถ้ำ ฉินเย่มองไปก่อนจะพบว่าตอนนี้มีรอยแตกปรากฏขึ้นบนกำแพงเส้นผมที่ได้ปิดผนึกทางเข้าเอาไว้ อาร์ทิสมองดูปลายหอกด้วยความหวาดกลัวในแววตา “หากข้าเดาไม่ผิด นั่นจะต้องเป็นวัตถุหยินดั้งเดิมของท่านจูล่ง หนึ่งในราชันย์วิญญาณทั้งหก หอกเงินแห่งความกล้าของมังกร ไม่ผิดแน่…”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าตกตะลึง “วัตถุหยินดั้งเดิม? เจ้าหมายความว่านี่คือวัตถุหยินผสานของจูล่ง?”
อาร์ทิสพยักหน้า เส้นผมของนางเป็นสีขาวมาโดยตลอด และตอนนี้มันก็เริ่มกลับมาเป็นสีดำเข้มดังเดิม นางเอ่ยออกมาเสียงเบา “นอกจากนี้…ข้อเท็จจริงที่ว่าวัตถุหยินดั้งเดิมชิ้นนี้ยังอยู่บอกเราว่า…ท่านจูล่งยังคงอยู่ในที่แห่งหนึ่งในโลกทั้งสาม!”
เงียบ
ไมมีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
ทั้งอาร์ทิสและฉินเย่ต่างตกตะลึงโดยความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อสันนิษฐานดังกล่าว
หนึ่งในราชันย์วิญญาณทั้งหก ตัวตนขั้นพระยม ยังคงมีชีวิต?
ที่ผ่านมา…มันยังมีดวงตาอีกคู่หนึ่งที่คอยเฝ้าดูการพัฒนาของแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพมาโดยตลอด?
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ฉินเย่ก็ตะโกนออกมา “เป็นไปไม่ได้! หากจูล่งยังอยู่ เขาไม่มีไม่รู้ข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกแห่งใหม่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้วเป็นแน่! และหากมันเป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาถึงไม่แม้แต่จะแวะมาเลยเล่า? เว้นก็แต่…เขาคิดที่จะก่อกบฏ?”
“ไม่!!” ดวงตาของอาร์ทิสลุกโชนด้วยความโกรธและนางก็เอ่ยแทรกฉินเย่ทันที “ท่านวีรบุรุษที่รักของข้าไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่!! ท่านช่วยให้เกียรติเขาบ้างได้หรือไม่ก่อนที่จะพูดอะไร?!!”
เกิดความเงียบขึ้นอย่างกระทันหัน
ความเงียบที่น่าอึดอัด
“วีรบุรุษที่รัก?” ความคิดของฉินเย่ยังคงติดอยู่ที่คำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย “เจ้าช่วยพูดมันอีกทีได้หรือไม่?”
“มีอะไรกัน?!! เหตุใดข้าต้องพูดอีกรอบด้วย?!” แก้มของอาร์ทิสแดงก่ำ หากพูดกันตามความจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่เห็นนางเป็นแบบนี้ ใบหน้าของนางดูไม่ต่างอะไรกับสีที่ถูกระบายลงบนหน้าของตุ๊กตายางเลยสักนิด
นางพยายามควบคุมน้ำเสียงที่สั่นเทาของตัวเองและตะโกนออกมาจนแทบจะเหมือนกับประกาศกร้าว “ท่านจูล่งคือวีรบุรุษอันดับหนึ่งของยมโลก!! ท่านรู้หรือไม่ว่ามีวิญญาณสาวตั้งกี่คนที่ต้องคอยตามข่าวทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา? แม้แต่หญิงสาวแห่งตระกูลขง ตระกูลหลี่แห่งราชวงศ์ถัง ตระกูลจ้าวแห่งราชวงศ์ซ่ง ล้วนติดตามท่านจูล่งทั้งสิ้น! ทำไม? ท่านคิดว่าข้าไม่เคยอยู่ในวัยสาวหรืออย่างไร?! หญิงแก่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีวีรบุรุษต้นแบบในใจหรืออย่างไรกัน?!”
ฉินเย่พยักหน้า เขาเข้าใจแล้ว
ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าทำแม้กระทั่งเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าเป็นหญิงแก่บ่งบอกถึงความจริงของประโยคเหล่านี้เป็นอย่างดี จะว่าไป อาร์ทิส เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองค่อนข้างนอกรีต? ที่ผ่านมากว่า 400 ตอน เจ้าทำตัวเหมือนเดิมมาโดยตลอด กดขี่ ดูถูกข้าด้วยความพูดอันโหดร้าย ผู้ใดจะไปคิดว่าเจ้าจะมาเปิดเผยด้านนี้ของเจ้าในวันนี้?
เจ้า จากคนทั้งหมด!
ข้อเท็จจริงที่ว่าฉินเย่เพิ่งค้นพบเสี้ยวของความลับที่สำคัญเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาสามารถเจาะลึกเข้าไปในใจของอาร์ทิสได้ มันคงจะไม่ใช่นิสัยของเขาหากจะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกระแอมออกมาเบาๆ และเอ่ยออกมา “อย่าพูดราวกับว่าเขาเคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตา… ดูเอวและขาที่ใหญ่โตของเจ้าด้วย… แม้แต่ข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะรีบหุบขาอย่างรวดเร็ว…”
“ท่าน! มัน! สารเลว!!!!” อาร์ทิสพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่ลุกโชนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?! กล้าดีอย่างไรถึงเอาตัวเองไปเทียบกับท่านจูล่งและเอ่ยออกมาเช่นนี้?! พวกเรากำลังพูดถึงยากระตุ้นอารมณ์เดินได้! ศูนย์รวมของมัดกล้าม! คนที่อ่อนแออย่างท่านจะสามารถเทียบชั้นกับท่านพี่จูล่งที่รักได้อย่างไร?!!!”
อุ๊บส์… ท่านพี่จูล่ง… ดีมาก... ฉินเย่แทบจะหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างกับว่าที่สามีของตัวเองในอนาคตอย่างไรเมื่อเขาได้ยินคำพูดแบบนี้ของเจ้า?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าหนีอย่างอายๆก่อนจะกระซิบตอบเสียงเบา “ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดว่าที่สามีในอนาคตของข้า…จะเป็นเขาผู้นั้นไม่ได้?”
WTF?!
ฉินเย่เผลอขดตัวพร้อมทำสีหน้าขยะแขยงทันที
“บางทีสาเหตุที่ท่านพี่จูล่งยังคงต่อเพื่อที่จะให้ได้อยู่ในโลกใต้พิภพต่อไปอาจเป็นเพราะว่าเขารู้ว่าข้ายังอยู่ก็ได้…”
น่าขยะแขยง!
คลื่นไส้!
เขาขนลุกไปหมดแล้ว!!
ฉินเย่แค่นหัวเราะ “แต่พอมาลองคิดดู เจ้าก็มีเพียงศีรษะเท่านั้น นั่นจะไม่เป็นการสร้างความลำบากให้ท่านพี่จูล่งของเจ้าหรืออย่างไร? เขาคงไม่สามารถที่จะ–… ข้าหมายถึง เขาจะเริ่มจากตรงไหนกัน? เจ้าคิดว่าเขาต้องการแค่คนที่เก่งเฉพาะ…ตวัดลิ้นไปมาอย่างนั้นหรือ?”
“ออก! ไป! เดี๋ยว! นี้!!!!” อาร์ทิสคำรามออกมาด้วยความโกรธ และฉินเย่เองก็สามารถบอกได้ว่าตนเองเพิ่งไปสะกิดจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ…
หึหึ… เขาทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…
สามนาทีต่อมา ในที่สุดอาร์ทิสก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้อีกครั้ง “ท่านน่ะ รู้ถึงความถามที่แฝงอยู่ในสิ่งเหล่านี้หรือไม่?”
แน่นอนว่าเขารู้!
ฉินเย่หยุดเรื่องคำพูดถากถางทั้งหมดและลูบคามของตนขณะที่เริ่มจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง
เหตุใดปลายหอกของหอกเงินแห่งความกล้าของมังกรถึงมาอยู่ในการครอบครองของขงโม่?
ที่ตระกูลขงส่งขงโม่ออกมา ก็เพราะเรื่องจูล่งอย่างนั้นหรือ?
นอกจากนี้ ทำไมวัตถุหยินดั้งเดิมถึงแยกจากผู้เป็นเจ้าของ? นี่มันมีเรื่องบ้าอะไรเกิดขึ้น?
“มันมีคำตอบที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียว” ฉินเย่จ้องมองกลับไปยังส่วนลึกของถ้ำอีกครั้ง ด้วยความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ทิ้งบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญมากเอาไว้ที่นี่ “คำตอบของเรื่องลึกลับทั้งหมดจะต้องถูกซ่อนอยู่ไว้ในราชสารลับนั้นเป็นแน่”
เพราะอย่างไรแล้ว… ราชสารลับฉบับนี้คือหนึ่งในจุดประสงค์หลังของการเนรเทศขงโม่ออกจากยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย!
ตระกูลขงเองก็ยอมทำแม้กระทั่งมอบพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา และวัตถุหยินกว่า 30 ชิ้นมาเพื่อใช้สำหรับภารกิจในครั้งนี้!
“ข้าเริ่มมีความรู้สึกว่ามันมีความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างถูกซ่อนไว้ภายในราชสารลับฉบับนี้! อาร์ทิส…” เขาสูดหายใจเข้าช้าๆและเหลือบมองอาร์ทิส “รีบนำดอกสามชาติสามภพนี้ไปให้ตี้ทิง ข้าต้องการการตอบรับภายในอีกสามเดือน”
“วางใจได้!” อาร์ทิสเอ่ย “เพราะอย่างไรแล้ว ท่านสามารถมั่นใจได้เลยว่าข้านั้นอยากหาเบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของท่านจูล่งเป็นที่สุด!”
[1] ชื่อที่แท้จริงของเด็กทารกคือหลิวซาน/เล่าเสี้ยน
[2] โจโฉได้นำกองกำลังทหาร 5,000 นายปะทะกับเล่าปีและไล่ล่ากองกำลังของเขา ในขณะที่เล่าปี่ได้อพยพไปก่อนแล้ว จู่ลงนำพาบุตรชายของเล่าปี่ หลิวซาน และภรรของเล่าปี่ไปยังที่ปลอดภัย