ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 455: ข่าวจากแดนมนุษย์
บทที่ 455: ข่าวจากแดนมนุษย์
การปลดล็อกสถานะของ ‘วิญญาณมากตัณหา’ ได้สำเร็จส่งผลให้ไอคิว(IQ)ของอาร์ทิสเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่ความสามารถของนางเองก็ดูเหมือนว่าจะพุ่งสูงขึ้นไปสู่ระดับใหม่ ก่อนที่ฉินเย่จะสามารถเอ่ยตอบอะไรออกไป นางก็เปลี่ยนร่างเป็นสายลมและพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที
งี่เง่า!
ฉินเย่คิดอย่างดูถูก – เจ้าคิดว่าเจ้าตัวเองกำลังมีโอกาสในการเป็นวีรสตรีของบุรุษผู้ตกทุกข์ได้ยากหรืออย่างไรกัน? นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ เชื่อข้าเถิด เจ้าคิดว่าคนอย่างจูล่งจะสนใจหรืออย่างไรว่าพวกแฟนๆของเขาจะคิดอย่างไร? ทั้งหมดเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น! บุคลิกภายนอกที่พวกเขาสร้างขึ้นและรักษาเอาไว้!
“แต่…มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น…” ฉินเย่ครุ่นคิดถึงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะมองไปรอบๆถ้ำที่ว่างเปล่าอย่างครุ่นคิด “ลำดับแรก สิ่งที่เราสามารถแน่ใจได้ก็คือจูล่งจะต้องได้รับพระราชกฤษฎีกาลับ หรือไม่ก็ประสบกับเรื่องร้ายบางอย่าง จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกจะต้องรู้เรื่องนี้ แต่ไม่สามารถรู้ถึงสิ่งที่ตระกูลขงพยายามจะทำลับหลังตน”
“จ้าวนรกองค์ที่สองคงไม่รับรู้ถึงความน่ากลัวถึงสิ่งที่เรียกว่าปราชญ์ของราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หมิง เขาจะต้องประเมินตระกูลขงต่ำเกินไป ก่อนจะมาได้สติในภายหลังเมื่อเขาค้นพบถึงการหายไปของราชสารลับ และบังเอิญว่าเหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันกับการขึ้นสวรรค์ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ และเมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงที่กำลังเกิดขึ้นกับยมโลก จ้าวนรกองค์ที่สองจึงตัดสินใจและมองดูการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าโดยไม่ลงมืออะไรทั้งสิ้น”
หลังจากครุ่นคิดต่ออีกพักหนึ่ง ฉินเย่ก็พยักหน้า “มันฟังดูสมเหตุสมผล แต่น่าเสียดาย…ที่มันยังเป็นเพียงการตั้งข้อสันนิษฐานเท่านั้น หลักฐานเดียวที่เรามีในตอนนี้ก็คือทุกอย่างดูเหมือนจะตรงกับช่วงเวลาของเหตุการณ์ทั้งหมด แต่…”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “เราไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่…ทำไมเราถึงต้องพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองด้วย? มันมีแต่จะตอบสนองต่อความอยากรู้ของเราเท่านั้น นอกจากนี้…ทุกอย่างก็เป็นอดีตไปแล้ว”
“สิ่งที่เราควรทำก็คือสนใจกับคำถามที่ว่าตระกูลขงตั้งใจจะทำอะไรที่นี่กันแน่?”
“ประการแรก เรารู้ว่าพวกเขาส่งขงโม่มา อีกฝ่ายคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะถูกส่งมายังลิมโบโดยอ้างว่าถูกเนรเทศ ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ที่ถูก ‘ขับไล่’ มาสู่ลิมโบ ในฐานะของผู้ที่กระทำบาปอย่างมหันต์ในช่วงชีวิตของตน เขาได้รับมอบพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา… ฮ่าๆๆๆๆๆ… ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เราจำเป็นจะต้องหาเบาะแสต่อ บางที เราอาจจะได้รู้สึกจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาจากการเปิดราชสารลับก็เป็นได้”
เขาพยักหน้าและหมุนตัวเพื่อเตรียมจะเดินจากไป ในขณะนั้นเอง ประกายแสงสีทองอ่อนๆก็สว่างขึ้นที่หว่างคิ้ว
เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งและพยายามเพ่งความสนใจไปที่แสงสีทองดังกล่าว ทันใดนั้น ร่างที่ดูเป็นกังวลก็ปรากฏขึ้นข้างๆเขา
มันคือร่างของอู๋เหวินชิ่ง รองอธิบดีของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองหวู่หยาง นี่คือตราผนึกที่ฉินเย่ทิ้งไว้บนประตูบ้านของเขาในแดนมนุษย์ หากมีผู้ใดมาเคาะประตู เขาก็จะสามารถมองเห็นและได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม จนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองหวู่หยางส่งคนมาเรียกเขา
แต่มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เขาได้หายจากการปฏิบัติหน้าที่ไปเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว มันนานกว่าที่เขาได้ให้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก
“คุณฉินครับ!” เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความร้อนรนของอู๋เหวินชิ่งดังขึ้นภายในหัวของเขา “ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ค่อนข้างวิกฤตภายในเมืองหวู่หยาง พวกเราขอให้คุณออกจากการแยกฝึกตนทันทีหากเป็นไปได้! พวกเรายังไม่ได้เรียกขอกำลังเสริมจากภายนอก คุณฉิน ได้โปรดตอบกลับภายในเร็ววัน! ทางเราจะส่งคนมาเรียกคุณอีกในวันพรุ่งนี้นะครับ!”
ดวงตาของฉินเย่หรี่เล็กลง
สถานการณ์วิกฤต… เมืองหวู่หยาง นั้นเป็นเมืองชายฝั่งที่อยู่ทางตอนบนของมณฑลซานตง…
ราชาผี!
นี่เขาเริ่มลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ? เขารับรู้สึกสถานการณ์ของขงโม่แล้วอย่างนั้นหรือ? นี่เขาพยายามจะสร้างข้อได้เปรียบในสถานการณ์นี้แล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าก่อนหน้านี้เขาหวาดกลัวขงโม่หรืออย่างไร? ไม่…ราชาผีเองก็กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองเช่นกัน และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความเป็นไปได้อีกอย่างเดียวก็คือเขากลัววัตถุหยินที่อยู่ในความครอบครองของขงโม่มากกว่า เขาหวาดกลัวในความล้ำลึกของคลังแสงที่ตระกูลขงมีอยู่ในครอบครอง
หรือก็คือ…ขงโม่จะต้องมีวัตถุหยินที่สามารถเป็นภัยคุกคามได้แม้แต่กระทั่งกับขั้นฝู่จวิน! มันจะต้องเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าตะเกียงเถาฮวาอย่างแน่นอน! ครั้งนี้…ตระกูลขงทุ่มสุดตัวจริงๆ…
ด้วยการมีนครเผิงชิวอยู่ภายในการควบคุม มันไม่มีทางที่ขงโม่จะกลับมาทวงคืน เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว การป้องกันของนครเผิงชิวก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองข้ามได้ หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถปรากฏตัวขึ้น ณ ใจกลางของนครเผิงชิวผ่านทางโลกใต้พิภพได้ มันก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถยึดครองนครเผิงชิวมาได้เช่นนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคงจะทำให้ขงโม่สับสน และ…ราชาผีเองก็คงจะสังเกตเห็นถึงสิ่งนี้
มหาอำนาจทั้งสามกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ภายในมณฑลซานตง ขงโม่นั้นได้ออกตัวนำไปแล้ว และอีกฝ่ายก็แค่พยายามรักษาระยะห่างที่ตนทำมาตลอด หากเดินหน้าต่อไป เขาจะต้องเหยียบย่ำขงโม่และปะทะกับราชาผี
“แต่ก่อนหน้านั้น มันยังมีสิ่งที่เราจะต้องจัดการเสียก่อน” เขายิ้มออกมาและถูมือ สัมผัสถึงความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ของหอกเงินแห่งความกล้าของมังกรในเมือ “ขงโม่กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งความตาย เรามั่นใจว่าราชาผีจะต้องเต็มใจที่จะร่วมกองกำลังกับเราเพื่อกำจัดเจ้าแมลงตัวนั้นเป็นแน่…”
“แม่ทัพหยาง”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเข้าร่วมกองกำลังกับราชาผี?”
หยางเหยียดเจาอ้าปากทันที แต่เขาก็เงียบไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เลือกคำพูดและเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง “ราชาผีทั้งหกล้วนเป็นคนบาปที่ได้ก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายและไม่น่าให้อภัยในยุคสมัยของตัวเอง หากพูดกันตามความจริง กระหม่อมเองคงไม่มีทางเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้น แต่ด้วยสถานการณ์อันจำกัดที่ยมโลกกำลังเผชิญในเวลานี้ กระหม่อมคงจะไม่มีข้อโต๊แย้งใดๆตราบใดที่มันสามารถฟื้นฟูให้ยมโลกกลับมารุ่งเรืองดังเดิมได้ภายในอีกร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่พยักหน้า “หากพูดกันตามความจริง ข้าได้ส่งข้อความไปหาราชาผีแห่งพิภพอสูรทันทีที่การประชุมราชสำนักครั้งสุดท้ายจบลง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจข้าเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สังหารหลี่จีสี่ ผู้ส่งสารที่ข้าได้ส่งไป แต่เขาก็ไม่ได้ไว้หน้าข้าเช่นกัน เขาไม่แม้แต่จะปล่อยให้หลี่จีสี่เข้าไปในอาณาเขตของตนด้วยซ้ำ”
“มันเป็นเรื่องดีที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ เจ้าเองก็ได้ติดตามหยางจีเย่มานาน ดังนั้นเจ้าคงจะได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในแดนมนุษย์มาบ้าง ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงจะสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ในแดนมนุษย์ไม่ได้ขับเคลื่อนไปในทางเดียว แต่ละประเทศจะโยกย้ายฝ่ายอยู่ตลอดเวลา พันธมิตรไม่เคยแน่นอน สิ่งเดียวที่คงอยู่ตลอดไปก็ผลประโยชน์ของชาติ”
หยางเหยียนเจาพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น มันยังมีสิ่งอื่นที่เราจะต้องทำอีก” ฉินเย่ทำท่าคว้าอะไรบางอย่าง และดอกลบความทรงจำช่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“พระองค์…จะทรงเสด็จพบพวกเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยางเหยียนเจาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
ฉินเย่พยักหน้าเบาๆ “ข้าเคิดว่า…พวกเขาคงต้องการคำตอบ”
“และข้าก็จะบอกพวกเขาให้วางใจได้ เพราะทุกอย่างเรียบร้อยดี และมันจะดีขึ้นเอง สิ่งที่พวกเขายอมแลกด้วยชีวิตจะถูกรักษาไว้อย่างระมัดระวังและคงอยู่ไปอีกร้อยปีพันปี… มันจะยังคงอยู่บนดินแดนผืนนี้ต่อไป”
“และข้าเองก็คงไม่สามารถสบายใจได้จนกว่าข้าจะได้มอบคำตอบให้พวกเขาด้วยตัวเอง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นกระแสลมและพุ่งตัวออกจากหลุม ก่อนจะจากไป เขาได้บอกให้วิญญาณทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ที่ปากหลุมแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตน และพวกเขาจะกลับมาประชุมอีกครั้งในอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อติดตามผล
จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนอากาศและมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของนคร
ภายในไม่กี่วินาที ทั้งฉินเย่และหยางเหยียนเจาได้มาถึงที่หมายปลายทาง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ทัพเกราะทมิฬ”ได้ประจำการอยู่ที่นี่ ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นการมีถึงของฉินเย่ ทั้งหมดก็รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและเอ่ยทำความเคารพทันที
“ลุกขึ้น” ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มกว่าเดิม สายตาของเขามองผ่านกองกำลังทั้งหมดและหยุดลงที่ด้านหลังของพวกเขา
มันมีอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งด้านหลัง
อนุสาวรีย์ดังกล่าวมีความกว้างสิบเมตรและสูงห้าเมตร มันดูคล้ายกับก้อนอิฐทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกสลักตัวอักษรมากมายเอาไว้
นอกจากนี้ เบื้องหน้าของอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ยังมีสุสานซึ่งเต็มไปด้วยหลุมฝังศพจำนวนนับร้อย
ทั้งสุสานถูกปกคลุมด้วยความเงียบ มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องลงมือทำในนครเผิงชิว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสั่งการให้ทหารวิญญาณเพียงร้อยนายประจำการอยู่ที่ส่วนนี้ และสร้างอนุสาวรีย์ รวมถึงหลุมศพนับร้อยเพื่อเป็นที่ระลึกถึงทุกคนที่ต้องเสียชีวิตไป มันไม่มีแม้กระทั่งดอกไม้สดเพื่อมอบให้กับผู้ที่เสียชีวิตด้วยซ้ำ
ฉินเย่และหยางเหยียนเจาค่อยๆเดินเข้าไปในสุสาน หลุมฝังศพจำนวนมากถูกสร้างขึ้นในลักษณะของจีนโบราณ ตกแต่งด้วยการแกะสลักที่ประณีตและซับซ้อน ฉินเย่ยังคงเดินต่อไปและไล่มือไปตามหลุมฝังศพเบาๆ “เจ้าจะกลับไปที่ฟิลิปินัสเมื่อใด?”
“อีกหนึ่งสัปดาห์พ่ะย่ะค่ะ” หยางเหยียนเจาเอ่ยตอบ หัวใจของเขารู้สึกหนักอึกอย่างไม่สามารถเปรียบได้กับภาพของอนุสรณ์สำหรับทหารที่เสียชีวิต
เมื่อหลายเดือนก่อน พวกเขายังคงยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ในฐานะของสหารร่วมรบ เอ่ยคำสาบานว่าจะต่อสู้เพื่อความรุ่งโรจน์ของยมโลก แต่วันนี้…พวกเขากลับต้องยืนอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน
“ข้าขอฝากคำขอบคุณไปถึงแม่ทัพหยางด้วย บอกเขาว่าข้าจะไม่มีทางลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระกูลหยางได้เสียสละเพื่อยมโลก” ฉินเย่ส่ายศีรษะ “พวกเจ้าอาจจะบอกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากภาระหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิด แต่ภาระหน้าที่นั้นไม่สามารถสกัดกั้นอารมณ์ความรู้สึกได้”
“เจ้าได้มอบความช่วยเหลือให้แก่ยมโลกในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด ความมีน้ำใจเช่นนี้จะถูกจดจำตลอดไป”
เขาหยุดลงที่หน้าหลุมฝังศพที่มีคำว่ามู่กุ้ยอิงสลักอยู่ รวมถึงวันเกิด วันตาย และ…วันที่ดวงวิญญาณของนางสลายไป นอกจากนี้ มันยังแสดงถึงความสำเร็จต่างๆมากมายที่นางได้รับมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
“จิวยี่คิดว่าการมอบหน้าไม้ศักดิสิทธิ์เปลวไฟแห่งกรรมและลูกดอกหน้าไม้ของเขาจะสร้างความประทับใจที่ไม่มีทางลืมเลือนให้กับยมโลก” ฉินเย่ปักดอกลบความทรงจะดอกหนึ่งลงบนพื้น กลีบของมันพริ้วไหวอย่างงดงามเมื่อปะทะเข้ากับสายลมที่แผ่วเบา
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและถอนหายใจออกมา ก่อนจะหยิบดอกไม้อีกดอกหนึ่งและเดินไปที่หลุมฝังศพของหยางเหยียนเต๋อและปักมันลงไปบนพื้นอีกครั้ง “เขาคิดผิด อย่างมากที่สุด ข้าก็อาจจะยอมอ่อนลงเล็กน้อยในตอนที่ข้าคิดบัญชีกับพวกเขาในอนาคต”
“ในโลกใต้พิภพสามารถมีเสียงได้เพียงเสียงเดียว และมันก็คือเสียงแห่งอำนาจที่มาจากยมโลก” เขาลุกขึ้นยืน ก้าวไปอยู่ระหว่างหลุมฝังศพทั้งสอง และโค้งคำนับ “ข้าขอโทษ”
“พวกเจ้าทำงานหนักมาก”
“พักผ่อนให้สบาย ไม่จำเป็นจะต้องเสียเลือดอีกแล้ว” เขาโค้งคำนับอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน “มันเป็นเพราะความไร้ความสามารถของข้าเองที่ทำให้พวกเจ้าต้องพักอยู่ในหลุมฝังศพพวกนี้ไปชั่วนิรันดร์ แต่…ข้าขอสัญญาว่าตราบใดที่ยมโลกยังอยู่ พวกเจ้าทั้งหมดจะมีชีวิตอยู่ในหัวใจของเหล่าประชากรวิญญาณของยมโลกตลอดไป”
มันเป็นการแสดงความเสียใจสั้นๆ
และคำสัญญาที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
เขากลับมายืนตัวตรงในท้ายที่สุด ขณะที่เดินกลับ ฉินเย่ก็เอ่ยออกมา “มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะฝังพวกเขาตามธรรมเนียมจีนโบราณ แต่ว่าจำนวนของผู้ที่ยอมสละชีวิตมีแต่จะเพิ่มขึ้นในการเดินทางอันยาวนานและแสนอันตรายของเรา ยมโลกยังไม่สามารถหาที่ว่างพอเพื่อฝังศพของพวกเขาในพื้นที่ของตัวเองได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมถึงมีเพียงทหารวิญญาณที่เป็นผู้บัญชาการกองร้อยและสูงกว่านั้นที่ได้รับเกียรติในการมีหลุมฝังศพส่วนตัว ส่วนคนอื่นๆ…”
เขาหันไปมองยังจุดที่ฮวงซุ้ยโบราณขนาดใหญ่ซึ่งมีโคมไฟระย้าหลายหมื่นดวงจุดอยู่ด้านนอก แต่ละดวงล้วนสื่อถึงทหารวิญญาณที่ตายไปในสนามรบ
“ส่วนคนอื่นๆ สามารถถูกฝังได้แค่ที่นี่เท่านั้น”
“ข้ากำลังยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ และข้าก็จำเป็นจะต้องวางแผนสำหรับอนาคต หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
“กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นจึงหันไปมองทางอื่น
มันมีโคมลอยที่สูงประมาณสามเมตรตั้งอยู่ห่างออกไป
วิญญาณนับร้อยกำลังคร่ำครวญและกรีดร้องอยู่ด้านใน ถูกกำหนดให้ต้องทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์
“ข้ารับใช้ระดับสูงของขงโม่ทั้ง 340 ต่างกำลังชดใช้ความผิดของพวกเขาอยู่ที่นี่” เสียงที่เอ่ยออกมาของเด็กหนุ่มนิ่งเรียบ ปราศจากอารมณ์ใดๆ “ข้าหวังว่าความทรมานของดวงวิญญาณพวกนี้จะทำให้เหล่าผู้พลีชีพของเราได้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง เจ้าคิดว่าข้าโหดร้ายเกินไปหรือไม่?”
หยางเหยียดเจาส่ายหน้า “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ มันอาจจะเป็นการลงโทษที่ผิดจุดประสงค์ไปบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าการปล่อยให้พวกเขาหลุดมือไปได้! ในเวลาเช่นนี้ พวกเราจะทำพลาดไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเย่พยักหน้าและเอ่ยต่อ “ตอนนี้มีวิญญาณของเจ้าหน้าที่ควบคุมระดับเมืองทั้งสิ้น 17 ตนที่ข้าได้ไว้ชีวิตเอาไว้”
หยางเหยียนเจามองหน้าฉินเย่อย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายแย้มยิ้มออกมาและตวัดมือ ทันใดนั้น ดวงวิญญาณ 17 ดวงก็ลอยออกมาจากมาและเปลี่ยนเป็นภาพของวิญญาณทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ดูราวกับว่ากำลังอยู่ในชีวิตหลังความตายเลยสักนิด
กลับกัน พวกเขาดูมีสภาพเหมือนกับตอนที่เสียชีวิตลงในแดนมนุษย์ไม่มีผิด
บางคนดูเหมือนจะไร้ศีรษะ บางคนดูเหมือนว่ากำลังวิ่ง และบางคนก็ดูเหมือนว่าจะมีลิ้นห้อยออกมาจากปากพร้อมกับร่างที่ขึ้นอืด
“เคล็ดวิชาพันธะห้าร้อยวิญญาณ มันคือศาสตร์ที่สามารถใช้ได้เฉพาะจ้าวนรกเท่านั้น” ฉินเย่เหลือบมองที่นิ้วมือของตนเอง และเขาก็เห็นเส้นด้าย 17 เส้นผูกติดอยู่กับวิญญาณทั้ง 17 ตน เด็กหนุ่มขยับนิ้วเล็กน้อย หนึ่งในวิญญาณก็ร้องออกมาด้วยความทุกข์ทรมานและทรุดตัวลงกับพื้น “ท่านฉิน…โปรดเมตตา! โปรดเมตตาด้วย!!”
“นี่คือเหล่าวิญญาณที่พยายามจะยึดครองพระราชวังแห่งการสะท้อนเงากลับไปเป็นของตนในตอนสุดท้ายของสงคราม แต่มันมีวิญญาณพิเศษสามตนอยู่ในหมู่พวกเขา และข้าก็รู้สึกเสียดายเกินกว่าที่จะกำจัดพวกเขาไป ดังนั้น สำหรับตอนนี้ข้าจึงตัดสินใจที่จะเก็บพวกเขาไว้ข้างกายเพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่หากเจ้าปรารถนา เจ้าสามารถมาขอชีวิตของวิญญาณเหล่านี้จากข้าได้ทุกเมื่อ”
นี่คือความเมตตาของฝ่าบาท… หยางเหยียดเจาเม้มปาก ภายในใจของเขาร้อนรุ้ม การกระทำของฉินเย่ในสุสาน รวมถึงการมอบดอกไม้ให้กับมู่กุ้ยอิงและหยางเหยียนเต๋อ รวมถึงคำพูดของเด็กหนุ่มในเวลานี้บอกหยางเหยียนเจาว่าอีกฝ่ายมักจะปฏิบัติกับตระกูลหยางในฐานะของส่วนสำคัญของยมโลก และจะไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาในยามที่พวกเขาหมดประโยชน์!
สำหรับในราชวงศ์สมัยโบราณแล้ว พระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับมอบจากพระมหากษัตริย์นั้นสูงส่งกว่าการแต่งตั้งตำแหน่งเสียอีก!
หยางเหยียนเจาสูดหายใจเข้าช้าๆ ประสานฝ่ามือและกำปั้น เอ่ยตอบรับด้วยเสียจริงใจ “ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้น…ก็ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย” ฉินเย่จับมือหยางเหยียนเจาแน่น “น่าเสียดาย ข้าจะต้องกลับไปยังแดนมนุษย์ ดังนั้นข้าคงไม่ได้ไปส่งเจ้า”
“นั่นไม่จำเป็นเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยางเหยียนเจาเอ่ยกลับด้วยความซาบซึ้ง “โปรดเรียกข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ในทุกเมื่อที่พระองค์ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงใด พวกเราจะตอบรับอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับฉินเย่ด้วยเปลวไฟนรกที่ลุกโชนในดวงตา “ฝ่าบาท… พวกเราตระกูลหยางต่างเฝ้ารอวินาทีที่จะได้สวมชุดเกราะและทำการต่อสู้เพื่อยมโลกอีกครั้ง!”
“ในโลกใต้พิภพสามารถมีเสียงได้เพียงเสียงเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือเสียงของยมโลก นายเหนือหัวที่แท้จริงเพียงผู้เดียวของโลกใต้พิภพ!”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของยมโลก วันหนึ่ง…พวกมันจะต้องกลับมาอยู่ในมือของเจ้าของที่แท้จริงอีกครั้ง!”
“ตระกูลหยางอาจจะพลาดการบุกเบิกของท่านจ้าวนรกองค์แรกของยมโลก แต่ครั้งนี้…พวกเราจะจารึกชื่อของตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์!”