ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 456: สิ้นสุดการปิดประตูบ่มเพาะ
บทที่ 456: สิ้นสุดการปิดประตูบ่มเพาะ
เมืองหวู่หยาง ภายในคฤหาสน์ริมทะเล
เลขาเจียงจากคณะกรรมการพรรคเทศบาลกำลังเดินไปมาอยู่ที่หน้าประตู หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ชายสองคนที่แต่งกายในชุดสูททรงจีนยืนอยู่ด้านหลัง แผ่ร่องรอยของพลังหยินอ่อน ๆ ออกมาจากร่าง
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มตรง โดยปกติแล้ว พวกเขาควรจะได้ยินเสียงประกาศสาธารณะเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติดังวนซ้ำ ๆ และบ้านเรือนทุกหลังควรจะเปิดไฟสว่างจ้าแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน แต่อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้อาศัยในระแวกนี้ทั้งหมดได้ย้ายออกไปหมดแล้ว แม้แต่ชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเองก็ย้ายออกและถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเสียงกระพริบเบา ๆ ของไฟถนน ท้องถนนมืดสลัวจนดูราวกับไม่ติดไฟ สายลมเย็น ๆ จากทะเลพัดผ่านดินแดนบ้างเป็นครั้งคราว สร้างความรู้สึกขนลุกและเย็นยะเยือกให้แก่ผู้ที่ได้รับ
“เลขาเจียง กลับกันเถอะครับ” ชายร่างท้วมที่ยืนอยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมาเบา ๆ “คุณยืนรอมาหกชั่วโมงแล้วนะครับ แถมคุณยังไม่ได้ทานมื้อเย็นด้วยซ้ำ คุณฉินคงจะกำลังอยู่ในช่วงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการทะลุคอขวดของเขาเป็นแน่ เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็กำลังพูดถึงการก้าวสู่ขั้นตุลาการนรก...”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็มองไปยังคฤหาสน์ที่มืดมิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากเขาทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นตุลาการนรกที่มีอายุเพียง 19 ปี นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์จีน...”
“เขาจะทำสำเร็จไหม ?” เลขาเจียงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำ “เขาสัญญาว่ามันจะเสร็จสิ้นภายในสี่เดือน แต่นี่มันผ่านไปเกือบจะครึ่งปีแล้ว ! คุณคิดว่าผมจะร้อนใจขนาดนี้ไหมหากสถานการณ์ของเราที่นี่ไม่ได้เร่งด่วนแบบนี้ ?! น่าเสียดาย… ทุกอย่างที่นี่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ! หากเขายังไม่ออกมาจากการปิดประตูบ่มเพาะภายในเที่ยงคืนของคืนนี้ พวกเราจะต้องแจ้งไปทางฉีโจวเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว !”
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะขอความช่วยเหลือ….
แต่หลังจากที่ได้เป็นเลขานุการมาเป็นเวลานาน เขารู้ถึงความคิดและความลำเอียงของพวกผู้นำที่อยู่รอบ ๆ เหล่านี้ดี
เมื่อเป็นเรื่องของการขอความช่วยเหลือ มันมักจะมีแค่ลงมืออย่างรวดเร็ว หรือไม่ทำอะไรเลย การขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจะทำให้พวกเขาสามารถจบปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน ความล่าช้ามีแต่จะทำให้เกิดความล้มเหลวและความสูญเสีย ดังนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์จะฉุกเฉินหรือเร่งด่วนสักเพียงใด มันมักจะมีสัญญาณล่วงหน้าเสมอ ความล้มเหลวในการสังเกตเห็นสัญญาณดังกล่าวย่อมแสดงถึงการไร้ความสามารถของรัฐบาลที่ทำหน้าที่ปกครองเมืองนั้น ๆ
ด้วยเหตุนี้ เมืองหวู่หยางจึงคิดที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับฉินเย่โดยเร็วที่สุด
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเลขาเจียงก็ดังขึ้น ผู้ที่โทรมาคือหม่าตงหลาน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาล “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ความร้อนใจของเขาสามารถสัมผัสได้ผ่านประโยคสั้น ๆ ที่เขาเอ่ยออกมาผ่านโทรศัพท์
“คุณฉินยังไม่ออกมาเลยครับ…” เลขาเจียงลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบากใจ
เขาอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็พบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก เพราะถึงอย่างไรแล้ว เขารู้ดีว่าเหตุฉุกเฉินภายในเมืองหวู่หยางก็กำลังโหมกระหน่ำราวกับไฟป่า มันจึงไม่มีที่สำหรับคำปลอบโยนใด ๆ
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งระหว่างทั้งสอง ก่อนที่เลขาหม่าจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เที่ยงคืน”
“หากเขาไม่ออกมาภายในเที่ยงคืน ผมจะขอการสนับสนุนทันที และคุณก็รีบกลับมาที่นี่ เข้าใจไหม ?”
“ครับ”
หลังจากนั้น เลขาเจียงก็วางสายและมองไปที่คฤหาสน์อีกครั้ง หากเป็นเวลาอื่น มันคงมีคณะกรรมการพรรคเทศบาลจำนวนมากมารอต้อนรับขั้นตุลาการนรกคนใหม่ออกมาจากการปิดประตูบ่มเพาะของเขา หน่วยสอบสวนพิเศษเองก็คงจะมาที่นี่ เตรียมรายงานกลับไปสู่ระดับสูงถึงผลลัพธ์ของความพยายามในการบรรลุของเขา เพราะถึงอย่างไรแล้ว มันก็มีแค่ผู้ดูแลที่ทำหน้าที่ดูแลการปฏิบัติการที่มณฑลซานตงก็เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ขั้นตุลาการนรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ขั้นตุลาการนรกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความนับถือไปทั่วทั้งประเทศ !
น่าเสียดาย… ที่พวกเขาไม่มีกำลังคนมาต้อนรับฉินเย่ด้วยความเคารพเช่นนั้นในตอนนี้ !
นอกจากนี้… เขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างนั้นหรือ ?
เลขาเจียงจุดบุหรี่ของตน สูดเข้าจนเต็มปอด จากนั้นจึงมองดูภาพตรงหน้าขณะควันบุหรี่ที่เขาพ่นออกมาค่อย ๆ หายไปในอากาศ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา
กลิ่นไหม้ของบุหรี่ลอยคลุ้งไปในอากาศ แทบจะเหมือนกับความวิตกกังวลภายในใจของเขา “เหล่าโจว เหล่าอวี้ พวกคุณคิดว่า… คุณฉินจะทำสำเร็จหรือเปล่า ?”
เงียบ….
ไม่กี่วินาทีต่อมา ชายร่างท้วมก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน “มันน่าจะยากครับ ยากอย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ !”
“คุณอาจจะไม่รู้ถึงโครงสร้างองค์กรของหน่วยสอบสวนพิเศษ แต่เรื่องของเรื่องก็คือ… แม้แต่รองผู้บัญชาการของเมืองเยียนจิงก็อยู่แค่ขั้นตุลาการนรก เหล่าผู้บัญชาการที่คอยดูแลการปฏิบัติการของแต่ละมณฑลล้วนอยู่ขั้นตุลาการนรกทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็เป็นขั้นตุลาการนรกเพียงคนเดียวจากทั่วทั้งมณฑลที่พวกเขาประจำการอยู่ อย่างมากที่สุด ขั้นตุลาการนรกสองคนอาจถูกสั่งให้ประจำการในหนึ่งมณฑลหากมณฑลดังกล่าวเกิดการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอย่างร้ายแรงจากทั้งประเทศ พวกเรามีผู้เชี่ยวชาญขั้นตุลาการนรกอยู่ไม่ถึง 200 คนด้วยซ้ำ หากพูดตรง ๆ เลยก็คือ 176 คน มันฟังดูเหมือนเยอะใช่ไหม ?”
เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “พวกเรากำลังพูดถึงคน 176 คนจากผู้คนนับพันล้าน หากเสาหลักทั้งสามของจีนปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 176 คนนี้ก็ถือว่าเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของชาติ การมีอยู่ของพวกเขาเปรียบเสมือนกับผู้ตรวจราชการมณฑลของประเทศ”
เลขาเจียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
ชายอีกคนหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาและเอ่ยเสริมอีกว่า “ในความเป็นจริง ขั้นตุลาการนรกนั้นไม่ต่างไปจากผู้ตรวจราชการมณฑลหรือเลขานุการมณฑลเลยสักนิด….พวกเขาล้วนอยู่เหนือเจตนารมณ์และจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร การขึ้นไปอยู่ ณ จุดดังกล่าวนั้นยากพอ ๆ กับการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างเหล่าข้าราชการเพื่อที่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจราชการมณฑลเลยด้วยซ้ำ รายงานที่ผมเคยอ่านฉบับหนึ่งระบุเอาไว้ว่าอายุโดยเฉลี่ยของขั้นตุลาการนรกจากทั่วทั้งประเทศจีนนั้นอยู่ที่ 70 ปี การเดินทางสำหรับการสั่งสมประสบการณ์ชีวิต รวมถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งที่จะผลักดันการบ่มเพาะของตัวเองให้เกินขีดจำกัด การบรรลุสิ่งเหล่านั้นด้วยอายุเพียง 20 ปี… มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย….”
“มันเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางวิชาการและสร้างการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ ในอันดับแรกพวกเขาจะต้องสร้างรากฐานทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมี จากนั้นค่อยลงลึกเกี่ยวกับการเลือกตัวเลือก มันไม่สำคัญว่าเขาจะมีพรสวรรค์แค่ไหน เพราะแม้แต่เด็กที่เป็นอัจฉริยะก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นนักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่กำเนิด กระบวนการในการสั่งสมประสบการณ์และข้อมูลจะต้องเกิดขึ้นในบางช่วงของชีวิต”
เลขาเจียงเอนหลังพิงกับกำแพงและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง….
นี่พวกคุณไม่แม้แต่จะมอบคำพูดปลอบใจให้ผมเลยอย่างนั้นเหรอ ?!
แต่อนิจจา… เขาคิดว่านั่นน่าจะเป็นความจริง หากมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ยาก เขาจะใช้เวลาถึงห้าเดือนสิบวันทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สัญญาว่าจะใช้เวลาเพียงแค่สี่เดือนอย่างนั้นหรือ ?
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ… แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีขั้นยมทูตขาวดำประจำการอยู่ภายในเมืองหวู่หยางก็ยังคงอยู่ ! เขาเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นความสามารถของอีกฝ่ายเช่นกัน !
“เรารอกันต่ออีกสักนิดเถอะ…” ความหวังค่อย ๆ จางหายไปจากใจ แต่เขาก็ยังคงมองไปที่คฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นบนใบหน้า “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราจะต้องได้รับคำตอบจากคุณฉินภายในวัน–…วัน–….”
จู่ ๆ เขาก็ยืดหลังตรงและเริ่มพูดจาติดอ่างขณะที่จ้องมองไปที่คฤหาสน์ เจ้าหน้าที่ทั้งสองของหน่วยสอบสวนพิเศษเองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “เลขาเจียง เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ?”
มือของเลขาเจียงสั่นเทาขณะที่เขาค่อยๆชี้ไปยังจุดที่อยู่ห่างออกไป “ดูนั่น…! ไม่ใช่ว่าหน้าต่างตรงนั้น… เปิดอยู่หรอกเหรอ ?!”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่หันไปมองตาม “ครับ แล้วมันทำไมเหรอครับ ?”
จากนั้น เขาก็เหมือนจะรู้ตัว ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะที่เขามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “นี่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติตามเรามาที่นี่อย่างนั้นเหรอ ?”
“ไม่มีทาง ! การป้องกันที่ถูกติดตั้งไว้บริเวณนี้สามารถกำจัดวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำให้สลายไปได้ในทันที พวกเขาไม่สามารถไล่ตามพวกเราได้แน่” หนึ่งเจ้าหน้าที่ลอบสังเกตคฤหาสน์อย่างละเอียด
แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา ก่อนที่พวกเขาจะได้ดำเนินการคาดเดาของตัวเองต่อไป ไฟชั้นล่างของคฤหาสน์ก็สว่างขึ้น
คนทั้งหมดต่างตกตะลึง….!
พวกเขาชะงักไปเป็นเวลากว่าสามวินาที ก่อนที่ความดีใจจะเอ่อล้นขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ !
เขาออกมาแล้ว… ในที่สุดคุณฉินก็ออกมาแล้ว !
เลขาเจียงสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเริ่มวิ่งตรงไปที่คฤหาสน์ แต่ทันใดนั้น หน้าต่างและประตูของคฤหาสน์ก็เปิดออกพร้อมกัน และคลื่นพลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับเทพพระเจ้าที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งริมชายหาดที่พวกเขายืนอยู่ !
ตู้มมม !!!
เลขาเจียงรู้สึกถึงสายลมอันรุนแรงที่พุ่งออกมาจากประตู และเสื้อผ้ากับเส้นผมของเขาก็กระพืออย่างรุนแรง แต่สายลมดังกล่าวก็คงอยู่แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เขากระพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง “เหล่าอวี้ เหล่าโจว นะ นี่หมายความว่าเขาประสบความสำเร็จใช่ไหม ?”
แต่เขาก็ต้องเงียบไป….
เพราะด้านหลังของเขา ผู้สอบสวนโจวและผู้สอบสวนอวี้ต่างกำลังตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงจนเกือบจะไม่สามารถยืนอยู่ได้ ในขณะที่เลขาเจียงรู้สึกถึงสายลมที่รุนแรง ผู้สอบสวนที่อยู่ด้านหลังทั้งสองกลับรู้สึกถึงไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากคฤหาสน์ราวกับเสือที่ดุร้ายซึ่งถูกปล่อยออกจากโซ่ตรวน
พวกเขากำลังจ้องมองไปที่คฤหาสน์ของมนุษย์ธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้พวกเขานึกถึงวินาทีแรกที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าของสำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษที่ตั้งอยู่ภายในเมืองเยียนจิง บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และความจริงจัง
มันถูกครอบงำด้วยความแตกต่างเชิงคุณภาพ ความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นภายในจิตใจของพวกเขาเกิดจากการเผชิญหน้ากับอำนาจที่ไม่สามารถคาดเดาได้เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับพลังธรรมชาติ
มันรู้สึกไม่ต่างจากการที่มนุษย์คนหนึ่งต้องไปยืนอยู่ที่ขอบเหว มองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และมหาสมุทรอันไร้ขอบเขตเลยสักนิด
มันไม่ต่างจากการยืนอยู่บนยอดเขา มองดูดวงอาทิตย์ขึ้นจากกลุ่มหมอกทางทิศตะวันออก มันเป็นความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้าสิ่งใหญ่โต
พวกเขารู้สึกตัวเล็กอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้…
ตุลาการนรก !
นี่มันคำเพียงไม่กี่คำที่ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขาทันทีที่ทั้งสองสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังของฉินเย่
มีเพียงผู้เชี่ยวชาญขั้นตุลาการนรกเท่านั้นที่สามารถสร้างความกดดันเช่นนี้ได้ มันแตกต่างจากตอนที่ฉินเย่เพิ่งมาถึงที่เมืองหวู่หยางอย่างสิ้นเชิง ! หากพูดกันตามตรง นี่มันไม่ต่างจากความรู้สึกในตอนที่พวกเขาได้รับตอนกลับไปยังเมืองหลวงและรายงานของผู้บัญชาการเลยสักนิด !
มันเงียบเชียบ แต่ทว่าไร้ซึ่งขอบเขต...
“พวกเราขอแสดงความยินดีกับคุณฉินที่ได้เลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรกด้วยครับ !” ผู้สอบสวนทั้งสองเอ่ยออกไปพร้อมกัน สิ่งที่ตามมาติด ๆ หลังจากการตกตะลึงไปชั่วขณะก็คือความดีใจที่พุ่งไปสู่จุดสูงสุด แม้แต่เสียงของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นแหบพร่าขณะที่พวกเขากรีดร้องออกมาสุดเสียงเพื่อแสดงถึงความยกย่องที่มีต่อขั้นตุลาการนรกคนใหม่ของจีน
ตุลาการนรก ?
เลขาเจียงนิ่งไป
เขารู้ว่าผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกนั้นอยู่ใกล้กับผู้ฝึกตนขั้นสูงสุดในแดนมนุษย์ เช่นเดียวกับผู้ตรวจราชการมณฑลภายในโครงสร้างของข้าราชการ นี่เขา…ทำสำเร็จจริง ๆ น่ะหรือ ?
“พวกคุณแน่ใจนะ ? ” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่สั่นเทา
เขาเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรกแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ ?
นี่พวกคุณไม่ได้เข้าใจผิดไปใช่ไหม ?
ความจริงของข่าวนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเมืองหวู่หยาง ! เลขาหม่าเองก็กำลังรอการตอบรับของเขาอยู่ !
“ผมแน่ใจ ! แน่ใจสุด ๆ!” ผู้สอบสวนโจวจ้องมองคฤหาสน์ตรงหน้าด้วยแววตาลุกโชน ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถมองเห็นคนภายในคฤหาสน์ได้ แต่เขาก็ยังประสานฝ่ามือกับกำปั้นและหันไปมาทางคฤหาสน์ด้วยท่าทางที่สุภาพและนอบน้อมที่สุด เขาไม่แม้แต่จะปรับท่าทางยืนของตัวเองขณะที่ยืนรอขั้นตุลาการนรกอย่างใจจดใจจ่อ “นี่จะต้องเป็นขั้นตุลาการนรกอย่างแน่นอน... มีเพียงขั้นตุลาการนรกเท่านั้นที่สามารถสร้างแรงกดดันขนาดนี้ได้! ของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลอกกันได้เลยสักนิด !”
“แต่ใครจะไปคิด…” ผู้สอบสวนอวี้เอ่ยเสียงแหบพร่า “ก่อนหน้านี้ผมแทบจะแน่ใจว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้…ผมกลับได้เห็นความเป็นไปไม่ได้นั้นด้วยตาของตัวเอง ! ผมได้เห็นการถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีนด้วยตาของตัวเอง !”
“นี่มันไม่น่าเชื่อ !”
อายุ 19 ปี… การก้าวสู่ขั้นตุลาการนรกตั้งแต่อายุยังน้อย… ผู้สอบสวนทั้งสองสบตากัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา พวกเขาไม่สามารถซ่อนความปรารถนาภายในแววตาของตัวเองได้ ตอนที่พวกเขาอายุเท่านี้…พวกเขาได้เป็นขั้นยมเทพกันหรือยังนะ ? บางที พวกเขาอาจจะยังไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับขั้นตุลาการนรกเลยด้วยซ้ำ !
เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งเอ่ยออกไปว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นใครจะคิดกันว่าโชคชะตาจะหันกลับมาตบหน้าพวกเขาอย่างแรงในไม่กี่วินาทีต่อมา ? แต่ถึงกระนั้น พวกเขากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มันกลับเป็นความรู้สึกดีที่ได้รับการพิสูจน์ว่าพวกเขานั้นคิดผิดในสถานการณ์เช่นนี้ หากพูดกันตามตรง หากการถูกตบหน้าทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่มีปัญหาที่จะยอมโดนตบเป็นรอบที่สอง หรือจนกว่าใบหน้าของพวกเขาจะบวมเป่งเลยก็ได้!
“พวกคุณ… แน่ใจจริง ๆ ใช่ไหม ?!” เลขาเจียงกำมือรอบโทรศัพท์มือถือของตนแน่นขึ้นและถามผู้สอบสวนทั้งสองอีกครั้ง
ทั้งคู่พยักหน้าอย่างพร้อมกัน ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ริมชายหาดซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก เมื่อเลขาเจียงหันไปมองตามทิศทางดังกล่าว เขาก็หรี่ตาลง และหลังจะผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ต้องอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง…
กระแสน้ำ… กำลังไหลย้อนกลับ !
กระแสน้ำที่ควรจะไหลไปในทิศทางเดียวและสาดซัดเข้าฝั่ง… กลับไหลย้อนกลับ แทบจะเหมือนว่าพวกมันกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างและพยายามหลบหนีจากสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ กระแสน้ำที่ลดหลั่นยังก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งเมตรซึ่งซัดกลับลงไปในทะเล !
ภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ในยามราตรี นี่เป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้!
อึก...! เขาอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตัดผ่านความเงียบที่แสนจะบีบคั้น “ขออภัยสำหรับความล่าช้า ผมบรรลุสู่ขั้นตุลาการนรกได้ตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนแล้ว แต่ผมแค่กำลังพยายามทำความคุ้นชินกับความสามารถใหม่ของตัวเองอยู่ก็เท่านั้น ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”
“ไม่ครับ… คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยสักนิด ! มัน… มันไม่เป็นไร !!” ผู้สอบสวนอวี้รีบก้าวออกไปข้างหน้าและเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “คุณฉิน ! ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ ! ตอนนี้ชื่อของคุณได้ถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อของขั้นตุลาการนรกทั้ง 176 คนของประเทศจีนแล้ว ! การถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกอีกคนหนึ่ง… ไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าการช่วยเหลือเมืองหวู่หยางเลย !”
“ผะ… ผมจะรีบไปรายงานเรื่องนี้กับเบื้องบนทันที ! ขั้นตุลาการนรก… ตอนนี้พวกเรามีขั้นตุลาการนรกคนใหม่ในเมืองหวู่หยางแล้ว ! พวกเขาจะต้องส่งคนลงมาที่นี่เพื่อยืนยันการบรรลุของคุณในอีกไม่ช้านี้แน่ ! มะ… มันเป็นเกียรติของผมจริง ๆ ที่ได้เป็นพยานในการถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกคนใหม่จากการปิดประตูบ่มเพาะด้วยตาของตนเอง !”
ถึงแม้ว่าฉินเย่จะยังไม่ได้เปิดเผยตัวตน แต่เสียงที่เอ่ยออกมาของเขาก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ฝ่ามือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากที่หอบเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น เขาก็หันไปหาเลขาเจียง “คุณรออะไรอยู่ล่ะครับ ?”
“รีบโทรหาเลขาหม่าเร็วเข้า !”
“บอกเขาว่า… เมืองหวู่หยางมีขั้นตุลาการนรกมาประจำการแล้ว !!”
“นอกเหนือจากฉีโจวที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลซานตงแล้ว ตอนนี้เราก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีขั้นตุลาการนรกมาประจำการ ! อ้อ… ใช่ ! แจ้งกับทางสำนักฝึกตนแห่งแรก… รวมถึงเครือข่ายของผู้ฝึกตนด้วย ! ไม่เป็นไร เราจะต้องทำอย่างหลัง ! อ้อ ผมจะต้องติดต่อกับทางผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ให้คุณด้วย ! เรื่องที่สำคัญเช่นนี้จะต้องการเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงภายในชั่วข้ามคืนแน่ !!!”