ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 457: ข่าวที่น่าตกใจภายในเมืองหวู่หยาง
บทที่ 457: ข่าวที่น่าตกใจภายในเมืองหวู่หยาง
ทันทีที่พวกเขาพูดจบ ร่าง ๆ หนึ่งก็เดินออกมาจากคฤหาสน์
เขาคือฉินเย่ !
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มได้ให้คำสัญญาไว้ว่าจะเงียบหายไปเป็นระยะเวลาสี่เดือน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันกลับล่าช้ากว่ากำหนดไปตั้งหนึ่งเดือนกับอีกสิบวัน เขาไม่สามารถทำให้รัฐบาลของเมืองหวู่หยางผิดหวังได้อีกต่อไป แต่ก็ไม่มีเวลาคิดว่าตนเองควรจะแสดงท่าทีกับบทบาทใหม่ของตัวเองในฐานะของขั้นตุลาการนรกอย่างไร ? จะต้องทำตัวสูงส่งและห่างเหิน ? หรือว่าทำตัวอบอุ่นต่อเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่อไปกัน?
มันเป็นเรื่องสำคัญ….
เขาควรจะคิดเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่จะกลับมา… ฉินเย่ถอนหายใจ ตัดสินใจว่ามันจะเป็นการดีที่สุดที่จะทำตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยักหน้าให้คนทั้งหมดพร้อมรอยยิ้มบางเบา “ขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณต้องรอนาน...”
ผู้สอบสวนทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้อยู่ใกล้กับขั้นตุลาการนรกมากขนาดนี้ ! ขั้นตุลาการนรกเลยนะ ! ขั้นตุลาการนรกตัวเป็น ๆ ในชีวิตจริงที่ยังมีลมหายใจ ! และยังเป็นขั้นตุลาการนรกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีนอีกด้วย ! ระยะเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้เสียเปล่าเลยสักนิด ! ทั้งหมดล้วนคุ้มค่า !
หืม ? เมื่อครู่นี้ริมฝีปากของคุณฉินได้ขยับหรือเปล่านะ ? เขาดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ?
น่าเสียดายที่เสียงพัดของสายลมนั้นดังเกินไป และพวกเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งที่ฉินเย่พูดเลยสักนิด… พระเจ้า ! ท่านตุลาการนรกกำลังพูดอยู่กับเขา !
ทันใดนั้น ทั้งสองก็กลับมาได้สติ หลังจากสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ทั้งคู่จึงประสานฝ่ามือและหมัดอย่างความเคารพ “ไม่ต้องห่วงครับ มันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ! ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเราได้เป็นสักขีพยานในการถือกำเนิดของขั้นตุลาการนรกคนใหม่นั้นทำให้ทุกอย่างคุ้มค่าแล้วครับ !”
ทันทีที่เอ่ยคำเหล่านี้ออกไป พวกเขาก็แทบอยากจะตบหน้าของตัวเองแรง ๆ สักที
นี่พวกนายกำลังล้อเล่นกับใครกัน ? เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงอย่างนั้นเหรอ ? มันไม่ได้หมายความว่าเขาทำให้พวกนายต้องรอหรือยังไง ? ทำไมไอคิว (IQ) ของพวกนายถึงตกต่ำขนาดนี้ ?!
โชคดีที่ฉินเย่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด เขายิ้ม “เกิดอะไรขึ้นในเมืองหวู่หยางอย่างนั้นเหรอครับ ?”
“ใช่ครับ” เลขาเจียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ และสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ในที่สุด แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่คิดจะปกปิดความดีใจบนใบหน้าของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว “เมื่อ 12 ชั่วโมงก่อน พวกเราตรวจจับได้ถึงการปะทุของพลังหยินขั้นยมทูตขาวดำ และไม่ใช่เพียงแค่แหล่งเดียวเท่านั้น แต่มากถึงสามแหล่ง ! หน่วยสอบสวนพิเศษของเมืองหวู่หยางไม่สามารถรับมือกับอะไรเช่นนี้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงถูกส่งตัวมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณครับ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
ธรรมชาติของวิญญาณนั้นมักจะอยู่รวมกันเป็นหมู่….
วิญญาณที่อยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นยมทูตขาวดำจะถูกพิจารณาว่าเป็นวิญญาณที่ยังคงยึดติด คำว่าวิญญาณที่ยังยึดติดนั้นหมายถึงวิญญาณที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลเกินกว่ารัศมี 100 เมตรจากจุดที่ตัวเองเสียชีวิต แต่วิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณและขั้นยมเทพที่ภูตผีสามารถเคลื่อนที่อยู่ภายในเมืองหรือนครโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีร่างเนื้อให้เปลี่ยน และมันก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ชู้รักคนนั้นสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ทั้งที่ศพของนางถูกเคลื่อนย้ายไปที่เมืองชิงซีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ขั้นยมทูตขาวดำนั้นแตกต่างออกไป…
วิญญาณที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำสามารถใช้ย่ำตะวันได้แล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นอิสระจากพันธนาการของตำแหน่งศพของตัวเอง อย่างไรก็ตาม 99% ของขั้นยมทูตขาวดำยังคงเลือกที่จะอยู่เป็นกลุ่มแทนที่จะเคลื่อนย้ายไปทั่วเหมือนอย่างวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป นี่เป็นข้อสังเกตที่ได้รับการสนับสนุนจากข้อมูลที่ได้รับการสะสมมาเป็นระยะเวลากว่าพันปีของยมโลกแห่งเก่า ด้วยเหตุนี้ เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นโดยแดนมนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อกักวิญญาณที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำและสูงกว่านั้น แต่ไม่ใช่กันพวกเขาออกจากสถานที่ดังกล่าว….
ดังนั้น วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำจึงไม่มีทางข้ามอาณาเขตของตนและเข้าสู่เขตอื่นตามความตั้งใจของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนที่มีเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติติดตั้งอยู่ ต่อให้วิญญาณขั้นยมทูตขาวดำถูกล่า สิ่งที่เข้ามาในหัวของเขาก็คือการหลบหนีไปในป่าหรือภูเขา แทนที่จะหนีไปยังเขตที่อยู่อาศัยซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติจะถูกเปิดใช้งานอยู่ นอกจากนี้ ขั้นยมทูตขาวดำสามตนในคราวเดียวเนี่ยนะ ?
พลังหยินที่ถูกปลอมให้เป็นพลังปราณพลันปะทุออกจากร่างของเขา ผู้สอบสวนทั้งสองรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ อากาศโดยรอบดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่งไปกระทันหัน ในเสี้ยววินาทีต่อมา แสงไฟบนถนนที่อยู่ห่างออกไปก็ดูเหมือนจะหยุดกระพริบไป แม้แต่เงามืดที่ดูเหมือนกำลังเต้นรำราวกับปีศาจที่ฉลองความมืดมิดก็ดูเหมือนจะหดกลับไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการระเบิดพลังของฉินเย่…
นี่คือการแสดงความแข็งแกร่งของขั้นตุลาการนรก... ผู้สอบสวนทั้งสองลอบมองหน้ากันก่อนจะถอยออกไปด้านข้าง
พรึ่บ !
พลังของเขาดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ราวกับว่ามันคือกลุ่มก้อนเมฆสีดำ ไม่มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติใดที่สามารถเล็ดลอดสายตาของเด็กหนุ่มไปได้ ในวินาทีนั้นวิญญาณทุกคนในเมืองหวู่หยางสามารถรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของฉินเย่
ไม่ว่าจะเป็นถนน สุสาน หรือแม้แต่ส่วนที่รกร้างของเมือง วิญญาณบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดล้วนถูกจับตัวไปโดยขงโม่และส่งไปยังนครชวีฟู่ พวกที่ยังเหลืออยู่มีเพียงพวกวิญญาณที่อ่อนแอและวิญญาณเร่ร่อน ร่างของพวกเขาสั่นเทาภายใต้สายตาของฉินเย่ และร่างของพวกเขาก็ดูเหมือนจะใกล้จะพังทลายเต็มที เข่าของพวกเขาอ่อนแรง และทั้งหมดก็คุกเข่าลงบนพื้นทันที ตุบ ตุบ ตุบ…
ใครก็ตามในเมืองหวู่หยางที่มีดวงตานรกล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นภาพที่เหล่าวิญญาณต่างคุกเข่าอย่างยอมจำนนลงกับพื้น มันไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเขาทั้งหมดล้วนก้มศีรษะกราบกราน ตัวสั่นเทาเหมือนกับจั๊กจั่น หวาดกลัวเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมา
ที่ชายเมืองหวู่หยาง ด้านบนสุดของอาคารก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้าง ดวงตาสามคู่มองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกัน ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตา ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของทั้งสามก็สั่นเทา และพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะต่อต้านความปรารถนาที่จะโค้งตัวลงต่ำอย่างยอมจำนน
ทว่าน้ำหนักที่กดทับลงมาบนร่างของพวกเขากลับรู้สึกไม่ต่างอะไรกับภูเขาขนาดใหญ่ ไม่กี่วินาทีต่อมา พวกเขาทั้งหมดต่างคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง โค้งคำนับต่ำสุดจนศีรษะแทบจะติดกับพื้น
“ตุลาการนรก… ตุลาการนรก !! เหตุใดจึงมีขั้นตุลาการนรกอยู่แถวนี้ ?!!” หนึ่งในวิญญาณมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาคือชายที่มีบาดแผลฟันยาวอันน่าสยดสยองอยู่ที่คอของตน เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบพร่า
“ข้า… ข้าไม่รู้… แต่ข้าสามารถบอกได้ว่านี่คือขั้นตุลาการนรกที่แท้จริง… ขั้นตุลาการนรกตัวเป็น ๆ! นี่ไม่ใช่การปลอมแปลงแต่อย่างใด !” วิญญาณที่อยู่ข้าง ๆ เขาคือชายสูงวัยที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยรอยช้ำสีม่วงเขียวราวกับว่าเพิ่งคลานออกมาจากโลงศพหลังจากที่ถูกฝังไปนานหลายปี เสียงของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง “ละ…. และมันก็แตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่เราเคยเจอ... ขะ… ข้ารู้สึกได้… มะ… มันมีรัศมีของความยิ่งใหญ่และอำนาจแผ่ออกมาจากร่างของเขา… น่ากลัวเหลือเกิน…”
วิญญาณตนสุดท้ายคือผู้หญิงวัยกลางคน ค่อนข้างอวบอ้วนด้วยร่างกายที่บวมอืด ฟันของนางกระทบกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “กึก กึก กึก…!พวกเจ้าคิดว่า… มะ… มันจะยังไล่ตามเรามาอยู่หรือไม่ ? พะ เพราะสุดท้ายแล้ว… ระ… เราก็มีขั้นตุลาการนรกอยู่ในเมืองหวู่หยาง…”
เงียบสนิท….
ไม่กี่วินาทีต่อมา ชายสูงวัยก็กัดฟันแน่นและเอ่ยตอบ “มันมาแน่..! ”
“หนี… พวกเราจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ ! ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งมณฑลซานตงกำลังอยู่ภายในความโกลาหลอย่างไม่น่าเชื่อ… และเผื่อเจ้าจะลืม มัน… ก็อยู่ขั้นตุลาการนรกเช่นกัน…”
“เมื่อตุลาการนรกผู้นี้ตรวจสอบพื้นที่เสร็จ พวกเราจะต้องไป ! พวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ! ข้ารู้สึกได้… มันใกล้จะมาถึงเมืองหวู่หยางในอีกไม่ช้า…”
ในขณะเดียวกัน ที่เขตชานเมืองของเมืองหวู่หยาง
ประกาศเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ถูกเปิดวนทุกวันทำให้ชายขอบของเมืองดูไม่ต่างอะไรกับพื้นที่รกร้าง แต่ถึงกระนั้น มันกลับไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งชายที่ถือไม้ค้ำไม่ให้เดินโซซัดโซเซไปตามท้องถนนได้
เขามีรูปร่างผอมอย่างผิดปกติ …ผอมมากจนดูราวกับว่ามีเพียงผิวหุ้มกระดูก ดวงตาของเขาปิดสนิท แต่ทิศทางที่เขามุ่งหน้าตรงไปนั้นคือเมืองหวู่หยาง อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่าทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น
ภายใต้เปลือกตาดังกล่าวไม่มีลูกตาอยู่เลยสักนิด มันมีเพียงเปลวไฟนรกสองจุดที่ลุกโชนอย่างเป็นจังหวะ เปลวไฟที่สูงกว่าครึ่งฟุตลุกโชนขึ้นกลางอากาศทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ก่อนที่มันจะหดกลับไปสู่จุดที่มันจากมาอีกครั้ง
“ขั้นตุลาการนรก ?”
“เมืองหวู่หยางไม่เคยมีขั้นตุลาการมาก่อน... แต่จู่ ๆ …ขั้นตุลาการผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”
“แต่ช่างน่าเสียดาย ข้ายังอยู่ห่างเกินไป มันจึงไม่สามารถบอกได้เลยว่าขั้นตุลาการนรกผู้นี้คือผู้ใด ? แต่… เขา…กำลังแสดงพลังของตัวเองต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ ? ”
เงียบ….
หลายวินาทีต่อมา เขาก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาก่อนจะเดินหน้าต่ออีกครั้ง “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ลิ้มรสเนื้อของขั้นตุลาการนรกมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก… ฮ่า ๆๆๆๆ …! ถัดจากยมโลกแล้ว แดนมนุษย์นั้นนับว่าดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง…”
ในเวลาเดียวกัน ฉินเย่ก็ค่อย ๆ เก็บพลังหยินของตัวเองกลับมา
มันมีวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำสามตนอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่พวกเขามาทำอะไรที่นี่กัน ?
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา กลับกัน เด็กหนุ่มเพียงหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง หากพูดกันตามความจริง เขาสามารถกำจัดวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามได้อย่างง่ายดาย แต่ฉินเย่ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น
และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าสัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มันไม่น่าจะเกิดจากการปรากฏตัวขึ้นของสมบัติ ฉินเย่ไม่เชื่อในเรื่องเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากที่ตัดตัวเลือกดังกล่าวออกไป เขาจึงหันไปให้ความสนใจในความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งสำหรับการปรากฏตัวของขั้นยมทูตขาวดำทั้งสาม
นครเผิงชิวกำลังพังทลาย !
สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าทำให้เกิดการหลบหนีของราชาผีทั้งสาม ราชาผีแห่งพิภพอสูรได้หลบหนีไปยังสามมณฑลทางตะวันออก หลังจากผ่านไปร้อยปี พวกเขาก็สามารถเดาได้ในที่สุดว่ายมโลกได้ล่มสลายลงแล้ว และพวกเขาก็เริ่มบุกรุกกลับเข้ามาในใจกลางแผ่นดินจีน
กว่าจะถึงตอนนั้น มณฑลทางตะวันออกทั้งสามก็คงจะกลายเป็นรังของภูตผีนับหมื่นไปแล้ว ราชาผีแห่งพิภพอสูรพยายามที่จะกลับมายังใจกลางประเทศ แต่ความพยายามของพวกเขาก็ต้องถูกขัดขวางโดยกองกำลังป้องกันที่ถูกตั้งขึ้นโดยเมืองเยียนจิงและนครเทียนจิน แม้แต่ราชาผีที่ทรงพลังก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงแบบนั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะข้ามน้ำทะเลและเข้าสู่ประเทศจีนผ่านทางซานตงแทน แต่พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ามณฑลซานตง และแม้แต่มณฑลเจียงซูตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืด
ความได้เปรียบทางถิ่นที่ตั้งหมายความว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนี้ ขงโม่เองก็เป็นเบี้ยของตระกูลขง เขามีวัตถุหยินที่ทรงพลังอยู่จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการย้ายมิติอย่างพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกด้วย โชคดีที่กองกำลังส่วนหนึ่งของพวกเขาต้องประจำการเพื่อเผชิญหน้ากับราชาผี ยมโลกจึงสามารถอาศัยช่องว่างนี้ในการเข้ายึดครองฐานทัพหลักของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดได้สำเร็จ
การต่อสู้ของกองกำลังจำนวนมากได้เปลี่ยนให้ซานตงกลายเป็นยุคสมัยของสามก๊ก ยมโลกถูกผลักดันให้กลายเป็นที่สนใจจากการพิชิตที่เพิ่งผ่านมา และกระแสของสงครามก็เปลี่ยนมาเป็นทางฝั่งของพวกเขา
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ส่งผลกับวิญญาณที่อยู่รอบข้างอย่างไร ?
ฉินเย่ลูบคาง ครุ่นคิดอย่างหนัก หรือว่าการปรากฏตัวของวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสามเป็นผลพวกจากการทำสงครามระหว่างกองกำลังทั้งสามฝ่าย ?
บางที… เขาอาจจะได้รู้อะไรบางอย่างจากวิญญาณเหล่านี้ก็เป็นได้… นี่คือเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจไว้ชีวิตวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำทั้งสาม
แน่นอนว่ามันยังมีเหตุผลอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาหลบหนีมายังเมืองหวู่หยาง หมายความว่าวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดหรือราชาผีแห่งพิภพอสูร หากพูดกันตามความจริง พวกเขาอาจจะไม่รู้สาเหตุของสงครามดังกล่าวด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน นอกเหนือจากนั้น มันก็ยังมีเหตุผลอื่นที่จะสามารถรวบรวมเบาะแสได้ในแดนมนุษย์…
“มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ?” ฉินเย่ถามขณะที่เดินไปยังรถ SUV ที่จอดรออยู่ด้านนอก เลขาเจียงยื่นโทรศัพท์ของตนให้กับอีกฝ่าย “ตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยงวันครับ มีรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติถูกแจ้งเข้ามาติดต่อกัน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นโดยฝีมือของวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณหรือสูงกว่าทั้งสิ้น ทว่าหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบ พวกเราจึงได้รู้ว่ามันเป็นฝีมือของวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำ และเราก็ได้ทำการตรวจจับการเคลื่อนไหวของพวกมันแล้วเช่นกัน เลขาหม่าได้ให้อนุญาตในการแสดงข้อมูลเหล่านี้ให้กับคุณได้ในทันที ทั้งหมดอยู่ในโทรศัพท์แล้วครับ”
เด็กหนุ่มตกใจทันที่เขารับโทรศัพท์มา
มันร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ !
นอกจากนี้ มันยังสั่นไม่หยุดอีกด้วย
“แซมซังใช่ไหมครับ ?” ฉินเย่ถามกลับ “เมื่อเร็ว ๆ นี้ มันมีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าโทรศัพท์ยี่ห้อนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการระเบิดตัวเองได้ทุกเมื่อ ดูโทรศัพท์ของคุณสิ ผมคิดว่ามันก็คงจะใกล้ถึงจุดนั้นแล้วเหมือนกัน”
เลขาเจียงยิ้มแหย ๆ “ผมเองก็อยากจะเปลี่ยนเหมือนกันครับ แต่น่าเสียดายที่ทางเทศบาลนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับทางแซมซัง เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของเรา จุดพักแรกของกลุ่มแซมซังจึงเป็นซานตง นอกจากนี้ ด้วยการที่ซานตงสามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะของมณฑลแห่งการอุตสาหกรรมพลังงานได้ กลุ่มแซมซังจึงได้ติดตั้งโรงงานประกอบชิ้นส่วนของตนกว่า 40 แห่งขึ้นที่นี่”
“เช่นนั้นคุณก็ต้องระวังให้มาก” ฉินเย่แตะที่หน้าจอเบา ๆ ขณะที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะจบที่—…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวก็ระเบิดคามือของเขา โชคดีที่ฉินเย่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงรีบควบคุมระยะการระเบิดทั้งหมดด้วยพลังหยินขั้นตุลาการนรกของตัวเอง
บรรยากาศเริ่มเต็มไปด้วยความอึดอัดรายล้อมขึ้นมา
มันระเบิดทันทีที่ฉินเย่เอ่ยถึงมัน ราวกับว่า… มันกำลังรอให้เด็กหนุ่มพูดคำนี้มาโดยตลอด…
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น…” ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็กระแอมไอออกมาแห้ง ๆ “ผมซื้อเครื่องใหม่ให้คุณดีไหมครับ ?”
“มะ…ไม่…ไม่เป็นไรครับ…” เลขาเจียงแย้มยิ้มขมขื่น “ผมสามารถไปขอเครื่องใหม่จากทางรัฐได้ อย่างไรเสียโทรศัพท์เครื่องนี้ทางรัฐบาลก็เป็นผู้มอบให้อยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้ล้วนถูกจัดหาโดยกลุ่มซัมซุงทั้งสิ้น…”
เดาว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่ศาลากลางสินะ… เด็กหนุ่มคิดกับตัวเองขณะที่หลับตาลงเพื่อพักสายตา
ไม่นาน รถของพวกเขาก็ขับเข้ามาถึงที่ทางเข้าของศาลากลาง ทันทีที่เขาเปิดประตู เขาก็เห็นเลขาหม่าแห่งคณะกรรมการพรรคเทศบาล เฉียนเจี้ยนจวิน หัวหน้ากองทหาร 856 รวมถึงผู้ฝึกตนของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองหวู่หยางซึ่งนำโดยอู๋เหวินชิ่ง ทุกคนต่างรอการมาถึงของฉินเย่ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นกันอย่างมาก
ทันทีที่เขาลงจากรถ อู๋เหวินชิ่งก็รีบพุ่งตัวเข้ามา “คุณฉิน ! ในที่สุด…คุณก็บรรลุคอขวดเป็นขั้นตุลาการนรกแล้ว !”