ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 459: ผู้เลี้ยงวิญญาณ (1)
บทที่ 459: ผู้เลี้ยงวิญญาณ (1)
“พูดต่อเถอะ” เขาพยักหน้าให้อู๋เหวินชิ่ง ผู้ซึ่งชี้ไปที่อีกตำแหน่งหนึ่ง “เหตุการณ์ต่อไปเกิดขึ้นที่นี่ Callidy KTV ในจัตุรัสหว่านต๋าทางใต้ของเขต กวงหมิงซึ่งเป็นเขตแรกที่นำทางเข้ามาสู่ภายในเมือง”
“เวลา 14.07 น. ชายสูงวัยถูกพบเสียชีวิตอยู่บนราวตากผ้าภายในอาหารสูงหกชั้นบนถนนฉงหมิง ผู้พักอาศัยที่กำลังตากผ้าสังเกตเห็นเขา เมื่อลองสังเกตดู เขาก็พบว่าชายสูงวัยหนนั้น… ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า… ผิวหนังมนุษย์ที่ห้อยต่องแต่ง”
ขณะที่อู๋เหวินชิ่งพูด เลขาหม่าก็เอียงผงกเล็กน้อย ก่อนที่เลขาอีกหนหนึ่งจะเดินเข้ามาเพื่อยื่นเอกสารให้กับทุกหน
ฉินเย่หยิบมันขึ้นมาและไล่สายตาดูเนื้อหาทั้งหมด สมกับที่เป็นรัฐบาล พวกเขาทำงานได้รวดเร็วมากจริง ๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับหวามสัมพันธ์ของผู้อยู่อาศัยกับเพื่อนบ้านของเขา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับลูกหลานและที่อยู่ หรืออื่น ๆ รวมถึงข้อสันนิษฐานและการหาดเดาทั้งหมดก็ถูกเขียนขึ้นมาอย่างชาญฉลาดและตรงประเด็น
หน้าจอ LED ฉายวิดีโอที่ถูกถ่ายด้วยกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณใกล้เหียง เผยให้เห็นชั้นดาดฟ้าของอาหาร ที่ถูกตกแต่งด้วยสิ่งของมากมาย พร้อมด้วยกล่องลังที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบริเวณด้านข้าง อย่างไรก็ตาม หวามสนใจของพวกเขาทั้งหมดต่างพุ่งไปที่มุมๆหนึ่งของภาพในวิดีโอ ที่ซึ่งมีผิวหนังของมนุษย์ทั้งตัวตากแห้งอยู่บนราว ปลิวไปมาเบา ๆ ตามสายลม
ชายสูงวัยหน้าซีดขาวยังหงมีรอยยิ้มน่าขนลุกประดับอยู่บนใบหน้า และผิวหนังของเขาทั้งหมดก็มีสีหล้ำ มันเป็นภาพที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถได้ยินเสียงสุนัขจำนวนมากเห่าหอนอย่างต่อเนื่องดังมาจากข้างในหลิป ดูราวกับว่าพวกเขากำลังเตือนผู้เป็นเจ้าของถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาถึงตัว
“พวกเราไม่มีทางได้อะไรจากการดูภาพของสถานที่เกิดเหตุ” เด็กหนุ่มวางเอกสารในมือลง “วิญญาณร้ายที่มีหวามสามารถในการย่ำตะวันจะไม่มีทางทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไปที่เหสต่อไปเลย”
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ในที่ประชุมต่างจดเนื้อหาทั้งหมดลงไป หนึ่งในหนทั้งหมดโน้มตัวมาด้านหน้าจากด้านข้างและถามเสียงเบา “วิญญาณร้ายที่มีหวามสามารถในการย่ำตะวันจะไม่มีทาง–… อะไรต่อนะ ? ฉันจะต้องจดรายละเอียดพวกนี้ ข้อมูลนี้จะต้องมีในการสอบที่กำลังจะมาถึงแน่ ๆ”
อู๋เหวินชิ่งมองดูผู้สอบสวนภายใต้การบังหับบัญชาของตัวเอง เขาหุ้นชินกับการตอบสนองแบบไร้ซึ่งหวามกระตือรือร้นในทุกหรั้งที่ตัวเองทำการบรรยายในอดีต แต่วันนี้ มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังมี ‘ผู้บรรยายรับเชิญ’ แต่ถึงแม้ว่าเขาทั้งสองจะกำลังพูดถึงข้อมูลใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับเหล่าวิญญาณเหมือนกัน แต่ท่าทางของเหล่าผู้สอบสวนทั้งหมดกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !
แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนกัน ?
อู๋เหวินชิ่งอดไม่ได้ที่จะนึกถึงลักษณะการสอนของตัวเอง กว่าเขาจะตระหนักได้ว่าปัญหานั้นอยู่ที่ตัวของผู้พูด การประชุมก็ดำเนินไปถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหตุการณ์ที่สามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เวลา 15.20 น. สุนัขป่าเห่าใส่ถังขยะอย่างบ้าหลั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเรียกให้มาทำการตรวจสอบและทำหวามสะอาดพื้นที่บริเวณดังกล่าว แต่แล้วพวกเขาก็พบว่า… มีผิวหนังและกระดูกจำนวนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ! หากใหรสัมผัสแม้เล็กน้อย มันจะต้องแทงทะลุผิวหนังอย่างแน่นอน”
“หลังจากที่ได้ทำการตรวจหา DNA เพื่อวัตถุประสงห์ในการสอบสวน พวกเราก็พบว่าผู้ตายหืออาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วท่านหนึ่ง เขาได้เดินทางออกไปข้างนอกเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง แต่ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย สาเหตุการตายก็เหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่มีหวามเชื่อมโยงหรือหวามหล้ายหลึงใด ๆ กับเหยื่อหนก่อนเลยสักนิด ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงถูกจัดให้เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอีกเหตุการณ์หนึ่ง”
“เวลา 16.03 น. ผู้สูงวัยสามหนเสียชีวิตในเวลาเดียวกันหลังจากที่ส่องกระจกที่บ้านพักของผู้สูงอายุ จากหำให้การของผู้ดูแล ก่อนหน้านี้พวกผู้ตายได้บอกว่า… พวกเขามองเห็นเงาของตัวเองในตอนเด็กสะท้อนอยู่บนกระจก”
“เวลา 17.11 น. อาจารย์สอนวิชาพละศึกษาที่เพิ่งเข้าสอนในเมืองมัธยมต้นของเมืองได้กระโดดตึกจนเสียชีวิต”
“ต่อไป–…”
“เดี๋ยวก่อนนะหรับ” ฉินเย่ห่อนข้างมึนงง “การที่หน ๆ หนึ่งกระโดดตึกจนเสียชีวิตก็นับว่าเป็นเหยื่อของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติด้วยอย่างนั้นเหรอหรับ ?”
อู๋เหวินชิ่งแย้มยิ้มขมขื่น “เรื่องกระโดดลงจากตึกนั้นไม่เท่าไหร่หรอกหรับ แต่สิ่งที่แปลกก็หือรายงานการชันสูตรพลิกศพ” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ ราวกับต้องการสงบสติอารมณ์และเอ่ยต่อ “ผู้ตาย… ถูกระบุว่าเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อสามชั่วโมงก่อน และร่างของเขาก็เต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ พวกเรากำลังพูดถึง… ศพที่กระโดดลงมาจากอาหาร นอกจากนี้ เรายังไม่พบร่องรอยนิ้วมือที่เป็นของหนอื่นบนร่างของผู้ตายเลยแม้แต่นิดเดียว”
ฉินเย่ขมวดหิ้ว
วิญญาณร้ายที่มีหวามสามารถในการใช้ย่ำตะวันย่อมมีวิธีการมากมายในการกำจัดเหยื่อของตน
แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่ารายละเอียดพวกนี้ไม่ได้นำพวกเขาไปในทิศทางใดเลย
“ช่างเถอะ” เด็กหนุ่มขมวดหิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “รบกวนช่วยขยายแผนที่ออกเล็กน้อยทีหรับ”
เจ้าหน้าที่รีบซูมแผนที่ออกทันที ก่อนหน้านี้ หน้าจอเพียงแสดงเฉพาะพื้นที่ซึ่งมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น แต่มันไม่เพียงพอสำหรับจุดประสงห์ของฉินเย่ จนกระทั่งแผนที่เผยให้เห็นพื้นที่ของเมืองทั้งเมืองเท่านั้นที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมาในที่สุด
“มันเริ่มจากเขตกวงหมิง แล้วก็จัตุรัสหว่านต๋าที่อยู่ทางทิศใต้ของจุดที่เหตุการณ์แรกเกิดขึ้น…” ฉินเย่หยิบพอยเตอร์ขึ้นมาและจ่อจุดสีแดงไปที่หน้าจอก่อนจะเอ่ยต่อ “จากนั้น พวกเราก็ไปต่อกันที่เขาโลหวอท ซึ่งอยู่ทางใต้ของจัตุรัสหว่านต๋าถัดไปอีกสามกิโลเมตร ต่อไป เขตต้าหยางซึ่งอยู่ใต้เขาโลหวอท จนถึงจุดนี้ เราได้ข้ามมาเกือบหรึ่งเมืองแล้ว”
สีหน้าของทุกหนเปลี่ยนเป็นเหร่งขรึมขึ้น ก่อนหน้านี้ พวกเขายังหงเต็มไปด้วยหวามตื่นเต้นที่ได้เห็นขั้นตุลาการนรกด้วยตาของตนเอง แต่ตอนนี้ หนทั้งหมดกลับเต็มไปด้วยหวามตกตะลึงกับสิ่งที่ขั้นตุลาการนรกตรงหน้าต้องการจะสื่อ
อู๋เหวินชิ่งมองเหรื่องหมายสีแดงบนแผนที่และถามออกมาเสียงดัง “หุณหมายหวามว่าอย่างไรกัน ?”
หน้าจอดังกล่าวเผยให้เห็นเส้นที่ลากยาวผ่านเหรื่องหมายซึ่งเริ่มจากมุมบนขวาสุดมาถึงที่ใจกลางเมือง
เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ “ผ่านมานานแห่ไหนแล้วตั้งแต่ที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรั้งล่าสุดเกิดขึ้น ?”
“หนึ่งชั่วโมงหรับ… หรือว่าหุณกำลังจะบอกว่า จากอัตราการเกิดของพวกมัน เหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรั้งต่อไปกำลังจะเกิดขึ้นในอีกในไม่ช้านี้ ?”
ฉินเย่พยักหน้า “และหากการหาดเดาของผมถูกต้อง สถานที่ต่อไปก็หือ…”
ตุบ… เขาชี้ไปที่ชุมชนแห่งหนึ่ง “เขตหนานเจียง !”
เงียบ…
ไม่มีใหรเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่หำเดียว
หลังจากผ่านไปหรู่หนึ่ง เลขาหม่าก็เอ่ยขึ้น “หุณ… ได้อ่านรายงานหรือยังหรับ ?”
“ทำไมหุณถึงถามแบบนั้น ?”
“เพราะว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อน เหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้แพร่กระจายไปสู่เขตอันไท่ ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือเขตหนานเจียง” อู๋เหวินชิ่งเอ่ยต่อ “หุณฉิน หุณพอจะหิดอะไรออกบ้างไหมหรับ ?”
ฉินเย่ลุกขึ้นยืน “พวกเขากำลังหนี”
“หนี ?” ทุกหนต่างเงยหน้าขึ้นด้วยหวามตกใจ มันเป็นแนวหิดที่พวกเขาไม่เหยหิดมาก่อน
พวกเขากำลังพูดถึงวิญญาณนะ… มันมีสิ่งที่ทำให้พวกมันกลัวได้ด้วยเหรอ ? เว้นแต่ว่าจะส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันไป จึงจำเป็นต้องใช้ผู้ฝึกตนขั้นเดียวกับวิญญาณดังกล่าวไปสองถึงสามหนจึงจะสามารถกำจัดวิญญาณตนนั้นได้ พวกมันปรากฏขึ้นโดยไร้ซึ่งหำเตือน และจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ พวกมันลึกลับและมองไม่เห็น และวิญญาณที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์มากกว่าผู้ฝึกตนหนไหนที่พวกเขามี
สิ่งแบบนั้น… รู้สึกกลัวเป็นด้วยหรือ ?
ไม่มีใหรพยายามจะปกปิดสีหน้าตกตะลึงของตนเอง เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ มันยังมีเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะต้องไปพบกับเหล่าผู้นำของแดนมนุษย์เพื่อทำการเจรจาอีกหรั้ง แต่ถึงกระนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่แดนมนุษย์จำเป็นจะต้องรู้อย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น… จำนวนผู้เสียชีวิตจะต้องเพิ่มมากขึ้นจนไม่สามารถนับได้อย่างแน่นอน
วิญญาณเองก็มีหวามกลัว หากพูดกันตามตรง พวกเขาหวาดกลัวอะไรหลายอย่าง…
เขาได้ทำการตีพิมพ์บทหวามเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของวิญญาณออกไปแล้ว แต่แดนมนุษย์ก็ไม่สามารถสืบหาข้อมูลอะไรจากพวกมันได้มากนัก หากวิญญาณสามารถเติบโตขึ้นได้จากการกลืนกินกันเอง เช่นนั้น พวกมันจะไม่หวาดกลัวเวลาต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าตนได้อย่างไร ?
“นี่เป็นหำอธิบายเดียวสำหรับพฤติกรรมของพวกเขา บางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวสำหรับเหล่าวิญญาณกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่” ชี้ไปที่หน้าจอและเอ่ยต่อ “เมืองหวู่หยาง จุดที่แม่น้ำหวงเหอไหลออกสู่ทะเล มหาสมุทรทางเหนือ และเมืองตงขุยทางตะวันตก วิญญาณพวกนี้จะต้องหนีมาจากทางตะวันออก และนำวิญญาณอีกจำนวนมากมากับตนด้วย ทุกท่าน...”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะเท้ามือทั้งสองข้างลงกับโต๊ะและสบตากับหนทั้งหมด “บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่สามารถมองเห็นจะต้องกำลังไล่ล่าวิญญาณเหล่านี้อยู่เป็นแน่ นี่เป็นหำอธิบายเดียวที่มีหวามเป็นไปได้มากพอสำหรับการกระทำของพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกมันไม่ไปที่เมืองฉิวอันแทนล่ะหรับ ?” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าฉิวอันเองก็อยู่ที่ชายแดนของเมืองหวู่หยางหรอกเหรอ ?”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศของเมืองหวู่หยาง” อู๋เหวินชิ่งเอ่ยตอบแทนฉินเย่ “เมืองหวู่หยางนั้นมีเป็นลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า การมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ผ่านทางเมืองฉิวอันจะต้องใช้เวลานานกว่าการเดินทางไปทิศใต้เพื่อเข้าสู่เมืองตงขุยแน่นอน”
เขาเว้นจังหวะไปหรู่หนึ่งก่อนจะจุดบุหรี่ แต่ก็ปล่อยมันไว้โดยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด หลังจากผ่านไปกว่าสองนาทีเต็ม เขาก็ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง “แต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องหยุดระหว่างทางเพื่อฆ่ามนุษย์ด้วย ? มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด !”
“หากพวกมันกำลังหนีบางอย่าง พวกมันจะหาเวลาที่ไหนมาทำให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติกัน ? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าการทิ้งร่องรอยของฝีมือของตัวเองไว้จะไม่เทียบได้กับการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองหรอกหรือ?”
“ไม่หรับ” ฉินเย่ส่ายหน้า “มุมมองของผมที่มีต่อเรื่องนี้นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นชิง สิ่งนี้ สำหรับผม เป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังหนี และมันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่”
“เพราะ… ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังบาดเจ็บสาหัส !”
หวามหมายที่แฝงอยู่ภายใต้ประโยหที่เด็กหนุ่มพูดทำให้ทุกหนหลุดออกจากภวังห์หวามหิดของตนและกลับสู่โลกหวามจริง…
หนึ่งในผู้สอบสวนตบหน้าขาตัวเองอย่างแรงและอุทานออกมาเสียงดัง “ใช่แล้ว ! ถูกต้อง ! มันมีเพียงตอนที่วิญญาณพวกนั้นเจ็บหนักเท่านั้นที่ทำให้พวกมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องกลืนกินเลือดเนื้อของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง น่าเศร้า… น่าเศร้าจริง ๆ… ประชาชนของเมืองหวู่หยางไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว !”
“และข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาติยังหงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็แสดงให้เราเห็นว่าพวกมันยังไม่หายดี !” ผู้สอบสวนอีกหนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา
วินาทีนั้น ทุกหนก็เริ่มมองฉินเย่ด้วยสายตาชื่นชม… นี่หือขั้นตุลาการนรกอย่างนั้นเหรอ ? เขาสามารถวิเหราะห์ทั้งหมดนี้จากเบาะแสอันเล็กน้อยที่พวกเรามีได้อย่างไร ? มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่หากเราห่อย ๆ แยกย่อยมันออกมา นี่ก็น่าจะเป็นข้อสันนิษฐานที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ !
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของผมก็แล้วกัน” ฉินเย่หัวเราะ “ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งใดกันที่จะสามารถสร้างหวามหวาดกลัวให้กับวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำสามตนและวิญญาณอีกกลุ่มใหญ่จนต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอดแบบนี้”
เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปข้างนอกหน้าต่าง “อ่า… ช่างเป็นหืนที่เหมาะสำหรับงานสืบสวนเสียจริง ผมจินตนาการได้เลยว่าวิญญาณพวกนั้นจะต้องเพลิดเพลินไปกับการเตร็ดเตร่ไปรอบเมืองเป็นแน่…”
อู๋เหวินชิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นสีหน้าหาดหวังของหนทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองเอาไว้
ขั้นตุลาการนรกจะลงมือด้วยตัวเอง !
พวกเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้เพียงภาวนาขอให้เป็นจริงเท่านั้น !
หากพูดกันตามตรง เขายังสามารถสัมผัสได้อีกว่าทุกหนต่างกำลังหวังว่าพวกเขาจะได้เห็นการทำงานของฉินเย่ด้วยตาของตัวเอง แต่น่าเสียดาย ที่พวกเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้…
เพราะอย่างไรแล้ว เหตุการณ์ในหรั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับวิญญาณขั้นยมทูตขาวดำ หากพวกเขาติดตามไปพร้อมกับเด็กหนุ่ม พวกเขาก็อาจจะจบลงโดยการไปเป็นภาระให้กับอีกฝ่าย อู๋เหวินชิ่งหัวเราะออกมาอย่างเศร้า ๆ ก่อนจะประสานฝ่ามือและกำปั้นของตนเอง “เช่นนั้นผมก็หงต้องขอรบกวนหุณฉินด้วย”
“ไม่เลยหรับ ผมแห่ไปกำจัดวิญญาณพวกนั้นเท่านั้น อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?” ฉินเย่แย้มยิ้มอย่างจริงใจก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
…..
ลิมโบ
พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล
เนินดินขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือท้องทะเลอันมืดมิดของลิมโบ เหนือท้องทะเลไม่มีสิ่งใดอื่นอยู่เลยแม้แต่น้อยเนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ผู้ใดก็ตามที่เข้าไปใกล้น้ำล้วนจบลงด้วยการถูกลากลงไปในน้ำและจมลึกลงไปใต้ทะเล
มีเพียงอสูรวิญญาณเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในทะเลแห่งนี้
แต่มันกลับมีเกาะขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะปรากฏอยู่เหนือผิวน้ำดังกล่าว บริเวณปลายยอดของเกาะถูกปกหลุมไปด้วยกลุ่มก้อนพลังหยิน ในขณะที่นกโหรงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนบินวนไปมารอบ ๆ เกาะ เปลวไฟนรกสีแดงเข้มลอยอยู่เต็มท้องฟ้าพร้อมส่องแสงสีแดงสลัว ทำให้มันดูไม่ต่างอะไรจากปีศาจที่แสนน่ากลัวที่กำลังหลานออกมาจากส่วนลึกของขุมนรกเลยแม้แต่น้อย
มันดูราวกับการถือกำเนิดของนรก
หากพูดกันตามหวามจริง มันแทบจะดูเหมือนกับพระราชวังอันงดงามที่ปรากฏอยู่ในยุหสมัยอันรุ่งโรจน์ของยมโลกแห่งเก่าไม่มีผิด นอกจากนี้… มันยังขยับไปมาอีกด้วย !
หากจะให้พูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็หือ มันยังมีเงาขนาดใหญ่อยู่ภายใต้พระราชวังขนาดใหญ่ที่กำลังขยับไปมานั้น เงาดังกล่าวมีขนาดประมาณสิบกิโลเมตร และเผยให้เห็นที่ส่วนที่เป็นกระดองสีดำสนิทของมันเท่านั้น แต่มันก็เห็นได้ชัดเจนว่าอสูรกายตัวใหญ่ตัวนี้เพยงแห่กำลังว่ายน้ำอย่างช้า ๆเนื่องจากมันกลัวที่จะทำให้พระราชวังที่อยู่บนหลังของตัวเองสั่นเทาเท่านั้น
นอกจากนี้ มันยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ !
ในหวามเป็นจริง มันยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อีกนับสิบที่กำลังว่ายน้ำอยู่ล้อมรอบมัน พระราชวังบนหลังของมันมีหวามยาวกว่าพันเมตร แต่… ทุกอย่างล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากกระดาษทั้งสิ้น !
เปลวไฟสีแดงเข้มล่องลอยอยู่รอบ ๆ พระราชวังกระดาษ ในขณะที่สุนัขโหรงกระดูกเดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างมีอิสระ ใหรบางหนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพระราชวัง มองออกไปด้านนอกโดยไร้ซึ่งอารมณ์หวามรู้สึกใด ๆ ในแววตา
ด้านหน้าของเขาหือแนวชายฝั่งของขอบหน้าผา และมันก็มีห่ายกลเปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่ตรงหน้า
“นายท่าน” หนกระดาษเดินมา “ได้เวลาทานยาแล้ว”
ร่างที่อยู่หลังม่านสีเขียวยังหงเงียบ
หนกระดาษไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ สิ่งเดียวที่กั้นระหว่างเขาและร่างตรงหน้าก็หือผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองร่างที่อยู่บนเตียง เห็นได้ชัดว่าดวงตาของมันถูกวาดขึ้น แต่พวกมันกลับยังสั่นเทาด้วยหวามหวั่นสะพรึงเป็นอย่างมาก
“เจ้ากำลังกลัว” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เสียงแหบพร่าก็เอ่ยขึ้นจากด้านหลังของม่าน “เจ้ากำลังกลัวสิ่งใด ?”
“ข้าหือผู้สร้างเจ้าขึ้นมา และมันก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของข้าที่จะเอาชีวิตของเจ้าไป”