ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 463: ไร้เงา (2)
บทที่ 463: ไร้เงา (2)
พลังหยินปะทุออกมาจากร่างของฉินเย่และห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์!
ราวกับดอกปี่อั้นสีดำที่บานออก แผ่นยันต์ที่อยู่รอบ ๆ ลอยสูงขึ้นกลางอากาศและกระพืออย่างรุนแรง พลังหยินที่หนาแน่นและดำสนิทปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นดาดฟ้าของอาคาร และยังเริ่มตกลงด้านข้างของอาคารราวกับน้ำตกขนาดใหญ่…
พรึ่บ…!
ทันใดนั้น ตัดกับผืนผ้าใบสีดำของท้องฟ้ายามราตรี ลูกไฟนรกสองลูกลุกโชนขึ้นกลางอากาศราวกับดวงตาที่ส่องสว่าง สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านด้านบนดาดฟ้าอย่างรุนแรง ไร้เงายกมือขึ้นมาไว้ตรงหน้า พยายามป้องกันตัวเองจากสายลมที่รุนแรง แม้แต่เสื้อคลุมของเขาเองก็กระพืออย่างรุนแรงเช่นกัน…
นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เปลวไฟในดวงตาของเขาหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับปลายเข็ม เส้นประสานของเขาตึงเครียดจนถึงขีดสุด เขาสามารถบอกได้เลยว่าพลังหยินที่พรั่งพรูอยู่ตรงหน้าของตัวเองตอนนี้นั้นมหาศาลอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน! แม้ว่าเขาเองจะเป็นขั้นตุลาการนรกเหมือนกัน แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าบุคคลตรงหน้านั้นทรงพลังกว่าเขามาก!
หากพูดกันตามความจริง เขารู้สึกกับคนตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับภูเขาไท่ซานเลยสักนิด!
หากพูดถึงในแง่ของขั้นบ่มเพาะแล้ว พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ขั้นเดียวกัน แต่ปริมาณพลังที่ปล่อยออกมานั้นอยู่คนละระดับอย่างสิ้นเชิง! มันคล้ายกับการเปรียบเทียบอำนาจระหว่างผู้อำนวยการสำนักงานป่าไม้ที่ดูแลพื้นที่รกร้าง กับผู้อำนวยการสำนักงานป่าไม้ที่รับผิดชอบดูแลป่าไม้อันกว้างใหญ่…
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากเพียงเศษเสี้ยวขนาดเล็กที่กำลังเผชิญหน้ากับความโกรธของท้องทะเลและผืนฟ้าเลยสักนิด บางที…แม้แต่ราชาผีเองก็อาจจะไม่มีพลังหยินที่หนาแน่นขนาดนี้!
หนี!
คำพูดจาที่เขาเอ่ยกับฉินเย่เมื่อครู่ยังคงติดตรึงอยู่ภายในหัว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจศักดิ์ศรีของตัวเองอีกต่อไป ทันทีที่พลังหยินอันไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากร่างของฉินเย่ เท้าของเขาก็รีบดีดตัวไปทันที และเขาก็พุ่งตัวออกไปอย่างไม่ลังเล ในขณะเดียวกันเขาก็ดีดนิ้ว ส่งผลให้เปลวไฟนรกจำนวนสิบลูกลอยออกมาจากตะเกียงโบราณและพุ่งเข้าหาฉินเย่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าสะสมวิญญาณเพื่อประโยชน์ของตนเอง นั่นจึงทำให้เจ้าถูกเรียกว่านักสะสมวิญญาณ?” ฉินเย่ถามออกมาเสียงดัง เสียงของเขายังคงนิ่งเรียบ แต่มันกลับทำให้ร่างของผู้ไร้เงาสั่นเทาอย่างรุนแรง
อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย… ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าการโจมตีของเขาเมื่อครู่นั้นไม่สามารถทำอะไรคน ๆ นั้นได้เลยหรอกหรือ?
นี่ชายผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถคงอยู่ได้ทั้งในโลกใต้พิภพและแดนมนุษย์?!
ไร้เงากรีดร้องออกมาภายในใจ การเดินทางสู่ขั้นตุลาการนรกของเขานั้นผ่านมาด้วยการเข่นฆ่ามนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนอย่างไร้ความปราณี นั่นทำให้เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นร้ายแรงเพียงใด
ระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการมีชีวิตรอดและการสลายไปของดวงวิญญาณของเขาได้อย่างง่ายดาย มันไม่มีช่องว่างให้ลังเล
ดังนั้น เขาจึงโยนตะเกียงในมือ สายโซ่ทั้งหมดที่ผูกไว้กับมันแตกสลายในทันที และเปลวไฟนรกในดวงตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นหนึ่งเมตร จากนั้น เขาก็ประกบมือเข้าด้วยกันขณะที่พุ่งตัวไปข้างหน้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถเก็บออมพลังเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น…เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ไพ่ตายของตัวเอง!
ไม่…เขาจะต้องเตือนราชาผีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่! ชายผู้นี้แปลกเกินไปแล้ว! เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเองก็อยู่ขั้นตุลาการนรก แต่ทั้งหัวใจและหัวสมองของเขากลับบอกเขาว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลยสักนิด!
“ซ่ากกกกก!!!” ตะเกียงโบราณระเบิดออก วิญญาณนับร้อยพุ่งตัวออกมาพร้อมกัน ราวกับคลื่นสึนามิสีดำและเขียว คลื่นพลังหยินที่รุนแรงพุ่งไปทางฉินเย่ แต่ก่อนที่มันจะได้เข้าใกล้เขา ทั่วชั้นดาดฟ้าก็สั่นสะเทือน และเสี้ยววินาทีต่อมา…วิญญาณทั้งหมดก็กรีดร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนจะกระจัดกระจายตัวหนีไป น่าเสียดาย ไม่นานพวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกลากกลับลงมาที่พื้น แทบจะเหมือนกับว่ามีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นได้ยึดร่างของพวกเขาเอาไว้
ตู้ม!
ในเวลาเดียวกัน ผู้ไร้เงาก็สามารถมาถึงที่ขอบของอาณาเขตเวทได้ในที่สุด เขารวบรวมกำลังทั้งหมดและพุ่งเข้าใส่กำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งขวางหน้าของตนอยู่อย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น
และแรงกระแทกที่รุนแรงดังกล่าวก็ส่งระลอกคลื่นไปทั่ว อย่างไรก็ตาม…อาณาเขตเวทยังคงไม่บุบสลาย!
บัดซบ…! ไร้เงากัดฟันแน่นและกลับหลังหัน พร้อมที่จะวางชีวิตของตนไว้บนฟางเส้นสุดท้าย แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็ได้พบกับภาพที่น่าสะพรึงกลัว
เขาเห็นวิญญาณที่แต่งกายด้วยชุดเกราะโบราณยืนอยู่ตรงหน้าของฉินเย่ วิญญาณตนดังกล่าวอ้าปากกว้างประมาณหนึ่งเมตรราวกับหลุมดำ และวิญญาณกว่าร้อยตนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตะเกียงของเขาก่อนหน้านี้ก็กำลังถูกกลืนกินไปโดยวิญญาณเพียงตนเดียว พลังหยินที่ไร้ขอบเขตได้รั่วไหลออกมาจากรูขุมขนของวิญญาณตนดังกล่าว ในขณะที่ฉินเย่ยืนอยู่ด้านหลัง มองดูอย่างเฉยเมยโดยที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ!
“ทักษะนี้มันช่างเหมาะสมสำหรับจ้าวนรกที่แสนจะขี้เกียจอย่างข้าเสียจริง…” ฉินเย่พึมพำกับตัวเองและถอนหายใจออกมาขณะที่ก้าวมาข้างหน้า “ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือด้วยตัวเองด้วยซ้ำ สุดยอดไปเลย… เจ้าว่าไหม?”
ผู้ไร้เงายังคงยืนนิ่งอยู่กับพื้น พูดอะไรไม่ออก
วิญญาณตนนั้น… แข็งแกร่งกว่าวิญญาณนับร้อยของเขารวมกันเสียอีก นอกจากนั้น…มันยังเป็นหนึ่งในวิญญาณพิเศษที่พันปีจะปรากฏขึ้นสักครั้งอีกด้วย มันคือวิญญาณที่มักรู้จักในชื่อของวิญญาณกลายพันธุ์
เขา…ควรจะเป็นผู้เลี้ยงวิญญาณ ผู้ที่เก่งที่สุดในหมู่มัจจุราชแห่งยมโลกด้วยกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย…
พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ขั้นตุลาการนรก แต่ทำไมช่องว่างระหว่างระดับพลังถึงกว้างขนาดนี้?
นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า?
“หึหึ…ดูเจ้าสิ มันเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้ายังคงมีความเกลียดชังหลงเหลืออยู่ แต่ก็อย่างที่ข้าพูด คุณภาพชนะปริมาณ ลองดูนี่…”
ฉินเย่โบกมือ และผู้ไร้เงาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เนื่องจากมีวิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะโบราณเช่นกันปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
วิญญาณกลายพันธุ์อีกตนหนึ่ง…ไร้เงาอ้าปากค้างด้วยความสยดสยอง เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าของชายคนนี้ เขายังมีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าผู้เลี้ยงวิญญาณอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
แต่เขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมวิญญาณทั้ง 300 ตนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตัวเองได้!
พวกเราเดินบนเส้นทางเดียวกัน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงแข็งแกร่งกว่าเขาขนาดนี้?!
“สิ่งนี้เรียกว่าเคล็ดวิชาพันธะร้อยวิญญาณ เจ้าไม่คิดว่ามันน่าอัศจรรย์หรอกหรือ? เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ข้าเรียกมันว่า วิชาลับแดง…หุ่นเชิด100ศพ” [1]
“เจ้าเป็นใครกัน?” พลังหยินหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของผู้ไร้เงา มันแสดงให้เห็นถึงความกลัวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับเสียงเบา “หมู่บ้านซึนะงาคุเระ ซาโซริแห่งทรายสีแดง” [2]
ซาโซริ? หมู่บ้านซึนะงาคุเระ?
ผู้ไร้เงาสลักชื่อของอีกฝ่ายไว้ในใจ ในขณะเดียวกันฉินเย่ก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ทำลายร่างเนื้อของเขาซะ แต่เก็บดวงวิญญาณของเขาเอาไว้อย่าให้บุบสลาย เขายังมีประโยชน์อยู่”
“ข้าขอยอมแพ้” ทันใดนั้นผู้ไร้เงาก็คุกเข่าลงพื้น ก่อนจะโค้งศีรษะจนหน้าผากแตะพื้นเพื่อคำนับให้กับฉินเย่อย่างผู้ที่ยอมจำนน…
ทันใดนั้น…จิตใจของฉินเย่ก็พลันรู้สึกห่อเหี่ยวทันที
ให้ตายเถิด… นี่เจ้าต้องรีบยอมรับความพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ? ข้ายังไม่ได้ลองวิญญาณตนอื่นที่มีเลยสักนิด!
จนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มเพิ่งใช้วิญญาณที่อยู่ภายใต้เคล็ดวิชาพันธะร้อยวิญญาณของเขาเพียงแค่สองตนเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
“เจ้า…”
“เพียงแค่ท่านถามมาเท่านั้น!” เสียงของผู้ไร้เงาดังขึ้นขัดก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยจบ “หากข้ารู้ ข้าจะตอบอย่างแน่นอน...”
“แต่ข้า…”
“ศัตรูของท่านก็คือศัตรูของข้า! ตั้งแต่นี้เป็นต้องไป ผู้ไร้เงาผู้นี้จะทำหน้าที่ภายใต้ธงของหมู่บ้านซึนะงาคุเระ ราชาผีแห่งพิภพอสูรไม่ใช่นายเหนือหัวของข้าผู้นี้อีกต่อไป!”
“รู้หรือไม่…ข้าสามารถปล่อยให้เจ้าแสดงความกล้าหาญของตนเองได้หากเจ้าต้องการ...”
“ท่านซาโซริ!” ผู้ไร้เงาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ประจบสอพลอที่สุดบนใบหน้า “ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยผู้นี้อยากจะแบ่งปันความทุกข์ยากของท่าน! ได้โปรดให้ข้าได้แบ่งเบาความรับผิดชอบบางส่วนของท่าน! ข้าจะใช้ชีวิตในฐานะของวิญญาณแห่งหมู่บ้านซึนะงาคุเระ และตายเพื่อหมู่บ้านซึนะงาคุเระ!”
ให้ตายเถิด… นี่เจ้าจำเป็นจะต้องตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วและแน่วแน่ถึงเพียงนี้เลยหรือ? แล้วแบบนี้ข้าจะเหลือข้ออ้างอะไรในการสังหารเจ้ากัน?
เขาหมายถึง… วิญญาณที่อยู่ภายใต้อำนาจของราชาผีแห่งพิภพอสูรนี่ไม่ซื่อสัตย์แบบนี้ทุกตนหรือเปล่า? ไอ้การยอมรับความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วโดยไม่คิดที่จะพยายามขัดขืนนี่มันอะไรกัน? นี่อีกฝ่ายรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำให้ชื่อเสียงของวิญญาณเสื่อมเสีย?
ทั่วทั้งพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ…
ผู้ไร้เงาลอบกลืนน้ำลายและจ้องไปยังฉินเย่ด้วยความหวาดหวั่น หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยออกมา “ลุกขึ้น”
“ขอบคุณนายท่าน...ขอบคุณ” ผู้ไร้เงาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและรีบลุกยืนขึ้น แต่สิ่งที่ฉินเย่ไม่ทันสังเกตเห็นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามือทั้งสองข้างของไร้เงากำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงอยู่ภายใต้แขนเสื้อยาว
เขากลัวความตายชั่วนิรันดร์…
ทันทีที่เขาพบว่าฉินเย่สามารถบดขยี้ตัวเองได้อย่างง่ายดายราวกับมดตัวหนึ่ง เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะได้กลับไปหาราชาผี
การเดินทางมาสู่ขั้นตุลาการนรกนั้นช่างยาวนานและยากลำบาก ระหว่างศักดิ์ศรีและชีวิต ตัวเลือกที่จะเลือกนั้นชัดเจน หากเขาคิดจะหลบหนี เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน มันยังพอมีโอกาสรอดชีวิตหากเขายอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ว่ามันจะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม ศักดิ์ศรีจะไปสำคัญอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย?
แต่เขากลับไม่คิดเลยว่าบุคคลที่แสนจะน่าสะพรึงกลัวตรงหน้าจะไว้ชีวิตเขาด้วยความเมตตาเช่นนี้!
“เจ้าคิดว่าตัวเองโชคดีหรือไม่?” ทันใดนั้นฉินเย่ก็จ้องไปที่ผู้ไร้เงาอย่างไร้ความรู้สึกด้วยรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
เขาเอ่ยต่อโดยไม่เว้นช่วง “เพราะความจริงของเรื่องนี้ก็คือ…ข้าไม่เคยคิดที่จะปล่อยดวงวิญญาณของเจ้าสลายไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ทำไมกัน?
ผู้ไร้เงายังคงก้มหน้าต่ำ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง และอะดรีนาลีนภายในร่างก็เริ่มพุ่งพล่าน ภายในไม่กี่วินาที เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาก็เริ่มลุกโชนอย่างรุนแรง
มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วนกลับปรากฏขึ้นมาภายในหัวของเขา
มณฑลซานตงนั้นเคยเป็นของกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดมาก่อน ดังนั้น มันไม่มีทางที่กลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดจะได้รับความร่วมมือจากขั้นตุลาการนรกที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านซาโซริเป็นอันขาด แต่อย่างไรก็ตาม…ข้อเท็จจริงที่ว่าท่านซาโซริไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนในอดีตนั้นยังคงอยู่…
การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของเขา…ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการถอยทัพอย่างแปลกประหลาดของขงโม่ นี่เรา…กำลังพูดถึงกองกำลังฝ่ายที่สามในสมรภูมิอย่างนั้นหรือ?!
กองกำลังฝ่ายที่สามปรากฏตัวขึ้นในมณฑลซานตงแล้ว?!
ผู้ที่กล้าเดินเข้ามาในการปะทะระหว่างขั้นฝู่จวินและพันธมิตรของขั้นตุลาการนรกกว่าสิบตน? พวกเขากล้าพาตัวเองเข้ามาอยู่ในสงครามขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทหารวิญญาณนับล้าน?!
เปลวไฟในดวงตาของเขาลุกโชนอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขามองไปที่ฉินเย่อีกครั้ง แต่เป็นในมุมมองใหม่อย่างสิ้นเชิง ฉินเย่เองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน เขาปล่อยให้ความคิดของวิญญาณตรงหน้าดำเนินต่อไป
ขงโม่จะต้องตาย!
ฉินเย่รู้ดีว่าเขาไม่มีทางสังหารราชาผีได้ เมื่อเปรียบเทียบกับราชาผีที่โหดร้ายและมักจะโจมตีก่อน ขงโม่นั้นอ่อนแอกว่าอีกสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าขงโม่นั้นมีทหารวิญญาณกว่าล้านนายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา และมีวัตถุหยินระดับสูงให้ใช้กว่า 20 ชิ้น!
ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการโค่นล้มขงโม่และทำลายอีกฝ่าย เขาจะต้องคิดหาทางหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเป็นแน่ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ด้วยการมีราชาผีของด้านหน้า และกองกำลังของยมโลกอยู่ด้านหลัง ฝ่ายของขงโม่ก็กำลังเจอศึกหนัก แต่หากยมโลกไม่คว้าโอกาสนี้และรีบกำจัดกลุ่มพันธมิตรแห่งความมืดและปล่อยโอกาศให้อีกฝ่ายสามารถหลบหนีไปได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องไม่สามารถจินตนาการได้
นอกจากนี้ กองกำลังของยมโลกเองก็ยุ่งอยู่กับงานที่เมืองเผิงชิวและจัดการกับสิ่งที่ได้จากสงคราม แล้วพวกเขาจะแบ่งกำลังคนและกองกำลังทหารมาไล่ตามจับขงโม่ได้อย่างไร?
สงครามอาจจะเกิดขึ้นในลิมโบ แต่ลิมโบก็ยังคงเป็นทางผ่านระหว่างโลกใต้พิภพและแดนมนุษย์! ฉินเย่ไม่ต้องการให้อีกอาณาจักรหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและก่อตั้งฐานทัพของตัวเองขึ้นในลิมโบ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม!
ฉินเย่มีความคิดที่ค่อนข้างไร้เดียงสาในการที่จะปิดวงจรนี้ แต่เขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยตัวเอง…
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถยืมมือผู้อื่นได้
“ประการแรก ข้ามีคำถามสองสามคำถามที่ข้าจะถามเจ้า” ฉินเย่เอามือทั้งสองข้างไปไขว้ไว้ด้านหลังและเริ่มเดินไปรอบๆ “เจ้านายของเจ้าคนก่อนคือราชาผีแห่งวิญญาณอสูร วิญญาณขั้นฝู่จวินระดับสูงใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว…” แค่การเอ่ยถึงชื่อของราชาผีก็ทำให้ร่างของผู้ไร้เงาสั่นระริก อีกฝ่ายมีระดับพลังที่มากกว่าเขาราวกับอยู่คนละโลก!
ขั้นฝู่จวิน...ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่วิญญาณและผู้ฝึกตนของแผ่นดินจีนในเวลานี้!
ฉินเย่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ไร้เงาและจ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่าย “บอกชื่อของเขามา”
“เขาคือบุคคลผู้ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนใดกัน? แล้วเขามีชีวิตมานานเพียงใดแล้ว?”
เงียบสนิท…
ไร้เงากรีดร้องออกมาภายในใจ หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็โค้งคำนับฉินเย่ “ท่านซาโซริ”
“สำหรับผู้ที่อยู่ขั้นฝู่จวินแล้ว…หากมีใครเอ่ยชื่อของพวกเขา พวกเขาจะรู้ทันทีไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด! ท่าน...เข้าใจหรือไม่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?”
ดวงตาของฉินเย่วูบไหว จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น
วิญญาณตรงหน้ารู้ชื่อที่แท้จริงของราชาผี!
และฝ่ายนั่นก็จะรู้ตัวทันทีหากชื่อของตนถูกเอ่ยออกมา นี่คือสิ่งที่อาร์ทิสเคยพูดเอาไว้ในอดีต แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ชื่อจริงของราชาผี แล้วผู้ใดจะไปคาดคิดกันว่าผู้ใต้บังคับของเขาจะรู้?!
เฮ้อ…ราชาผีทั้งสาม… ในที่สุดพวกเราก็จะได้ทำความรู้จักกันแล้วใช่หรือไม่?
“เจ้ากำลังหาที่หลบภัยอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ระงับความตื่นเต้นภายในใจขณะที่เอ่ยออกไป
“ชะ ใช่แล้วนายท่าน” ไร้เงากัดฟันแน่นและเอ่ยขอออกไปอย่างกล้าหาญ “ทันทีที่ข้าเอ่ยชื่อของเขาออกไป…เขาจะรู้ได้ทันทีว่าข้าทรยศเขา แต่ข้า…ยังไม่อยากตาย!”
ฉินเย่สบตาอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยออกไปในที่สุด “ข้าสัญญา”
“เช่นนั้นก็ตกลง…” ผู้ไร้เงาหลับตาลงในที่สุด ปิดซ่อนเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอย่างบ้าคลั่งของตนเอง หลังจากผ่านไปกว่าสามนาทีเต็ม เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทาและหวาดกลัว “ราชาผีแห่งอสูร.…ในตอนที่ยังมีชีวิต เขามีนามว่า…ฉินฮุ่ย”
ฉินฮุ่ย?
สกุลเดียวกับเขาอย่างนั้นหรือ?
ฉินเย่ขมวดคิ้วและเริ่มค้นหาในความทรงจำของตนเอง จากนั้น ภาพของชายผู้หนึ่งก็ฉายชัดขึ้นมาภายในหัว!
“ฉินฮุ่ย เกิดที่เมืองเจียงหนิง หวงโจว?! เขาน่ะหรือ?!” [3]
“ใช่แล้ว!” ไร้เงาตัวสั่น “ราชาผีแห่งพิภพเปรตมีนามว่าซูต๋าจี่…นางเป็นสตรีจากสมัยราชวงศ์ชาง ส่วนมากมักรู้จักกันในชื่อของวิญญาณจิ้งจอก หรือราชินีปีศาจ!” [4]
“ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉานนั้นมีนามว่าต่งจั้ว หรือต่งจ้งอิ่ง เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องของการทรมานเชลยโดยการผูกร่างของพวกเขาด้วยผ้าที่เปียกโชกด้วยน้ำมันและเริ่มจุดไฟเผาตั้งแต่ช่วงเท้า มองดูสีหน้าของพวกเขาและเพลิดเพลินไปกับเสียงร้องโหยหวนขณะที่พวกเขาถูกเผาจนตาย เมื่อเสียชีวิต เขาได้ถูกเนรเทศไปยังพิภพอสูรที่ซึ่งเขาจะต้องทุกข์ทรมานสำหรับอาชญากรรมที่ได้ก่อเอาไว้เป็นระยะเวลากว่าพันปี!” [5]
“พวกเขาล้วนเป็นตัวร้ายที่มีชื่อฉาวโฉ่มานานนับพันปี! แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใด…หลังจากที่ผ่านไปกว่าพันปี…พวกเขาถึงกลับมารวมตัวกันในแดนมนุษย์อีกครั้ง!”
[1] อ้างอิงจากทักษะของตัวละครในเรื่องนารูโตะที่ชื่อว่าซาโซริ
[2] อ้างอิงจากนารูโตะ
[3] อัครมหาเสนาบดีในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศขายชาติ
[4] ในตำนานของราชวงศ์ถังเล่าว่านางคือสาเหตุแห่งการล่มสลายของราชวงศ์ชาง
[5] นายพลทหารและขุนศึกที่อาศัยอยู่ในปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก โดดเด่นด้วยความโหดร้ายและการกดขี่ข่มเหง