ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 464: กระตุ้น
บทที่ 464: กระตุ้น
เงียบ…
ฉินเย่ค่อนข้างตกตะลึงกับตัวตนที่แท้จริงของราชาผีทั้งสาม รายชื่อที่ผู้ไร้เงาเอ่ยมาทั้งหมดล้วนเป็นตัวร้ายผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อยู่ในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของราชวงศ์ในยุคสมัยของตนเองทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แล้ว…อาชญากรรมที่พวกเขาก่อล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ผู้ใดจะไปคิดว่าหลังจากผ่านไปหลายพันปี บุคคลเหล่านี้จะสามารถหลบหนีจากความตายอันเป็นนิรันดร์และกลับมายังแดนมนุษย์อีกครั้ง?
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ถามขึ้น “เจ้ารู้ชื่อของพวกเขาได้อย่างไร?”
“ท่านซาโซริ ราชาผีแห่งพิภพอสูรไม่เคยปกปิดชื่อจริงของตนจากพวกเรา หากพูดกันตามตรง เหล่าผู้ช่วยที่ได้รับความไว้วางใจและมีความสำคัญที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขาล้วนรู้ชื่อจริงของราชาผีทั้งสิ้น”
ไร้เงาอธิบายอย่างละเอียด “ในความเป็นจริง เขายังได้ติดต่อกับราชาผีตนอื่น ๆ อีกด้วย และมันก็มีหลายครั้งที่เขาสั่งให้พวกเราอ่านเนื้อหาในข้อความและตอบกลับในนามของเขาเอง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงรู้ชื่อของพวกเขา แต่นั่นก็เป็นขอบเขตทั้งหมดที่เรารู้เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามเช่นกัน”
ไม่ได้ปกปิดตัวเองอย่างนั้นหรือ…ฉินเย่ลูบคางอย่างครุ่นคิด ในตอนช่วงแรกที่ราชาผีหลบหนี เขามั่นใจว่ามันจะต้องมีวิญญาณที่ถามขึ้นว่า ‘ฉินฮุ่ยอย่างนั้นหรือ?’ แล้วคำตอบที่จะได้กลับไปก็คือ ‘ไม่ นั่นไม่ใช่ข้า…เจ้าจำคนผิดแล้ว ลาก่อน’
อีกฝ่ายจะต้องปฏิเสธมันออกไปอย่างไม่ลังเล
แต่ตอนนี้ หลังจากตระหนักได้ว่ายมโลกไม่ได้เป็นภัยต่อตัวเองอีกต่อไป ความคิดของราชาผีพวกนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ทุกอย่างสมเหตุสมผล เพราะอย่างไรแล้ว คน ๆ หนึ่งจะสามารถรวบรวมกองกำลังโดยปราศจากชื่อเสียงได้อย่างไร? เขามั่นใจเลยว่าราชาผีแห่งพิภพอสูรจะต้องป่าวประกาศไปทั่วว่าเขานั้นหาใช่ใครอื่นนอกจาก ฉินฮุ่ย อาชญากรผู้ถูกกล่าวขานในประวัติศาสตร์จีน!
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฉินเย่ก็เอ่ยต่อ “แล้วกองกำลังที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฉินฮุ่ยเล่า? ที่มณฑลทั้งสามทางตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไร้เงาโค้งคำนับอย่างเคารพ “นายท่าน พวกเรามีขั้นตุลาการนรกอยู่ทั้งสิ้น 18 ตน แต่เขายังไม่ได้นับจำนวนของขั้นยมทูตขาวดำและขั้นนักล่าวิญญาณที่มีอยู่อย่างจริงจัง จากครั้งล่าสุดที่ได้นับ จำนวนทหารวิญญาณที่มีอยู่นั้นมากกว่าหนึ่งล้านนาย ส่วนเรื่องของสามมณฑลทางตะวันออก...”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจและเอ่ยต่ออย่างหนักแน่น “ได้กลายเป็นรังของภูตผีนับหมื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และราชาผีก็ได้เริ่มเปลี่ยนฐานทัพของเขาให้กลายเป็นโลกใต้พิภพแล้วเช่นกัน อย่างเร็วที่สุดมันก็น่าจะใช้เวลาสักสิบปี ความเข้มข้นของพลังหยินที่นั่น…อย่างน้อย…ตามที่ราชาผีได้เคยบอกเอาไว้นั้น… ไม่ได้น้อยไปกว่าในยมโลกเลยสักนิด”
นี่อีกฝ่ายกำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงของสามมณฑลทางตะวันออกให้กลายเป็นโลกใต้พิภพโดยการใช้ชีวิตของผู้คนนับ 10 ล้านอย่างนั้นหรือ?! ฉินเย่รู้สึกคลื่นไส้ทันทีจากความคิดเหล่านั้น
พวกเขาทั้งสองต่างเป็นวิญญาณ แต่เหตุใดวิธีการจัดการกับแดนมนุษย์ของพวกเขาถึงแตกต่างกันขนาดนี้? บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมฝ่ายของเขาถึงถูกพิจารณาว่าเป็นยมโลกดั้งเดิม ในขณะที่อีกฝ่ายกลับเป็นเพียงแค่กองกำลังกบฏเท่านั้น…
“เอาเถิด ตอนนี้เรามาพูดถึงขั้นตอนสำหรับการยอมจำนนของเจ้ากันดีกว่า” หลังจากข่มความรู้สึกคลื่นไส้ภายในใจ ฉินเย่ก็หันไปหาชายผู้ยอมจำนนด้วยรอยยิ้มจริงใจอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผู้ไร้เงากลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไล่ไปตามกระดูกสันหลังในขณะที่เขาลอบกลืนน้ำลายอย่างกังวลใจและพยักหน้าเบาๆ
โลกนี้…มีขั้นตอนสำหรับการยอมจำนนตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ฉินเย่ตวัดนิ้ว และพลังหยินด้านหลังของเขาก็ก่อตัวเข้าด้วยกันและกลายเป็นที่นั่ง เด็กหนุ่มนั่งลงอย่างสบาย ๆ และเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ข้าอยากให้เจ้ากลับไป”
ผู้ไร้เงาที่ได้ยินเช่นนั้นก็สั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง ปากของเขาอ้าค้าง ไม่สามารถปกปิดความตกตะลึงและความหวาดกลัวที่ฉายอยู่บนใบหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
และก่อนที่เขาจะทันได้โต้กลับหรือพยายามต่อต้านใด ๆ ฉินเย่ก็เอ่ยต่อ “ข้ามีบางอย่างที่อยากจะให้เจ้าส่งมอบมันให้กับฉินฮุ่ย เมื่อเจ้าทำสำเร็จแล้ว บอกเขาด้วยว่านายเก่าของข้าอยากจะพบเขา”
นายเก่า?
รูม่านตาของไร้เงาหดเล็กลงทันที วันนี้ดูเหมือนเขาจะได้รับข่าวที่น่าตกตะลึงมากเกินไปเสียแล้ว ตอนแรก ขั้นตุลาการนรกที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อได้ปรากฏตัวขึ้น และตอนนี้…ขั้นตุลาการนรกดังกล่าวก็พูดถึงนายเก่าของเขาอีกเนี่ยนะ?
โดยไม่เว้นช่องว่าง ฉินเย่หุบยิ้มก่อนจะโบกมือเบา ๆ และเกล็ดชิ้นหนึ่งก็ลอยไปอยู่ในมือของไร้เงา
ตู้ม!!
พลังหยินที่อยู่รอบ ๆ ไร้เงาพลันสั่นสะเทือนและระเบิดออกมาทันทีที่เกล็ดชิ้นดังกล่าวลอยมาอยู่ในมือของเขา! ราวกับคลื่นสึนามิที่ถาโถม เสียงที่คล้ายกับเสียงร้องประสานของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องไปทั่ว เสื้อผ้าของไร้เงากระพืออย่างรุนแรง และปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นเวลากว่าสามวินาทีเต็มก่อนที่มันจะจางหายไปในที่สุด…
เขาถือเกล็ดชิ้นนั้นเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับสีหน้าหวั่นเกรงและแข็งค้าง
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็หลุบตาลงและมองดูเกล็ดในมือ ร่างทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง
นะ…นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?!
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกราวกับว่าอยู่ตัวคนเดียว พายเรือไปตามมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงออโรราที่สวดงาม มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเอง มันคือความรู้สึกของการเป็นเพียงหยดน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร
มันราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถอธิบายได้จากสถานที่ซึ่งอยู่ไกลออกไปได้เดินทางข้ามเวลาและมิติและกำลังจ้องมองเข้ามายังส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาอยู่ ณ ตอนนี้
นี่คือนายของท่านซาโซริอย่างนั้นหรือ?
หมู่บ้านซึนะงาคุเระตั้งอยู่ที่ใดกัน? แล้วท่านซาโซริผู้นี้เป็นใครกันแน่?!
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้…
“บอกเขาให้พิจารณาสิ่งที่ข้าพูดให้ดีหากเขาไม่ต้องการที่จะไปอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏอีกครั้ง” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนและหายไปในกลุ่มก้อนพลังหยิน “นอกจากนี้ อย่าคิดที่จะหลบหนีแม้แต่น้อย ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะสลายไปในทันทีที่เจ้าทำเช่นนั้น…”
สิ้นสุดเสียงพูด ร่างของฉินเย่ก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ผู้ไร้เงายังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น ตกอยู่ในภวังค์ความตกตะลึงจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลุกยืนขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทาพลางสูดหายใจอย่างติดขัด
หนี? เขาจะกล้าคิดเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรกัน?!
สิ่งที่อยู่ในมือ…จะต้องมาจากวิญญาณที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเป็นแน่ และวิญญาณตนนั้นก็อาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวของราชาผีเองเสียอีก!
ในวินาทีนั้น เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองทันทีว่ามันถูกแล้วหรือไม่ที่เขาจะย้ายไปอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินเย่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาอาจจะต้องก้าวออกมาจากกระทะร้อนได้สำเร็จ แต่ก็อาจจะก้าวเข้าสู่กองไฟต่อก็เป็นได้…
และอย่างหลังนั้นก็น่ากลัวกว่ามาก มากกว่าโลกใต้พิภพที่เขาจากมาเสียอีก
หลังจากจอมจมอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นเวลากว่าห้านาที เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นสายลมพร้อมกับหายตัวไปจากบริเวณนั้น
สิบนาทีผ่านไป ฉินเย่ก้าวเท้าออกมาจากความว่างเปล่าอีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่ไร้เงาได้หายตัวไปอย่างเคร่งขรึม…ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ยมโลกอาจจะไม่สามารถทำลายขงโม่ได้ แต่ราชาผีสามารถทำได้อย่างแน่นอน!
แต่เขาจะต้องคิดอะไรบางอย่างที่จะพูดกับราชาผี ขึ้นอยู่กับว่าการเจรจาเป็นไปอย่างไร นอกจากนี้…เขายังไม่แน่ใจด้วยว่าฉินฮุ่ยจะยอมเจอกับเขาหรือเปล่า?
“ไร้เงาอาจจะไม่รู้ว่าเกล็ดนั้นคืออะไร แต่ข้ามั่นใจว่าฉินฮุ่ยจะต้องรู้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเลยว่ามันคือเกล็ดของตี้ทิง วิญญาณที่สามารถนำเกล็ดของตี้ทิงมาไว้ในครอบครองได้นั้นไม่ใช่วิญญาณธรรมดา ๆ เลยสักนิด แล้วแบบนี้…เขาจะตัดสินใจอย่างไร?”
เขาเดินไปรอบ ๆ ชั้นดาดฟ้า พึมพำกับตัวเองขณะที่วิเคราะห์สถานการณ์
“ปฏิเสธ? เป็นไปไม่ได้…โลกในเวลานี้อาจจะเต็มไปด้วยวิญญาณที่อายุน้อยและไม่รู้เรื่องราวอะไร แต่วิญญาณร้ายที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีนั้นล้วนเป็นวิญญาณระดับสูงที่สามารถรอดพ้นมาจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกได้อย่างไม่ต้องสงสัย นี่รวมถึงราชาผีแห่งพิภพต่าง ๆ อาร์ทิส หลายจวิ่นเฉินและขงโม่ ไม่มีผู้ใดในที่นี้เป็นภูตผีที่ควรเข้าไปหาเรื่องด้วยเลยสักนิด”
“และด้วยเหตุนี้ ความหวาดกลัวที่มีต่อนรกจึงเป็นสิ่งที่ถูกสลักไว้ในกระดูกของพวกเขาแล้ว ฉินฮุ่ยจะต้องตอบรับคำขอของเราอย่างแน่นอน...”
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน “ดังนั้น…สิ่งที่สำคัญกว่าในเวลานี้ก็คือเราควรจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไร?”
จากนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
การเจรจานั้นไม่ใช่เรื่องยาก ฉินฮุ่ยและขงโม่ต่างเป็นผู้กระทำผิดในสายตาของยมโลกอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…พวกเขาเคยเจอกันมาก่อน!
นอกจากนี้ จ้าวนรกผู้แสนจะขี้ขลาดก็ได้เคยเปิดเผยความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับยมโลกเพื่อเอาชีวิตรอดมาแล้ว! ผู้ใดจะไปคิดว่าพวกเขาจะได้พบกันซึ่ง ๆ หน้าเร็วขนาดนี้! เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกอยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักสองที!
เขาจะต้องหาใครสักคนมาปกป้องตัวเอง!
“แต่เราจะไปหาคนแบบนั้นมาจากไหน...” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
การจัดการปัญหาทั้งหมดภายในนครเผิงชิวต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็อีกห้าปี
เขาจะต้องทำให้ประชาชนพึงพอใจ สร้างความสมดุลของเศรฐกิจ และจากนั้น เมื่อเขามีแรงสนับสนุนมากเพียงพอแล้วเขาจึงจะสามารถเกณฑ์กองกำลังใหม่ ๆ และเริ่มทำการวิจัยต่าง ๆ ได้
ดังนั้นเขาจะมีสิทธิ์อะไรไปโน้มน้าวราชาผี?
อีกฝ่ายอยู่ขั้นฝู่จวิน...แค่ความคิดพวกนี้ก็ทำให้ขาของเขาอ่อนแรงไปหมด นี่เขาควรสั่งให้ใครไปแทนหรือไม่? แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อาร์ทิสก็เป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่เป็นไปได้ แน่นอนว่าความสามารถในการต่อสู้ของนางอาจจะถึงขั้น แต่นางกลับไร้ประโยชน์เมื่อเป็นเรื่องของการเมือง หากเขาโยนนางเข้าไปหาราชาผี เขาค่อนข้างมั่นใจเลยว่ามันจะต้องเกิดสงครามขึ้นภายในหนึ่งนาทีเป็นแน่…
“ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าโดยการมาปรากฏตัวแล้ว แต่ไอ้แววตาดูถูกนั่นมันอะไรกัน? มีอะไรผิดปกติกับใบหน้าของเจ้าหรืออย่างไร?”
“หึหึ เจ้าหนู ข้าคือราชาผีและยังอยู่ขั้นฝู่จวิน ในขณะที่เจ้าเป็นเพียงแค่ขั้นตุลาการนรก เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงสบตาข้าโดยตรงเช่นนี้?”
“แล้วเจ้าจะทำไม?”
“ถ้าเจ้าแน่จริงก็ลองดูอีกสักครั้งสิ”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอย่างนั้นหรือ?!”
อาร์ทิสตาย
นอกจากนาง…เขาไม่มีวิญญาณขั้นตุลาการนรกอยู่ในยมโลกอีกแล้ว ถ้าถามว่าเขาสามารถส่งขั้นยมทูตขาวดำไปเจรจากับขั้นฝู่จวินได้หรือไม่? ตลกหรือเปล่า? นอกจากนี้ เขายังเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับยมโลกในตอนนี้ และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเจรจาและการเมืองมากที่สุด
เขาล่ะเกลียดจริง ๆ ที่ยมโลกในเวลานี้ขาดผู้มีพรสวรรค์…
“หากพูดกันตามความจริง ไม่ใช่ว่าเรา…ควรใช้กัญชาแมวมาเพื่อล่อตี้ทิงเพื่อมาร่วมการเจรจากับเราดีหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มก็ชะงักไป
“นี่มัน…พิธีอัญเชิญ?” ฉินเย่ก้มมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ จากนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของเขาก็หายวับไป
มันรู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าไปสู่มิติที่ดำมืด มันแปลกมาก แต่เขาเองก็สัมผัสได้ว่าหากเขาต้องการ เขาสามารถออกไปจากมิติที่แปลกประหลาดนี้ได้ในทันที
“แต่ทำไมจู่ ๆ เราถึงมาอยู่ที่นี่? และ…สาบานได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เราได้ยินเสียงใครบางคน…สวดภาวนาถึงเราเมื่อครู่นี้?” เขาหรี่ตาลงและมองไปรอบๆ
“อาร์ทิสเคยพูดว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไปทันทีที่เขาได้กลายเป็นยมทูตที่แท้จริงของยมโลก สิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างนั้นหรือ? นี่เราสามารถได้ยินเสียงคำอธิษฐานของแดนมนุษย์ได้แล้ว? ใครกันที่กำลังสวดภาวนาถึงเรา?”
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้ ความว่างเปล่าเบื้องหน้าของเขาก็เริ่มกระเพื่อม และภาพขาวดำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่สูงประมาณ 1.84 เมตร พร้อมด้วยคิ้วหนา ตาโต และใบหน้าทรงเหลี่ยม กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโต๊ะบูชาโดยที่มือทั้งสองข้างประกบเข้าด้วยกัน เขาคุกเข่านั่งตัวตรงอยู่บนเสื่อ และดูเหมือนจะกำลังพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง…
มันยังมีชายอีกสองคนในชุดสูทสีดำที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เขา ทั้งสองเองกำลังประกบมือและสวดบทสวดไปพร้อมกับชายวัยกลางคนเช่นกัน
โต๊ะบูชาดังกล่าวดูเก่ามาก แม้แต่ฉินเย่เองก็สามารถบอกได้เลยว่ามันคือของโบราณจริง ๆ นอกจากนี้ หัวสัตว์สามหัวยังถูกวางอยู่บนโต๊ะบูชาอีกด้วย แต่ละหัวยังคงมีเลือดหยดลงมาใหม่หยุด เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันเพิ่งถูกเชือดมาเมื่อไม่นานนี้ ผลไม้สำหรับการบูชาทั้งหมดถูกวางถวายเอาไว้ ในขณะที่เงินกระดาษกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ ท่าทีการถวาย และการสวดภาวนาของพวกเขานั้นจริงจังกว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันมาก
“นี่มัน…ภาษาของแดฮัน?” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “ชาวแดฮัน… กำลังสวดภาวนาถึงเราอย่างนั้นหรือ?”
ตอนนี้แดฮันกำลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของหลิวอวี้ ดังนั้นคำภาวนาของชาวแดฮันจะมาถึงยมโลกได้อย่างไร?
ฉินเย่สับสนเป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้น ชายที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือก็เอ่ยขึ้นด้วยภาษาจีนที่สมบูรณ์แบบ “ท่านจ้าวนรก กระผม ผู้อำนวยการคิมได้รับมอบหมายหน้าที่จากประธานกรรมการให้ดำเนินคำร้องขอนี้ หากยมโลกได้ยินเสียงของเรา โปรดเก็บเกี่ยววิญญาณของเธอผู้นี้ไป…”
“นี่คือพิธีอัญเชิญพิเศษที่พวกเราได้สืบค้นมา จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวของเราก็คือเพื่อขอความช่วยเหลือจากยมโลก หากท่านตกลง พวกเราสัญญาว่าเราจะถวายเครื่องบรรณาการทุกอย่างที่ท่านต้องการในวันเทศกาลครั้งต่อไป!”
“โปรดมองมาที่เรา…พวกเราได้อัญเชิญท่านจากแดฮันที่แสนจะห่างไกล และนี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่เรามี! เธอไม่ใช่มนุษย์… ร่างกายของเธอมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่! เธอ…เธอจะต้องเป็นปีศาจที่มีชีวิตอมตะอย่างแน่นอน! ได้โปรด… ช่วยเก็บดวงวิญญาณของเธอไปกับท่าน! พวกเราจะยอมทำทุกอย่าง!”
น่าสนใจ…
ฉินเย่กำลังจะจากไปก่อนที่จะหยุดชะงักลง
แดฮัน? โลกใต้พิภพแห่งฮันยาง…
ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมในการติดต่อสื่อสารกับนรกนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลยสักนิด เพราะอย่างไรแล้ว พิธีกรรมดังกล่าวก็สูญหายไปนานแล้ว หากเขาตอบรับคำขอของคนพวกนี้… เขาอาจจะ…สามารถระบุตำแหน่งของเซี่ยจิ่นเส้อได้ก็เป็นได้…
ไม่สามารถต้านทานความต้องการของตัวเองได้ ฉินเย่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้หน้าจอตรงหน้าของตัวเอง
…………………………………………
ภายในห้อง ๆ หนึ่ง
มันเป็นห้องขนาดใหญ่ภายในสถานที่ซึ่งดูคล้ายวัด กระถางธูปนั้นมีขี้เถ้าอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ภายในวัดที่สวดภาวนาถึงพระกษิติครรภโพธิสัตว์
โต๊ะบูชาขนาดใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นสีทองของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ชายสามคนคุกเข่าลงตรงหน้าของมันโดยที่มือทั้งสองข้างของพวกเขาประกบเข้าด้วยกันขณะที่ปากก็พึมพำบทสวดออกมา
กลุ่มผู้คุ้มกันจำนวนมากยืนเรียงรายกันอยู่ด้านนอกของวัด ทั่วทั้งสถานที่ว่างเปล่า แม้แต่เจ้าอาวาสและพระภิกษุก็ไม่มีให้เห็น
พวกเขาคุกเข่ามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่กลับยังไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดหลังจากที่โค้งคำนับเป็นครั้งที่สิบกว่า ชายที่อยู่ฝั่งซ้ายมือก็ถอนหายใจเบาๆ
“ผู้อำนวยการคิม คุณว่า…พวกเราควรยอมแพ้หรือเปล่า?”
“ไม่มีผู้ใดเคยพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าหรือปีศาจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว วัดแห่งนี้อาจจะเป็นวัดที่มีจิตวิญญาณของพระกษิติครรภโพธิสัตว์อยู่มากที่สุด แต่ถึงกระนั้น…”
“ไม่มีทาง!!” ชายที่คุกเข่าอยู่ตรงกลางกัดฟันแน่นขณะที่ยังคงจ้องเขม็งไปยังรูปปั้นตรงหน้า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเดินทางมาที่จีน ระบุตำแหน่งของวัดแห่งนี้ และทำพิธีกรรมบูชาที่เป็นทางการพวกนี้ เราจะหยุดตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“คุณบอกว่าการดำรงอยู่ของเทพเจ้าและปีศาจนั้นเป็นเพียงตำนานและเรื่องเล่าเท่านั้น แต่…คุณเฉวียน คุณลืมไปแล้วหรือว่านางปีศาจนั่นมีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้ว?!”
ร่างของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงขณะที่เหลือบมองไปด้านหลังด้วยแววตาหวาดกลัว “ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่ตอนที่ตัวเองยังเด็ก และผมก็จับตาดูเธอมาตลอด แต่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่…เธอก็ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน!”
“ในขณะเดียวกัน ผมได้แต่งงาน มีลูก และปีนี้ลูกชายของผมก็จะกำลังอายุ 18 ปี! แต่เธอกลับยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน!”
“เธอเป็นปีศาจ…ไม่แก่และไม่ตาย! พวกเรา กลุ่มซัมซุง ไม่สามารถปล่อยให้ปีศาจตนนี้อยู่รอบตัวได้!”