ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 466: ลีจองซุก (2)
บทที่ 466: ลีจองซุก (2)
“ครับ…” คิมแจฮวานสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงขณะที่ค่อย ๆ ย้อนความทรงจำของตัวเอง “คุณลีพาเธอกลับมาที่แดฮัน เขาโทษตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้เธอสูญเสียความทรงจำ นอกจากนี้…เขายังรู้ด้วยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เขาเห็นการตายของเธอด้วยตาของตัวเอง แต่เธอกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขานึกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน...จนกระทั่ง…”
“เขาพบว่าลักษณะของเธอยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเธอใช้วิธีการอะไร แต่ในระยะเวลาสิบปี เธอสามารถรักษาความมั่นคงและสถานะของตัวเองในกลุ่มแซมซังได้ ทุกนโยบายและสินค้าที่จะนำมาใช้หรือวางขายล้วนต้องได้รับการอนุมัติจากเธอทั้งสิ้น! และการตัดสินใจของเธอก็ไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้งเดียว!”
แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา… หากนางคือเซี่ยจิ่นเส้อจริง ๆ นางย่อมเคยผ่านยุคสมัยของราชวงศ์อันรุ่งโรจน์ของประวัติศาสตร์จีนมาแล้วถึงสามราชวงศ์! การมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาตลอดระยะเวลากว่า 400 ปีย่อมทำให้นางมีพัฒนาการที่เฉียบแหลมในเรื่องจิตใจของมนุษย์ ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุดก็สามารถกลายเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน!
ความทรงจำอาจจะถูกหลงลืมไป แต่ประสบการณ์คือสิ่งที่ไม่สามารถพรากไปจากนางได้ สิ่งนี้จะต้องถูกฝังลึกไว้ภายในจิตใจ้สำนึกและสัญชาตญาณของนางอย่างแน่นอน
คิวแจฮวานเอ่ยต่อ “จนมาถึงตอนนี้ พวกเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอกำลังพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง และคอยหาผู้สนับสนุนให้ตัวเองเพื่อตั้งหลักในกลุ่มแซมซังหรือไม่! ตอนนี้ผู้บริหารส่วนใหญ่ของแซมซังล้วนเป็นคนที่ก้าวขึ้นมาอยู่ ณ จุดสูงสุดจากการแนะนำของเธอทั้งสิ้น! จากทั้งหมดสิบคน อย่างน้อยเกินครึ่งของพวกเขารู้ดีว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ แต่ถึงกระนั้น…พวกเขาก็ยังคงภักดีต่อเธอ!”
เดี๋ยวก่อนนะ?!
เขาคิดว่าเขามีบางอย่างที่อยากจะพูด…
ฉินเย่เบ้ปากเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณระบบการทำงานของแดฮัน ที่ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชานั้นย่อมภักดีต่อผู้บังคับบัญชาของพวกเขา มันคือห่วงโซ่อาหารของพวกเลียแข้งเลียขา! ใครก็ตามที่ได้ใช้ชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมมาเป็นระยะเวลากว่า 400 ปีย่อมมีไพ่ตายซ่อนอยู่เสมอ…คนพวกนี้คิดจริง ๆ น่ะหรือว่าพวกกรรมการบริหารของตัวเองจะสามารถต่อต้านการล่อลวงของนางได้?
การมาบรรจบกันของกลยุทธ์ การเมือง และการเลื่อนตำแหน่ง…หึหึหึ…นางคงจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไว้ภายในองค์กรสินะ? นางคือคนที่สามารถมอบให้ได้ทั้งผลประโยชน์และเติมเต็มความทะเยอทะยานและความฝัน มันคงจะแปลกมากหากผู้คนจะไม่ติดตามและสนับสนุนนางอย่างหน้ามืดตามัว! และนางยังเป็นคนตระกูลลีอีกด้วย!
“สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด…คุณลีบยอนชอลคนพูดเอาไว้ว่า ลีจองซุกอาจจะไม่ได้เป็นหนึ่งในทายาทสายตรงของตระกูลลี แต่เราจะต้องปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับหนึ่งในนั้น”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา เขาคงจนมุมแล้วจริง ๆ เขามั่นใจเลยว่าคุณลีบยอนชอลคงจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองในตอนนั้น มันไม่แปลกเลยว่าทำไมคนพวกนี้ถึงว่าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าจีน พวกเขาคงจะเคยสวดอ้อนวอนถึงเทพของแดฮันมาก่อน แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งพลังอำนาจใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น…พวกคุณคิดหรือว่าหลิวอวี้จะสนใจเรื่องอะไรแบบนั้น?
ส่วนเขา…แน่นอน เขาสนใจเรื่องนี้มากๆ!
นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่า ‘ปีศาจ’ ที่คนพวกนี้พูดถึงอาจจะเป็นเซี่ยจิ่นเส้อแล้ว ผลการตอบแทนบุญคุณของกลุ่มแซมซังยังจะต้องไม่ต่ำกว่าพันล้านหยวนอย่างแน่นอน!
“ตอนนี้ ความกดดันทั้งหมดล้วนตกอยู่บนไหล่ของอดีตประธานลี… เพราะไม่ว่าใครจะกลายเป็นประธานคนต่อไปต่อกลุ่มแซมซัง มันก็ไม่มีใครที่จะสามารถสั่นคลอนจุดยืนของลีจองซุกได้เลย!” คิมแจฮวานกัดฟันแน่น “เธอเป็นปีศาจ! เธอไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำ! ดังนั้นตราบใดที่ท่านยอมนำวิญญาณของเธอไป เช่นนั้นพวกเราทุกคนในตระกูลลีจะมอบเงินถวายคนละ 200 ล้านหยวน! หรือเทียบกับมูลค่าในแบงค์กงเต็ก!”
ฉินเย่ฟังที่อีกฝ่ายพูดด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็จนกระทั่งคิมแจฮวานเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา
นี่เขาจะเอาแบงค์กงเต็กไปทำไม?!
ฟังที่ตัวเองพูดเสียบ้าง! นี่เจ้าเป็นมนุษย์แบบใดกัน? มันสมเหตุสมผลหรืออย่างไรที่จะขอบคุณใครสักคนโดยใช้แบงค์กงเต็ก?
แต่…สิ่งที่ทำให้ฉินเย่หัวเสียมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่สามารถแสดงความโกรธของตัวเองออกไปได้!
ลองจิตนาการดูหากรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ผู้สูงส่งชูนิ้วขึ้นมาและถูเข้าด้วยกันเพื่อขอเงิน คนอื่น ๆ จะคิดอย่างไร? หากพระกษิติครรภโพธิสัตว์กำลังมองลงมาจากสวรรค์ เขาคงจะมองว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามเป็นแน่!
นอกจากนี้ มันคงสายเกินไปแล้วสำหรับเขาที่จะเอ่ยแนะนำตัวว่าเป็นยมทูตหัววัวหน้าม้า!
แล้วทำไมตัวเขาถึงมาสิงอยู่ในรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ตั้งแต่แรก?!! ไม่ใช่ว่ามันยังมีคนเป็น ๆ อีกสองคนอยู่แถวนี้หรอกหรือ? หากเขาไปเข้าสิงร่างของคนพวกนั้น มันคงจะเหมาะสมสำหรับเขามากกว่าที่จะแนะนำตัวว่าเป็นยมทูตหัววัวหน้าม้า! แต่ตอนนี้ที่เขาอยู่ในรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์…มันไม่สามารถหวนกลับได้อีกแล้ว!
เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่คำตอบเดียวที่เขาสามารถตอบกลับไปได้มีเพียง “อืม…”
เขาจำได้ว่าผู้เฒ่าลีมีลูกทั้งหมด 7-8 คนไม่ใช่หรือ? นั่นเป็นมูลค่าพันกว่าล้านเลยนะ… เขารู้ เขาจะต้องส่งข้อความไปถึงคนพวกนั้นผ่านทางความฝันทันทีที่กลับไปยังยมโลก เขาจะบอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้ส่งสารของยมโลก และจ้าวนรกก็กำลังต้องการสิ่งตอบแทน นั่นแหละ ส่วนเรื่องภาพลักษณ์และศักดิ์ศรี…
ล้อเล่นหรือเปล่า?!
มันมีเรื่องอะไรให้ต้องพูดถึงภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีกันเมื่อเงินหลานพันล้านหยวนมาวางกองอยู่ตรงหน้า?!
ส่วนเรื่องของเซี่ยจิ่นเส้อ... มันย่อมมีสถานที่สำหรับนางในยมโลก ที่ซึ่งนางสามารถใช้ความชาญฉลาดของนางในการช่วยสร้างอาณาจักร ฉินเย่ผู้มองการณ์ไกลพยักหน้ากับตัวเอง พึงพอใจกับแผนการอันไร้ที่ตินี้
“มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับนางบ้างหรือไม่?” ฉินเย่ถามออกไปหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ ดวงตาของคิมแจฮวานเป็นประกายขึ้นทันที “มะ มี…มีครับ!”
“บนร่างของเธอ…เต็มไปด้วยรอยสัก ทั้งตัวอักษรจีน รวมถึงเลขอารบิก ผมอ่านมันไม่ออก แต่ผมได้ลองวาดมันออกมาและนำไปให้คนอื่นดูแล้ว น่าเสียดาย คำตอบเดียวที่ผมได้ก็คือพวกมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย และนอกจากนี้…” เขาสูดหายใจเข้าช้าๆ “สิ่งที่เหมือนกับรอยสักพวกนั้น…ล้วนถูกสลักขึ้นบนร่างของเธอด้วยคมมีด…”
หัวใจของฉินเย่หยุดเต้นไปชั่วขณะ…
สักคำพวกนี้บนผิวหนังของตัวเองด้วยมีด?
เพราะอะไรกัน?
โหดเหี้ยมยิ่งนัก…!
ฉินเย่รู้ดีว่าหากเป็นตัวเขาเอง เขาคงไม่กล้าทำเช่นนั้น
ผิวพรรณของสตรีนั้นมีความสำคัญไม่ต่างไปจากกล้ามเนื้อของบุรุษ ให้ทำลายกล้ามเนื้อของตัวเองน่ะหรือ? ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด!!!!
“นางอยู่ที่ใด?” ฉินเย่ถามอีกครั้ง เขาจะต้องรีบไปพบกับนางโดยเร็วที่สุด
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อคิมแจฮวานตอบกลับมา “เมืองชางหลานครับ!”
เมืองชางหลาน? นางไปทำอะไรที่นั่น?
โดยไม่เว้นช่วง คิมแจฮวานรีบอธิบายทันที “เธอไปที่นั่นก็เพราะโรงงานผลิตและประกอบชิ้นส่วนของแซมซังส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่มณฑลซานตง มันตั้งอยู่ใกล้แดฮัน และค่าแรงถูก เธอไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบโรงงานเนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ โทรศัพท์ของแซมซังได้เกิดปัญหาหลายอย่าง และพวกเขาก็บังเอิญได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย ไม่เช่นนั้น…เธอคงไม่มีทางอนุญาตให้พวกเรามาที่นี่…”
“เพราะทันทีที่เราถูกพบ… เธอจะขัดขวางความตั้งใจของเราในบริษัททุกวิถีทาง ในตอนนี้ กรรมการบริหารกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มแซมซังจงรักภักดีต่อเธอ! นอกจากนี้ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 5% ของบริษัท เธอได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนมากกว่า 2%! หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือคำพูดและความคิดเห็นของเธอมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก! เราสามารถพูดได้เลยว่า…เธอคือจักรพรรดินีที่แท้จริงผู้อยู่เบื้องหลังอาณาจักรแซมซัง!”
“ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ วิธีการ หรือความคิด เธอคือสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่ผมเคยพบเจอมาในชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย! เธอเป็นปีศาจที่แท้จริง ผมขอวิงวอนท่าน...ได้โปรดนำเธอไป! พวกเราไม่สามารถปล่อยให้แซมซังล่มสลายภายในรุ่นของเราได้จริง ๆ ครับ!”
อย่างนี้นี่เอง…
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ ไม่แปลกใจเลยที่คิมแจฮวานจะเดินทางมาที่แผ่นดินจีนและขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าจีน
พวกเขาคิดว่ามีเพียงโลกใต้พิภพของจีนเท่านั้นที่สามารถทำอะไรกับหญิงสาวที่มีสายเลือดจีนผู้นี้ นอกจากนั้น…พวกเขายังไม่เคยเดินทางมาที่จีนในสถานการณ์อื่น ๆ เลยสักครั้ง
แต่…มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉินเย่เองก็ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปเช่นกัน…แต่ทำไมเขาถึงถูกผลักไสให้ไปเปิดร้านขายโลงศพ ในขณะที่นางได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรแซมซังกัน?!
หรือว่าเขาทำผิดมาโดยตลอด? หรือว่าเขาควรจะอาศัยโอกาสนี้ในการขยับไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าที่เคยเป็น? อย่างเช่นการที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ใช้เงินราวกับว่ามันไม่ได้มีค่าอะไร!
แต่ในขณะที่ฉินเย่กำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านนอกประตู “คะ…คุณมาทำอะไรที่นี่?!”
“คุณลีจองซุก อย่าให้มันมากเกินไปนะครับ!” “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน! คุณคิมกำลังทำธุระอยู่!”
เสียงอู้อี้ดังขึ้น ตามมาติด ๆ ด้วยของหนัก ๆ บางอย่างร่วงลงกับพื้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูของพระอุโบสถก็เปิดออกกว้าง
หญิงสาวคนหนึ่ง พร้อมด้วยผู้คุ้มกันอีกสองแถว เดินตรงเข้ามาในอาคาร
ถึงแม้ว่าฉินเย่จะเคยเห็นผู้หญิงมากมายจากโลกออนไลน์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงกับหญิงสาวตรงหน้า
นางสวยมาก!
ผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่ลึกล้ำดุจท้องฟ้ายามราตรี คิ้วคม จมูกโด่ง และริมฝีปากสีเชอร์รี่
นางสูงประมาณ 1.68 เมตร แต่รองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่กลับทำให้นางดูไม่ต่างกับนางแบบเลยสักนิด ผมของนางแตกต่างไปจากรูปถ่ายที่ฉินเย่ได้เห็นมันถูม้วนเป็นมวยแบบผู้ใหญ่
ผู้หญิงตรงหน้าอาจจะสวย แต่…เขาสามารถบอกได้เลยว่านางไม่ใช่คนที่จะสามารถหาเรื่องได้ง่ายๆ
นี่คือความคิดแรกของฉินเย่ที่มีต่อนางในครั้งแรกที่ได้พบกัน
มันผุดขึ้นมาจากลักษณะอารมณ์และนิสัยของนาง
นางมีท่าทีเด็ดเดี่ยวและบรรยากาศของความจริงจัง กระโปรงทำงานสีดำและชุดสูทที่ถูกตัดเย็บมาอย่างดีพาดไว้บนบ่า คอเสื้อเชิ้ตและกระดุมข้อมือล้วนถูกประดับด้วยกระดุมมรกตทำให้เธอดูสง่างามจนแยกตัวออกจากคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง ต่างหูขนาดเล็กสองอันห้อยลงมาจากหูของนาง ยิ่งส่งให้หญิงสาวดูทันสมัยและสูงส่งเป็นอย่างมาก…
ดวงตาของหญิงสาวหดเล็กลงทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในพระอุโบสถ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเธอเห็น แม้ว่าภายในพระอุโบสถที่มืดสนิท และแสงเทียนทั้งหมดถูกดับ เธอกลับมองเห็นดวงตาสีดำขลับของรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้อย่างชัดเจน
“ทุกคนออกไปให้หมด” เธอเอ่ยเสียงนิ่ง และผู้คุ้มกันทั้งสองแถวก็พยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่ถ้วนสิ่งใดทั้งสิ้น
เหลือเพียงคิมแจฮวานและลีจองซุกเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ภายในพระอุโบสถ
เงียบ…เสียงไม่กี่เสียงที่ยังคงได้ยินมีเพียงเสียงของจิ้งหรีดที่อยู่ด้านนอก และเสียงของรองเท้าส้นสูงที่ลีจองซุกสวมอยู่เท่านั้น
“คุณรู้ไหมว่านี่มันกี่โมงแล้ว?” เธอหันไปหาคิมแจฮวานอย่างด้วยความโมโห ในอีกด้านหนึ่ง คิมแจฮวานกลับตัวสั่นจนต้องเอนหลังพิงกับเสาขนาดใหญ่ เขากัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงและส่ายหน้าเบาๆ
ลีจองซุกสวมถุงน่องยาวไว้ที่ขา และเธอก็เดินไปหาคิมแจฮวานด้วยท่วงท่าที่สง่างาม และจากนั้นเธอก็ชูข้อมือไปที่ด้านหน้าของเขา…
คิมแจฮวานตัวสั่นเทาขณะที่เปิดไฟฉายจากโทรศัพท์เพื่อดูเวลาจากนาฬิกาของอีกฝ่าย แทบจะเหมือนกับว่าเขาเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วในอดีต
“ทีนี้รู้คำตอบหรือยัง?” ลีจองซุกเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง
คิมแจฮวานเม้มปากแน่นและพยักหน้าแบบๆ
ไม่กี่เสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็หยิกแก้มของเขาอย่างแรงและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ตอนนี้เป็นเวลาตี 4″
“ตี 4!!!!”
“ฉันต้องรีบไปที่โรงงานผลิตเพื่อจัดการกับปัญหาโทรศัพท์ระเบิด แต่คุณกลับมาอยู่ในที่แบบนี้น่ะเหรอ?!”
“พวกคุณคิดจริง ๆ หรือว่าลับหลังฉัน พวกคุณเรียกฉันว่าอะไร? ปีศาจ? ปีศาจแห่งฮันยาง? ลีจองซุกผู้ต้องสาป? ฉันจะบอกอะไรให้นะ…” เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับคิมแจฮวาน ใกล้จนเขาสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเธอที่กระทบกับแก้มของตัวเอง “ฉันไม่สนใจเลยสักนิด”
จากนั้น เธอก็ผลักร่างของคิมแจฮวานให้ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับมองด้วยสายตาเหยียดหยาม “มันไม่สำคัญว่าพวกคุณจะพูดว่าอะไร ที่แซมซังสามารถดำเนินมาถึงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะฉัน! คุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าฉันจะต้องแข่งขันกับใครบ้าง? แล้วอย่าพูดเชียวนะว่าพวกกรรมการบริหารพวกนั้นจงรักภักดีต่อฉัน ผิดแล้ว พวกเขาแค่จงรักภักดีต่อผลประโยชน์กลุ่มแซมซังเท่านั้น…พวกเขารู้ดีว่ากลุ่มแซมซังจะไม่มีทางล่มสลายหากฉันยังอยู่ ดังนั้น…บอกฉันมา…ฉันทำพลาดอะไรไปอย่างนั้นเหรอ?! ฉันโกงเงินของตระกูลลีอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าคุณรู้สึกว่าเงินปันผลที่ตัวเองได้นั้นไม่เพียงพอ? ทำไมพวกคุณถึงต้องการจะฆ่าฉันขนาดนี้?!”
จากนั้น เธอก็แย้มยิ้มบางออกมา ราวกับดอกป๊อปปี้ที่เบ่งบานในความมืด “น่าเสียดาย…ที่ฉันไม่มีทางตาย…”
“ไปซะ” เธอหันไปมองที่รูปปั้นภายในห้อง “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย หากเรื่องแบบนี้ยังเกิดขึ้นอีก เช่นนั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกันที่ใช้วิธีการที่รุนแรง ฉันทนพวกคุณมานานมากพอแล้ว…!”
คิมแจฮวานที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งจากไปทันที…
มันเป็นภาพที่ค่อนข้างน่าดูไม่น้อยสำหรับการที่คน ๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจะรีบวิ่งหนีหางจุกตูดออกไปแบบนั้น นอกจากนั้น…ทันทีที่วิ่งออกไปด้านนอก เขายังรีบปิดประตูลงอย่างแรงอีกด้วย
ภายในพระอุโบสถถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง…
มันเงียบเสียจนแม้แต่เสียงของสายลมยามค่ำคืนก็สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
ทั้งหมดที่เหลืออยู่ภายในพระอุโบสถมีเพียงหนึ่งหญิงสาวและหนึ่งรูปปั้นเพียงเท่านั้น
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ลีจองซุกก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ น้ำเสียงของเธอกลับฉายแววเหน็ดเหนื่อย บุคลิกที่ยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้ได้จางหายไป เผยให้เห็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งที่เพียงปัดผมไปทัดหูของตัวเองขณะที่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เขาสามารถอัญเชิญบางอย่างมาได้จริง ๆ สินะ…? เทพเจ้างั้นเหรอ?”
ฉินเย่ยังคงเงียบ และลอบสังเกตคนตรงหน้าด้วยแววตาที่ซับซ้อนต่อไป
น่าเกรงขาม…เด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด แต่…เขาไม่ค่อยชอบผู้หญิงแบบนี้เลยสักนิด!
เขาชอบผู้หญิงที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ ไม่ใช่เผ็ดร้อนจนทำให้ปากของเขาต้องร้อนจนชาไปหมด
“หรือปีศาจ?”
ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ
ลีจองซุกพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณ”
และจากนั้น…เธอ…ก็เริ่มปลดเสื้อของตนเอง!