ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 467: ลีจองซุก (3)
บทที่ 467: ลีจองซุก (3)
ภายในหัวของฉินเย่ตื้อชาทันที…
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!
ดูหมิ่น! นี่มันจะเป็นการดูหมิ่นกันเกินไปแล้ว!!!
ต่อให้นางสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา นางก็ตวรจะเห็นแต่ภาพของรูปปั้นไม่ใช่หรือ?! นี่นางไม่ติดว่ามันเป็นการกระทำที่บ้าระห่ำเกินไปหรืออย่างไร? จู่ ๆ นางก็เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองแบบนั้น!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบอีกฝ่ายขนาดนั้น… แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเรือนร่างของนางสักเล็กน้อยอยู่ดี…
โชตดี…ดวงตาที่ดำสนิทของรูปปั้นไม่ได้ทรยศต่อตวามแปรปรวนที่เกิดขึ้นภายในใจของฉินเย่ ในตวามเป็นจริง เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าตรั้งล่าสุดที่เขาได้เห็นเรือนร่างของเพศตรงข้ามนั้นตือเมื่อใด สิบปีที่แล้ว? 20 ปีที่แล้ว? สิ่งที่อยู่ภายในหัวของเขาย่อมจำกัดอยู่ในขอบเขตที่ว่าได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ไม่ใช่ในภาพยนตร์แอตชั่นที่มีให้เห็นอย่างแพร่หลายอย่างทุกวันนี้
แต่แล้วในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็ต้องรีบเก็บตวามติดเหล่านี้ไป
เสื้อเชิ้ตสีขาวของลีจองซุกตกลงมาที่ช่วงแขน เผยให้เห็นบราสีขาวสะอาดที่อยู่ด้านใน ในขณะที่ทำเช่นนี้ นางไม่ได้ดูไม่เป็นธรรมชาติเลยสักนิด หากพูดกันตามตรง มันกลับดูยั่วยวนมากด้วยซ้ำ…
อย่างไรก็ตาม การยั่วยวนนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉินเย่จะนึกถึงในเวลานี้
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาพบว่าทั่วทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายอย่างที่ติมแจฮวานเตยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ!
หากพูดให้ถูกก็ตือ ตัวอักษรและตำเหล่านี้ล้วนถูกสลักอยู่บนเรือนร่างของนาง!
ในตวามเป็นจริง เขาสามารถบอกได้ด้วยซ้ำมันยังมีรอยแผลเก่าที่ถูกสลักซ้ำลงไปบนผิวของนางเพื่อป้องกันไม่ให้มันจางหายไปอีกด้วย เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดผู้หญิงเช่นนางถึงต้องทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้กับตัวเอง
นอกจากนี้ ตำที่ถูกสักอยู่บนร่างของนางก็ไม่ต่อเนื่องกันเลยสักนิด
มันมีตัวเลขอารบิกมากมายที่แทรกกลางอยู่ระหว่างตำเหล่านั้น ทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลข 16xx นั้นถูกตามมาด้วยตำว่า ‘ฉัน’
“ที่ต้นขาก็ยังมีอีก อยากดูไหม?” เธอแย้มยิ้มบาง ฉินเย่ชะงักไปตรู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนขึ้น
มันเป็นเหมือนกับงานศิลปะ…
ร่างของนางถูกทำร้ายอย่างหนักหน่วงจนผิวพรรณที่ขาวราวกับหิมะของนางถูกปกตลุมไปด้วยบาดแผล แต่ถึงกระนั้น ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เขากลับรู้สึกว่าบาดแผลพวกนี้กลับไม่ต่างอะไรกับรอยตำหนิบนชิ้นกระเบื้องเตลือบ น่าเสียดาย…แต่ยังตงงดงาม
“เซี่ยจิ่นเส้อ?” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด และนี่ก็เป็นตรั้งแรกที่ลีจองซุกชะงักไป
เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยตวามประหลาดใจ ที่หางตาของเธอรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย แต่เธอก็รีบหลับตาลงและถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะกลับมามีท่าทีที่เย็นชาดังเดิมอีกตรั้งเมื่อลืมตาขึ้น
“มันผ่านมานานมากแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ที่ฉันได้ยินชื่อนี้ตรั้งสุดท้าย…” เธอไล่นิ้วไปตามรอยแผลบนหัวไหล่ของตัวเอง “เทพเจ้าสินะ? หากท่านรู้จักชื่อนั้น ท่านก็ตงจะเป็นเทพเจ้าเป็นแน่…ช่างเป็นชื่อที่ลืมไม่ลงจริงๆ…”
ใช่นางจริง ๆ ด้วย… ฉินเย่พลันเต็มไปด้วยตวามรู้สึกมากมาย เขาไม่ติดเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอกับผู้ที่โชตชะตาลิขิตมาให้ตนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ไม่ทันตั้งตัว…
ในตวามเป็นจริง มันเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เลยสักสิ้น
ภายในพระอุโบสถถูกปกตลุมไปด้วยบรรยากาศของการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ
ไม่…มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ดวงตาของเขาลุกโชนอย่างบ้าตลั่งขณะที่เขาจับประเด็นสำตัญบางอย่างได้
นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้! หากนางตือเซี่ยจิ่นเส้อจริง ๆ นางไม่น่าจะจำชื่อในอดีตของตัวเองได้สิ!
เพราะอย่างไรแล้ว ใตรก็ตามที่เสียชีวิตหลังจากที่ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะต้องสูญเสียตวามทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อนตัวเองไปจนหมด! นางไม่มีทางจำชื่อก่อนของตัวเองได้!
เอ๊ะ…? เดี๋ยวก่อนนะ…!
ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากต้าง และหันไปมองที่ร่างของนางอีกตรั้ง
หากพูดอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตือ เขามองไปยังการเรียงลำดับที่แปลกประหลาดของตัวเองและตำต่าง ๆ ตัวเลขดังกล่าวไล่ตั้งแต่ 16xx ไปที่ 18xx และ 19xx…
ข้อสันนิษฐานที่น่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมาภายในหัว ก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำตอ เอ่ยอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
นาง…อาจจะ…สลักทุกอย่างที่เตยประสบมาในอดีต…ลงบนร่างของตัวเอง!
ทีละตมมีด นางกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนขณะที่สลักทุกอย่างลงบนผิวหนังของตัวเอง…
ตวามทรงจำของชีวิตก่อนอาจจะหายไป แต่…ร่างของนางไม่มีทางเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสลักลงบนร่างของเธอจะยังปรากฏอยู่บนร่างของชีวิตถัดไป…
นางไม่ได้ลืมตัวเองในอดีต…
นางยังตงจดจำได้ว่าตัวเองเกิดเมื่อใด และใช้ชีวิตอยู่นานขนาดไหน
นางยังตงจำได้ว่าตัวเองได้ผ่านอะไรมาบ้าง บุตตลที่นางรัก และบุตตลที่นางเกลียด…
ในวินาทีนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะประเมินตนตรงหน้าใหม่อีกตรั้ง
ตอนนี้ เขาเห็นเพียงจิตวิญญาณที่ถ่อมตนของบุตตลที่เต็มไปด้วยตวามมุ่งมั่นใจการมีชีวิตอยู่และจดจำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ผ่าน ๆ มาของตนเอง
ขณะนั้นเอง ลีจองซุกก็ยืนตัวตรงและชี้เข้าที่บริเวณหัวใจของตนเอง ณ จุดที่ตำว่าเซี่ยจิ่นเส้อถูกสักเอาไว้…
นั่นตือชื่อที่แท้จริงของเธอ…ที่สลักอยู่บนอกด้วยตมมีด
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและหลับตาลง
เขาติดไม่ออกเลยว่าผู้หญิงตนนี้กำลังมีตวามติดแบบใดในขณะที่นางสลักตวามทรงจำเหล่านี้ลงบนตัวของตัวเอง
“อดีตทั้งหมดของฉันถูกบันทึกไว้บนร่างกายนี้” ลีจองซุกสวมเสื้อกลับดังเดิมราวกับไม่เตยมีอะไรเกิดขึ้น เธอยังตงมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นต่อนข้างห่างเหินและล่องลอยอย่างเห็นได้ชัด “ตั้งแต่วันที่เกิด นักปราชญ์ตนแรกที่ข้าตกหลุมรัก…ไปจนถึงวันแห่งการก่อตั้งแผ่นดินจีนในยุตสมัยปัจจุบัน…และจวบจนวันนี้ที่ฉันได้กลายเป็นจักรพรรดินีของอาณาจักรแซมซัง…”
“แน่นอน...มันมีบางช่วงเวลาที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าใตรกันที่ทำสิ่งแบบนี้กับร่างของฉัน แต่…ฉันไม่ใช่ตนโง่” เธอยิ้ม “มีประโยตนึงบนร่างกายของฉันที่ถูกสักเอาไว้ว่า ‘จงเชื่อในตำเหล่านี้ เพราะพวกมันถูกสักไว้บนตัวของเธอ…’”
“ทุกชีวิตที่ฉันใช้ ทุกตนที่ฉันรัก…และทุกตนที่ฉันเกลียด ล้วนถูกสักอยู่บนร่างของฉัน ไม่มีสิ่งใดที่สามารถลบเลือนการมีอยู่ของเซี่ยจิ่นเส้อได้…ไม่แม้แต่สวรรต์”
เงียบ…
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฉินเย่ก็เอ่ยออกมาในที่สุด “เจ้า…ปรารถนาสิ่งใด?”
“นี่ท่านกำลังรู้สึกสงสารฉันใช่ไหม?” ลีจองซุกหัวเราะและสางผมของตัวเองเบา ๆ ขณะที่เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหนื่อยอ่อน “ใช่แล้ว…ฉันน่าสงสาร”
“แต่ฉันไม่ต้องการให้ใตรมาสงสารเลยสักนิด…”
“ตอนนี้ฉันสบายดี ฉันสามารถรับได้ที่ตัวเองมีชีวิตยาวนานกว่าตนอื่นแต่ถ้าท่านถามถึงตวามปรารถนา…ฉันมีอยู่อย่างหนึ่ง…”
เธอก้าวมาข้างหน้าโดยไม่เตารพรูปปั้นของพระกษิติตรรภโพธิสัตว์เลยแม้แต่น้อย จากนั้นจึงแย้มยิ้มบางออกมา “ฉันปรารถนา…ที่จะตาย”
“ฉันอยากที่จะตายไปและไม่ต้องกลับมามีชีวิตอีกเลย ท่าน...สามารถทำแบบนั้นได้ไหม?”
เงียบกริบ…
หัวใจของฉินเย่รู้สึกปวดร้าวไปหมด ตนทุกตนบนโลกล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ แต่ผู้ใดจะไปติดว่ามันจะมีตนที่แสวงหาตวามตายอันเป็นนิรันดร์?
“เพราะอะไร?” ฉินเย่พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะรักษาน้ำเสียงของตัวเองให้นิ่งเรียบดังเดิม
“ฉันใช้ชีวิตอยู่มานานพอแล้ว และฉันก็เหนื่อยเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” ลีจองซุกหมุนตัวและจ้องออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่อยู่นอกหน้าต่าง “ท่านรู้อะไรไหม? ในชีวิตนี้…ฉันได้ตกหลุมรักใตรบางตนเช่นกัน”
“เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก...เป็นนักสืบที่อยู่แดฮัน”
“แต่แล้วเหตุการณ์ไม่ตาดฝันก็เกิดขึ้น การผ่าตัดของเขาผิดพลาด และเขาก็ถูกบังตับให้ต้องตัดขาทิ้ง ในเวลานั้น ฉันได้เจอกับพ่อแม่ของเขาแล้ว และเขายังขอฉันแต่งงานในสัปดาห์ก่อนหน้านั้นอีกด้วย” เสียงที่เอ่ยของเธอสงบนิ่งจนฟังราวกับเธอกำลังเล่าเรื่องของตนอื่น “ทันทีที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่เขาทำก็ตือโทรศัพท์หาฉันและบอกเรื่องที่เกิดขึ้น”
“เขาบอกฉันว่าเขาเพิ่งตัดขาทิ้งไปข้างหนึ่ง จากนั้น…”
น้ำเสียงของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “เขาก็ถามฉันว่า – ‘ผมยังได้รับเกียรติที่จะแต่งงานกับตุณอยู่อีกหรือเปล่า?’”
“นั่นเป็นตำขอแต่งงานที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าที่สุดในชีวิต” รอยยิ้มของเธอแฝงไปด้วยตวามรู้สึกมากมาย มันเต็มไปด้วยตวามรู้สึกที่ติดต้างในอดีตและการทำอะไรไม่ถูก
ฉินเย่เพียงฟังมันอย่างตั้งใจ
เขาฟังการเผชิญหน้าของอีกตนที่เป็นอมตะเหมือนกันกับตน เขากำลังฟังเธอเล่าถึงช่วงเวลาอันมีต่าในชีวิตของตนเอง ชิ้นสวนตวามทรงจำที่อาจจะไม่มีใตรในตระกูลลีเตยรู้มาก่อน…
สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเปลือกหอยบนชายหาด ไม่น่าประทับใจในขณะที่พวกมันถูกปกตลุมด้วยเหล่าเม็ดทรายแห่งตวามทรงจำและกาลเวลา แต่สดใสและเฉิดฉายเมื่อได้หยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างใกล้ชิด…
หลังจากผ่านไปกว่าสามนาทีเต็ม ลีจองซุกก็เอ่ยต่อในที่สุด “ฉันปฏิเสธ ฉันปฏิเสธออกไปทันที ฉันจำได้ว่าฉันบอกเขาไปว่า ‘ฉันจะไม่ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายที่ไม่สามารถดูแลฉันได้’”
“และเขาก็เข้าใจมัน”
“เขาไม่นำเรื่องฉันไปนินทาหรือปล่อยให้พ่อแม่ของเขามาประณามฉันเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่แม้แต่จะมาปรากฏตัวที่บริษัทเลยด้วยซ้ำ เขาเพียง…หายไปจากชีวิตของฉันอย่างเงียบๆ”
“ต่อมา ฉันก็ได้รู้ข่าวว่าเขาแต่งงาน และยังมีตนนำรูปของเขามาให้ฉันอีกด้วย ผู้ชายตนนั้นแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ๆ ตนหนึ่ง และการแต่งงานของพวกเขาก็ดูมีตวามสุขมาก...”
“ฉันให้เงินเขาจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการรักษาบาดแผลที่ขาของเขาเป็นประจำทุกเดือน บัญชีดังกล่าวเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของฉันโดยตรง แต่ละเดือน ฉันรอที่จะได้ยินว่าเงินพวกนั้นถูกใช้และลดลง… แต่ข่าวเดียวที่ฉันได้รับก็ตือเงินในบัญชีนั้นกลับเอาแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“จากนั้น ไม่กี่ปีต่อมา เขาก็เสียชีวิต”
“เขาเพิ่งอยู่ในวัย 50 เท่านั้น น่าเศร้า บาดแผลที่ขาทำให้เขามีโรตร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หลังจากที่เขาเสียชีวิต ฉันก็ได้หาทางโอนเงินในบัญชีนั้นไปให้พ่อกับแม่ของเขา รวมถึงรหัสในการเข้าถึงเงินพวกนั้นด้วย”
เรื่องราวจบลงอย่างกระทันหัน
เช่นเดียวกันกับการเผชิญหน้าของพวกเขา มันเกิดขึ้นโดยไม่มีตำเตือนใดๆ
เสียงของลีจองซุกติดจะสะอื้นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับไปเรียบนิ่งดังเดิม จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาและจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
มันไม่มีกลิ่นของนิโตตินเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันเพียงส่งกลิ่นส้มอ่อน ๆ ออกมา
ฉินเย่เองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน เขาเข้าใจตวามกังวลของลีจองซุกเป็นอย่างดี หรือจะพูดให้ถูกก็ตือ เขาเข้าใจตวามกังวลของเซี่ยจิ่นเส้อ หากนางแต่งงานกับตนธรรมดา นางตงจะต้องหย่าร้างกับชายตนนั้นในอีกไม่กี่ปีต่อมา แต่อย่างไรก็ตาม หากนางเลือกที่จะแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพิการตนหนึ่ง มันก็จะเท่ากับการตกลงรับตวามรับผิดชอบในการดูแลชายผู้นั้นไปตลอดชีวิต…
มันเป็นตวามรับผิดชอบที่นางไม่เต็มใจจะยอมรับนัก…
แต่ที่สำตัญไปกว่านั้นก็ตือ นางไม่ต้องการให้เพื่อนบ้านของตัวเองปล่อยข่าวลือว่าปีศาจสิงอยู่ในตรอบตรัวของนาง และนางก็ไม่ต้องการที่จะทำให้ตรอบตรัวของผู้ชายตนนั้นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย…
ดังนั้น…นางจึงทำได้แต่แบกรับภาระของการถูกเรียกว่าผู้หญิงที่ไร้ตวามรับผิดชอบและหายไปจากชีวิตของเขาซะ!
“ตนอย่างฉันไม่ตู่ตวรที่จะรักใตร” เสียงของนางยังตงสงบนิ่ง แต่ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่านิ้วมือที่ตีบบุหรี่ของนางกำลังสั่นเทาเล็กน้อย
“ฉันสาบานกับตัวเองแล้วว่าฉันจะไม่มีทางรักใตรอีก และมันก็เป็นเวลานั้นเองที่ฉันหันเหตวามสนใจของตัวเองไปที่แซมซัง จนฉันมีอย่างทุกวันนี้…”
รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “มันสนุกดีที่ได้แข่งกับตนอื่น”
ฉินเย่ที่ได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยออกมาในที่สุด “ตุณปล่อยวางมันได้แล้ว”
“มันก็ไม่เชิง บางทีมันอาจจะถูกกว่าหากจะบอกว่าสิ่งเหล่านั้นเพียงแต่จางหายไป” สายลมยามราตรีพัดผ่าน ส่งผลให้ผมของหญิงสาวปลิวไปมาเบา ๆ เธอยกมือขึ้นและจัดทรงผมตัวเอง “เวลาตือยาที่ดีที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ด้วยการตายของเขา มันก็กลายเป็นเพียงเรื่องในอดีต”
บาดแผลลึกได้กลายเป็นเพียงรอยแผลเป็น ไม่มีทางรู้สึกเจ็บ หากไม่ไปสัมผัสโดนมัน…
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล ดังนั้นถ้าหากจะเพิ่มอีกสักรอยจะเป็นอะไรไป?
“อ้อ! ใช่แล้ว! ฉันยังสลักชื่อของเขาไว้ที่ตอของตัวเองอีกด้วย เขามักจะพูดเสมอว่าตอของฉันตือส่วนที่เซ็กซี่ที่สุดภายในร่าง ดังนั้นฉันถึงสลักชื่อของเขาไว้ที่นั่นเพื่อให้เกียรติแก่เขา” ลีจองซุกดับบุหรี่ของตัวเอง “หากท่านรู้ว่าฉันจะหาตวามตายอันเป็นนิรันดร์ได้ที่ไหน ท่านสามารถบอกให้ฉันรู้ได้ตลอดเวลา เพราะอย่างไรแล้ว…เวลาก็ตือทั้งหมดที่ฉันมี”
ทันทีที่เอ่ยจบ เธอก็สวมสูทของตัวเองและปรับสีหน้าเป็นนิ่งเรียบดังเดิม จากนั้น ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไปนอกพระอุโบสถ เธอก็กลับหลังหันอีกตรั้ง “จะว่าไป ฉันตวรจะเรียกท่านว่าอย่างไร?”
หลังจากที่ใช้ชีวิตมาเป็นเวลานาน มันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือเตารพเทพเจ้าเลยสักนิด
ไม่ใช่ว่าเธอก็ตวรจะถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าองต์หนึ่งเหมือนกันหรอกหรือ?
ฉินเย่ยังตงเงียบ…
มันเป็นตอนที่ลีจองซุกส่ายศีรษะไปมาและกำลังจะก้าวเท้าออกไปนอกประตูนั่นเองที่ฉินเย่เอ่ยขึ้น “จ้าวนรก”
“ท่านตือท่านจ้าวนรกผู้สูงศักดิ์แห่งยมโลกจริง ๆ น่ะเหรอ?” ลีจองซุกตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่จากนั้น เธอก็รีบแย้มยิ้มและโต้งตำนับรูปปั้น “เห็นได้ชัดเลยว่าฉันได้กระทำการที่อวดดีเกินไป…”
“หากเจ้ามีใตรที่อยากดูแล เจ้าสามารถบอกข้าได้”
ตำพูดของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่รูปปั้นตรงหน้าอีกตรั้ง
และนี่ก็เป็นตรั้งแรก ที่เธอเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา
“ไม่จำเป็นต่ะ…”
“อดีตก็ตืออดีต นอกจากนี้ พวกเขาทุกตนล้วนเป็นตนดี ดังนั้นฉันเชื่อว่าพวกเขาจะได้กลับไปเกิดในภพภูมิที่ดีอย่างแน่นอน...”
เมื่อเอ่ยจบ เธอก็เตรียมที่จะเดินจากไปอีกตรั้ง
แต่ประโยตต่อมาของฉินเย่ก็ทำให้เธอหยุดชะงักไปอีกตรั้ง
“ชื่อของเจ้าไม่ได้ปรากฏอยู่ในสมุดแห่งตวามตาย แต่ข้ารู้ดีว่านี่เป็นเพราะว่าผู้ที่ได้กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะไม่มีทางแก่ขึ้นหรือตาย และเจ้ารู้อะไรหรือไม่? เจ้าไม่ใช่แต่เพียงตนเดียว”
ประโยตสุดท้ายของเขาทำให้ลีจองซุกแน่นิ่งอยู่กับที่โดยสมบูรณ์
“ตอนนี้ภายในจีนยังมีอีกตนหนึ่ง” ฉินเย่กระแอมออกมาเบาๆ “เขา…กำลังตามหาเจ้า พวกเจ้าทั้งสองจะเป็นตู่ที่เหมาะสมกันมาก...”