ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 48 เชาโจวเต๋า
บทที่ 48 เชาโจวเต๋า
แม้ว่าฉินเย่จะทำหน้าที่ยมทูตมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังตกใจสิ่งที่ตัวเองได้เห็นอยู่ดี
วิญญาณผู้หญิงสวมชุดคล้ายเจ้าหน้าที่ในสมัยโบราณ กำลังเต้นรำอย่างยั่วยวนอยู่กลางลานเต้นรำ ฝ่ามืออันขาวซีดของพวกนางลูบผ่านกระโปรงขึ้นไปจนถึงอกอย่างอันตราย จากนั้นจึงโอบรอบเอวเล็ก ๆ ของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกนางคือวิญญาณ ฉินเย่ก็คงจะเอ่ยชมอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ช่างมีเสน่ห์มากจริง ๆ
วิญญาณนักเต้นรำที่มาพร้อมกับเสียงตะโกน อย่างเร่าร้อนในแต่ละจังหวะการเต้นทำให้หัวใจของผู้ชมต่างเต้นแรง ธนบัตรนรกจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ในเวลาเดียวกัน เหล่าวิญญาณที่ดูเหมือนจะมีสติปัญญามากกว่าต่างกำลังนั่งคุยเรื่องสำคัญอยู่ภายในห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกับลานเต้นรำ วิญญาณกระต่ายสาวเดินถือถาดเงินและเติมไวน์ลงไปในแก้วอย่างประณีต ส่วนวิญญาณตนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็ก้มหน้าและขยับเท้าตามจังหวะของเพลงอูฐในทะเลทราย
พูดกันตามจริง หากมองผ่านความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นภาพลวงตา และสิ่งที่เป็นความจริง และนอกเหนือจากอาณาจักรแห่งสีสัน สถานที่แห่งนี้ก็คงจะเหมือนกับคลับอื่นๆ ที่ฉินเย่เคยไปมาตลอดชีวิต
“ฉันแล่นเรือข้ามทะเลทราย พร้อมด้วยไปป์และนาฬิกาทราย และเหล้าหนึ่งเหยือกในมือ!”
“เส้นทางโบราณที่ไร้จุดสิ้นสุด เต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งความสุข ความเศร้า เสียงหัวเราะ และความเจ็บปวด ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมอยู่เสมอมีเพียงอูฐที่ยังคงเดินอยู่ในทะเลทรายเท่านั้น…” เสียงเพลงค่อย ๆ เบาลง และบรรยากาศก็เริ่มเบาบางลง วิญญาณที่แต่งตัวคล้ายกับนักเรียนกระโดดลงจากลานเต้นรำ และถูกแทบที่ด้วยเหล่าวิญญาณที่สวมชุดสูทและหมวกหนังขนาดเล็กแทน
หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศที่ดูเหมือนเบาลงก็พลันร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ด้วยการมาถึงของเหล่าหมู่นักร้อง บนเวที กลุ่มนักร้องผีสาวที่มีผมยาวและแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดดีดเครื่องดนตรีของพวกนางพร้อมกัน ทำให้ผู้ชมที่อยู่โดยรอบต่างหลงใหลและเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีที่สนุกสนาน ในเวลานี้ บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควัน และวิญญาณจำนวนมากต่างยกแขนของตนขึ้นในอากาศ ตะโกนร้องสุดเสียงไปพร้อมกับวงดนตรีโดยไม่สนใจสิ่งใด
“จุดตัดที่สวยงามของกลางวันและกลางคืนได้ใช้เวลาชีวิตของฉันไปโดยเปล่าประโยชน์ ทว่าเส้นทางตรงหน้ายังคงไร้ซึ่งจุดหมายเช่นเดิม…”
ฉินเย่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกลับมาได้สติในที่สุด
นี่มันบ้าชัด ๆ…มันจะไม่เจริญไปหน่อยเหรอ?
ไม่…นี่มันคือสมาคมจริง ๆ ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลยสักนิด และมันก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเกี่ยวกับบัตรเชิญนี้เช่นกัน แต่คุณจะไม่คิดหรือว่ามันแตกต่างกับการเชื้อเชิญและถูกพามาที่นี่อย่างสิ้นเชิง? แม้แต่ลวดลายบนบัตรเองก็แตกต่างกันโดยสมบูรณ์!
“ว่าไง สุดหล่อ” ทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกถึงสัมผัสเย็น ๆ ที่บริเวณท้องส่วนล่างของตนเอง เด็กหนุ่มประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าหญิงสาวหน้าคมหันกลับมามองตน ดูจากลักษณะของอีกฝ่าย นางน่าจะเป็นขี้เมาคนหนึ่งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มือของเธอเลื่อนไปมาอยู่เหนือส่วนลับของเขา และค่อย ๆ ลากนิ้วไปตามตะเข็บกางเกงของเขาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา “เพิ่งมาใหม่อย่างนั้นหรือ? ใบหน้าหล่อเหลาไม่เบา ไปยืมร่างของผู้ใดมากัน? เขาคงจะเพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้ใช่หรือเปล่า? ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาเช่นนั้นต้องจบชีวิตลง…”
ให้ตายเถอะ…
ฉินเย่อยากจะกำจัดวิญญาณตรงหน้าด้วยกระบี่ของตัวเองใจจะขาด อย่างน้อยก็ช่วยไปทำให้มือของเจ้าอุ่นก่อนที่จะมาลูบไม่ได้หรือไง?
เขาหันไปมองอีกฝ่ายตาขวาง ภายในไม่ถึงสามวินาที รอยยิ้มบนใบหน้าของวิญญาณสาวก็ต้องชะงักค้างไป จากนั้นร่างของนางก็เริ่มสั่น และในที่สุดนางก็อ้าปากกว้างและทำท่าจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง
“คะ คะ คน…คน….อุ๊บส์!!” โชคดีที่มือซีดขาวข้างหนึ่งได้ปิดปากนางเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง สะบัดแขนขาและชี้ไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่สามารถตะโกนออกมาได้ว่า อีกฝ่ายคือคนเป็น ๆ ที่ยังมีชีวิต
“คุณผู้หญิง ท่านผู้นี้คือแขกคนสำคัญของเจ้านาย” มือที่ปิดปากของวิญญาณสาวเอาไว้ก็คือมือของคนกระดาษ ไม่เหมือนกับตัวที่ถูกส่งไปรับฉินเย่มาที่นี่ คนกระดาษตัวนี้สวมชุดสูทสีดำที่เรียบง่ายและมีทรงผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เป็นหลักฐานให้เห็นได้อย่าง
ชัดเจนว่าผู้ที่สร้างคนกระดาษพวกนี้ขึ้นมายังขาดทักษะในทุกด้าน แม้แต่ใบหน้าที่เป็นส่วนสำคัญก็ไม่ถูกวาดให้ถูกสัดส่วน งานฝีมือภายใต้แสงไฟของสปอร์ตไลท์หลากสีนั้นทำให้ที่ได้เห็นรู้สึกขนลุกยิ่งนัก
ภายในไม่กี่วินาที วิญญาณสาวที่ถูกคนกระดาษปิดปากเอาไว้ก็กลายร่างเป็นกลุ่มพลังหยินสีขาวอมเขียว ก่อนจะกระจัดกระจายไปรอบ ๆ วิญญาณตนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบเพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและยังคงเต้นต่อไป สุดท้าย คนกระดาษดังกล่าวก็หันไปโค้งคำนับให้ฉินเย่อย่างเคารพและเอ่ยว่า “เจ้านายได้ส่งข้าให้มารับท่าน กรุณาตามข้ามาทางนี้….”
ฉินเย่พยักหน้า ทันทีที่เหล่าดวงวิญญาณหยินเห็นคนกระดาษเดินมาทางตน พวกเขาต่างหลบไปอยู่ทางสองข้างทาง เปิดทางให้หนึ่งคนกระดาษและหนึ่งคนเป็นสามารถเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อฉินเย่เดินตามคนกระดาษมายังมุมที่มีเสียงดังสนั่นมุมหนึ่งของสมาคม เขาก็พบว่ามันยังมีชั้นที่สองอยู่ด้านบนอีก
ขณะที่พวกเขาค่อย ๆ เดินขึ้นไปตามบันไดวนเพื่อไปยังที่ชั้นสอง ฉินเย่ก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าโครงสร้างของชั้นที่หนึ่งเป็นอย่างไร ด้านหลังของลานเต้นรำยังมีหลุมขนาดใหญ่ที่กว้างประมาณสองเมตรอยู่ มันถูกซ่อนไปอย่างดีโดยไฟสปอตไลท์ที่ตระการตาก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้ ฉินเย่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่ภายในหลุมที่ดำมืดนั้นคืออะไร….โซ่เงินสี่เส้นที่ยื่นยาวออกมาจากทั้งสี่ทิศและบรรจบกันที่ตรงกลางของหลุม ในขณะเดียวกัน กลุ่มก้อนพลังหยินที่บริสุทธิ์และหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางของโซ่อย่างต่อเนื่องราวกับกลุ่มเมฆ
“นี่มัน…” แววตาของฉินเย่ไหววูบเล็กน้อย ขณะที่เขาพยายามข่มความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ เม็ดเหงื่อเย็นเริ่มผุดพรายขึ้นมาในฝ่ามือจนชื้นไปหมด
นี่มันคุ้นเกินไป
ความบริสุทธิ์และความเข้มข้นของพลังหยินนี้…มันจะต้องเล็ดลอดออกมาจากเศษตราจ้าวนรกอย่างแน่นอน!
ทันใดนั้น…
ตึ่ง!!!…
เสียงที่คล้ายกับเสียงของระฆังดังขึ้น จากนั้นสิ่งที่อยู่ภายในหลุมด้านล่างก็เริ่มแปรปรวน และเสี้ยววินาทีต่อมา คลื่นพลังหยินที่บริสุทธิ์จำนวนมากก็พุ่งออกมาจากหลุมและครอบคลุมทั่วทั้งลานเต้นรำเอาไว้ บรรยากาศภายในสมาคมก็ระเบิดและขึ้นเป็นอีกระดับทันที! เหล่าวิญญาณทั้งหมดต่างกรีดร้องด้วยความดีใจ!
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของวิญญาณนับร้อย เศษตราจ้าวนรกที่อยู่บริเวณอกของฉินเย่เองก็เริ่มตอบสนองราวกับมันมีชีวิตเป็นของมันเอง เต้นรัวและแรงเหมือนกับหัวใจ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง พลังหยินมหาศาลได้ปะทุออกมาจากห้องบนชั้นที่ 2 ห่อหุ้มร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ สติของฉินเย่มึนงงไปหมด
พรึ่บ!! เสื้อผ้าของเขากระพืออย่างรุนแรง ก่อนจะค่อย ๆ สงบลงอีกครั้ง
เหมือนเป็นพายุลูกเล็กที่รอการมาถึงของพายุลูกใหญ่ไม่มีผิด และตอนนี้…เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ใจกลางของพายุลูกนั้น!
“นี่มัน…นักล่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ?”
เขาอยู่ห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 5-6 เมตร
ทว่าด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางอย่าง เขากลับถูกตรึงอยู่กับที่ รู้สึกเหมือนตัวเองได้หยั่งรากลึกลงกับพื้นอย่างสมบูรณ์
เขาไม่คิดเลยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของหอสมาคมอวี๋หลานจะเป็นผู้ที่ถือครองเศษตราของหนึ่งในสามสมบัติพื้นฐานของนรก! นอกจากนี้ ยมทูตคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่เองก็เป็นหัวหน้าใหญ่ของเมืองเป่าอัน และพลังหยินของอีกฝ่ายก็เทียบได้กับปริมาณพลังหยินที่นักเชิดหุ่นที่ฉินเย่เคยเผชิญหน้าด้วยก่อนหน้านี้! คนที่อยู่ระดับเดียวกับนักล่าวิญญาณ!
ถอยดีไหมนะ?
ไม่มีทาง ฝ่ายตรงข้ามได้จับตาดูการกระทำของเขาอยู่ หากเขาก้าวถอยหลังแม้เพียงก้าวเดียว วิญญาณทั้งหมดในชั้นใต้ดินชั้นที่ 6 นี้ก็คงจะทำตามคำสั่งและเข้าจู่โจมเขาทันที
เข้าไปเหรอ?
แต่ยมทูตระดับนักล่าวิญญาณเองก็กำลังจับตาดูทุกการกระทำของเขาอยู่เช่นกัน หากผนึกของเศษตราจ้าวนรกตอบสนองกันแม้เพียงเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามก็จะรับรู้ได้ถึงมันในทันที และเมื่อเวลานั้นมาถึงอาจจะถึงเวลาตายของเขา!
“สหายข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้ามาก่อนเล่า?” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่ฉินเย่จะสามารถตั้งสติของตัวเองได้ “เจ้าไม่อยากเห็นสักนิดเลยหรือว่าเพื่อนร่วมงานของเจ้าหน้าตาเป็นเช่นไร?”
แย่ล่ะ…
ฉินเย่กำลังตกอยู่ในสภาพวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขากำมือแน่น ฝ่ามือทั้งสองข้างในตอนนี้พลันเย็นชืด ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
เมื่อประตูถูกเปิดออก เขาก็พบว่ามันคือห้องที่ตกแต่งแบบสมัยใหม่
มันเป็นพื้นที่ที่คล้ายกับเฉลียง ที่ทั้งสามด้านถูกล้อมรอบด้วยกระจก โซฟาสองตัวถูกวางไว้ติดหน้าต่างและโต๊ะสไตล์ยุโรปตัวยาวถูกวางอยู่กึ่งกลางของห้อง โคมไฟระย้าที่แขวนอยู่เหนือศีรษะส่องสว่างสดใส ในขณะที่ภาพวาดเลียนแบบของโมนาลิซาถูกแขวนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง
ตู้เก็บของที่ถูกสร้างมาอย่างประณีตถูกวางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ชั้นวางด้านบนอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ในขณะที่ช่องด้านล่างถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา ถัดมาคือร่างร่างหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ฉินเย่และพาดแขนอยู่บนที่วางแขนของโซฟา แหวนสามวงที่นิ้วของเขาส่องแสงแวววาวล่อแสงไฟ
เมื่อสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด ฉินเย่ข่มความรู้สึกทั้งหมดในใจของตนก่อนจะเดินไปที่โซฟา ประสานมือที่กำแน่นทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและโค้งศีรษะลง “ผู้น้อย ยมทูตนามว่าฉินเย่ ขอคารวะท่านนักล่าวิญญาณอาวุโสระดับสูง”
ไร้ซึ่งคำตอบ
หลังจากผ่านไปหลายวินาที เสียงหนาก็ตอบกลับมาในที่สุด “เจ้ารู้อะไรไหม?”
“ครั้งแรกที่ข้าสัมผัสถึงพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของเจ้า ข้าแทบจะไม่เชื่อความรู้สึกของตัวเอง”
“แค่คิดว่ายังมีผู้เหลือรอดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนรกอยู่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเรื่องอาหรับราตรีในตำนานเสียอีก”
ฟึ่บ…โซฟาตรงหน้าหมุนตัวโดยอัตโนมัติ และฉินเย่ก็ได้เห็นใบหน้าของหัวหน้าใหญ่แห่งเมืองเป่าอันในที่สุด
อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคน
ในมือซ้ายของเขากำลังถือแก้วที่มีของเหลวสีแดงอยู่ ท่าทางแข็งแรงและเต็มไปด้วยพละกำลัง สวมชุดสูททรงตรงพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดซ่อนเนกไทสีน้ำเงินกรมท่าไว้ด้านใน และสิ่งที่ยิ่งขับเน้นให้เครื่องแต่งกายของเขาให้โดดเด่นขึ้นไปอีก คือรองเท้าหนังที่ถูกขัดจนมันวาว
ผมสีดำสนิทและใบหน้าที่ดูธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะสามารถมีได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นในครั้งแรกเท่าไร
หากไม่ใช่เพราะพลังหยินที่เล็ดลอดออกมาจากรูทวารทั้ง 7 อย่างต่อเนื่องของอีกฝ่าย ฉินเย่ก็คงเข้าใจผิดไปว่าชายตรงหน้าของเขา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็คงไม่คิดว่าอีกฝ่ายคือยมทูต
ฉินเย่นั่งลง ตอนนี้โซฟาที่ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ได้หันกลับมาอย่างสมบูรณ์ และเขาเพียงแค่จ้องตาฉินเย่นิ่ง หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “ข้าดีใจ”
“อย่างแท้จริง”
“ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาพบกับสหายร่วมงานของตัวเอง หลังจากที่นรกได้ล่มสลายไปแล้ว มันไม่มีอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้แล้ว”
เขาลุกขึ้นและเดินไปที่ตู้ใส่ของที่มุมห้อง ก้มลงเปิดช่องด้านล่างออก เผยให้เห็นเครื่องทำความเย็นที่อยู่ด้านใน “อยากจะดื่มอะไรไหม?”
“ข้ามีเหล้ายี่ห้อดัง ๆ เกือบทุกยี่ห้อที่มีขายอยู่บนโลกมนุษย์ เจ้าบอกยี่ห้อมันมาได้เลย ข้ามีมันหมดแหละ ตั้งแต่สเมอร์นอฟ คราวน์ วอดก้า ไปจนถึงโมเอ็ท เอ ชองดอง (แชมเปญ) และมาร์เทล หรือบางทีเจ้าอาจจะอยากลองดื่มอย่างอื่น? มีอันที่สนใจเป็นพิเศษหรือไม่? ตัวข้าก็นับว่าตัวเองเป็นนักชงที่มีฝีมืออยู่ไม่น้อย”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” ฉินเย่รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน อีกฝ่ายก็ดูไม่เหมือนกับยมทูตเลยสักนิด
“เจ้ากำลังพลาดความสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตไป” ชายวัยกลางคนนำขวดของเหลวสองขวดมาเทลงในขวดเช็คเกอร์ สร้างสรรค์การผสมที่เหมาะกับรสนิยมความชอบของตนเอง เหล้าสีทองถูกรินลงในแก้ว ส่งกลิ่นหอมอบอวลแทรกเข้าไปในชั้นอากาศ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ข้าชื่อเชาโจวเต๋า ได้รับหน้าที่ให้ดูแลหมู่บ้านซีเหอมาตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อน ข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดและทำตามข้อกำหนดทั้งหมดเป็นเวลาร้อยปี เพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นเป็นนักล่าวิญญาณ อันที่จริง ข้าได้ถูกรับสั่งให้ไปประจำหน้าที่ที่เมืองกู้แล้วด้วยซ้ำ ทว่าก่อนที่คำสั่งนี้จะได้ประกาศอย่างเป็นทางการ นรกก็ล่มสลายและมลายสิ้น”
เหล้าสองชนิดที่ผสมเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดของเหลวสีทองที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เชาโจวเต๋าสูดดมกลิ่นของมันเล็กน้อยและแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงยืนแก้วไปตรงหน้าของฉินเย่และเอ่ยว่า “ในเมื่อโอกาสได้ร่วงหล่นลงมาเบื้องหน้า ข้าคงจะเป็นคนที่โง่เขลายิ่งนักหากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยผ่านไป ดังนั้นข้าจึงลงแรงไปกับเมืองเป่าอัน ใช้เวลาหลายทศวรรษ เพื่อก่อตั้งอาณาจักรที่เป็นของตัวข้างเอง แล้วเจ้าล่ะสหายข้า เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เขากางแขนออกกว้างพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ภูตผีจำนวนมากต่างกำลังเต้นรำกันอย่างดุเดือดอยู่ด้านล่าง ขณะที่ธนบัตรนรกยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องจากด้านบน แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ
ฉินเย่ไม่ได้รับแก้วไวน์ตรงหน้าแต่อย่างใด กลับกันเขาเพียงยิ้มและเอ่ยว่า “มันค่อนข้างแตกต่างกับที่ข้าคิดไว้มาก”
“แตกต่างอย่างไร?” เชาโจวเต๋าโน้มตัวไปด้านหน้าอย่างอยากรู้ “เจ้าหมายถึงรูปแบบ? การตกแต่ง? หรือบุคลิกของข้ากัน? เจ้าเด็กใหม่…ข้าจะบอกอะไรเจ้าเอาไว้อย่าง หลังจากนี้…เจ้าจะได้พบกับยมทูตนับร้อยและบุคลิกของพวกเขาก็จะแตกต่างกันไป สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคาดหวังเอาไว้ หรืออย่างน้อยที่สุด เจ้าจะไม่ได้พบเห็นพวกเขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบยมทูตและเดินเตร็ดเตร่ไปตอบท้องถนนในเวลากลางคืน”
เขาเปิดกล่องซิการ์ของตัวเอง เผยให้เห็นถึงซิการ์ห้ามวนที่ถูกผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินเรียงรายกันอยู่อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงหันไปหยิบกรรไกรขณะที่เอ่ยต่อว่า “ยกตัวอย่างเช่น ตัวข้าที่ชอบดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ข้าสามารถพูดได้เลยว่างโลกของเราทุกวันนี้มีแต่จะสะดวกสบายและสวยงามขึ้นเรื่อย ๆ และข้าเองก็ยิ่งชื่นชมและเคารพมนุษย์ในฐานะของเผ่าพันธุ์ ๆ หนึ่งเช่นกัน เจ้าอยากได้สักมวนไหม?”
ฉินเย่ส่ายศีรษะ
ฉึก…เชาโจวเต๋าตัดซิการ์อย่างชำนาญขณะพูดต่อว่า “มีเพียงการปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่และยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เท่านั้นที่จะทำให้พวกเราสามารถทำตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้”
“ดูอย่างเจ้าและข้าสิ พวกเราต้องยอมรับความจริงที่ว่านรกได้ล่มสลายไปแล้ว มีเพียงตอนที่เรายอมรับมันได้เท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถก้าวข้ามมันมาได้และหาวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตต่อไป เหมือนกับตัวข้า…ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้”
กริ๊ก…ไฟแช็คถูกจุดขึ้นที่ส่วนปลายของซิการ์ และกลิ่นหอมของดอกซากุระจากตัวซิการ์ก็ลอยอบอวลไปทั่วห้อง เชาโจวเต๋าจ้องมองผ่านกลุ่มควันสีเขียวอ่อนด้วยดวงตาที่หรี่เล็กลง “เหมือนกับตัวข้า…ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกนี้ โลกที่ข้าเป็นใหญ่นี้”
เขาสูบควันเข้าไปอีกครั้ง ปลายซิการ์เปล่งประกายเผาไหม้เล็กน้อย “และตอนนี้ ข้าก็จะชวนเจ้ามาเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ของข้าด้วย สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำมีเพียงการพยักหน้า และต่อแต่นี้นอกจากข้าแล้ว เจ้าจะไม่ต้องเป็นรองผู้ใดในเมืองเป่าอันอีก!”
ฉินเย่หยิบแก้วขึ้นในที่สุด เขาหมุนแก้วไปมา ทว่านี่เป็นเพียงการกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ฉายชัดในแววตาเท่านั้น เด็กหนุ่มเพียงถามต่อว่า “แล้วทางรัฐบาลล่ะ?”
เชาโยวเต๋าหัวเราะ “มีแค่คนในเท่านั้นที่รู้”
“มนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจโลกที่พวกเราอยู่ได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าเด็กใหม่ ในผู้คนทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกในตอนนี้ มีแค่เจ้าและข้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจกันและกันได้ หรืออีกในความหมายก็คือ….พวกเราก็คือนรก!”