ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 482: 16 วัน
บทที่ 482: 16 วัน
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็สะบัดแขนของตัวเองและทำให้ร่างของหญิงสาวกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง ลีจองซุกล้มลงก็พื้ น ไอออกมาด้วยความเจ็บปวดและหายใจเข้าอย่างแรง
“ไปกันได้แล้ว” ยักษ์ทมิฬหันหลังและเริ่มที่จะเดินจากไป แสงไฟสลัวภายในหอจัดแสดงส่องให้เห็นเงาของยักษ์ทมิฬ ทำ ำให้เขาดูไม่ต่างอะไรกับอสูรร้ายเลยสักนิด
มันคล้ายกันอย่างน่าแปลกประหลาด…
ลีจองซุกกุมอกของตัวเองขณะที่ลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ เดินไปที่ทางออก ในขณะเดียวกัน ยักษ์ทมิฬก็เหลือบมองไปที่แผ ผ่นหินอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ในการเดินทางครั้ งนี้ แค่ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้การเดินทางมาที่จีนของเราในครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว”
“แฮ่ก... แฮ่ก... เราทำอะไร?” เสียงลมหายใจที่ติดขัดของคาราสุเท็งงุดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
ยักษ์ทมิฬเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นประมาณสามนาทีต่อมา เขาก็หันไปหาอีกฝ่ายและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นย ยะเยือก “ลีจองซุก…เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจถึงจิตใจของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี”
“เจ้ารู้หรือไม่? ข้าเองก็เกือบที่จะถูกกระตุ้นโดยคำพูดของนางไปครู่หนึ่งเช่นกัน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งไหนกันที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางราชวงศ์? แค่ข้อมูลเพียงเล็กน้อยในเรื่องนี ก็อาจทำให้ญี่ปุ่นสามารถเตรียมการในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ความหมายแฝงของเรื่องนี้อา าจมีค่ามากกว่าการหาตำแหน่งของโอดะโนบุทาดะเสียอีก”
ดวงตาของคาราสุเท็งงุเป็นประกายขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนความตื่นเต้นพวกนั้นจะถูกกลบด้วยความกลัวในใจ เขาส่ายหน้าไปมา ารัว ๆ “แฮ่ก... ไม่ได้! เราทำไม่ได้!”
“ยมทูตของจีน... แฮ่ก... แข็งแกร่งเกินไป…”
“พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ... ราชันย์วิญญาณทั้งหก… ฝู่จวินอีกจำนวนมาก... พวกเราไม่สามารถสู้กับพวกเขาได้.. ..”
“เราควรจะรู้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง…”
ยักษ์ทมิฬนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา “เทศกาลวันสารทจีนคือหนึ่งในเทศกาลผีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจีน ประตูนรกจะถูกเปิด ในขณะที่ยมทูตและวิญญาณจะสามารถเดินเตร็ดเตร่ไปในแดนมนุษย์ได้อย่างอิสระ เจ้ารู้หรือไม่ มัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความสามารถที่จะจับตัวยมทูตที่มีระดับขั้นพลังต่ำกว่าตัวเองได้ และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็สาม มารถยุติการทำงานและให้ลีจองซุกไปส่งเราที่พรมแดน”
ครั้งนี้มันเป็นคาราสุเท็งงุเองที่เงียบไป ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และหนึ่งในดวงตา ของเขาก็หมุนไปมาไม่หยุดราวกับว่าเขากำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมาเสียง งเบา “เรา…มารอดูกัน แฮ่ก...ข้ายังคงไม่อยากที่จะแหย่รังแตนและเสี่ยงในการสร้างความไม่พอใจให้กับยมทูตของจ จีน เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว พวกเขาก็คือหนึ่งในสี่โลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุด อำนาจทางทหารของพวกเขานั้นแตกต่า างจากเราอย่างสิ้นเชิง…”
“เช่นนั้น เราก็ต้องมองหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วจึงลงมือ” ยักษ์ทมิฬละสายตาและมองไปรอบ ๆ หอจัดแสดง “คืนพรุ่งนี้เ เราจะเดินทางกลับมาที่นี่เพื่อตรวจสอบดูอีกครั้ง ข้ามีลางสังหรณ์ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น…”
“ในขณะเดียวกัน เจ้าจงจับตาดูลีจองซุกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ข้าไม่อยู่”
“คน ๆ เดียวที่สามารถพาเราข้ามผ่านอาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าได้มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ระหว่างแดนมนุษย์และ ะโลกใต้พิภพเท่านั้น หากไม่มีนาง เราก็คงต้องตายอยู่ที่นี่ ผู้ที่เดินทางเข้ามาโดยปราศจากการได้รับอนุญาตจะถูก กถือว่าเป็นสายลับ และพวกเราทั้งสองก็รู้ดีว่ายมโลกนั้นจัดการกับพวกสายลับอย่างไร”
คาราสุเท็งงุพยักหน้าอย่างหนักแน่น
…………………………………………………………….
ตี้ทิงนอนอยู่ในลิมโบอย่างเงียบๆ
โชคชะตายังคงลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าของมัน มีเพียงตี้ทิงเท่านั้นที่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ความบังเอิญมากมายได้เริ่มก่อตัวขึ้นรอบจ้าวนนรกฉิน และคลื่นพายุที่รุนแรงก็กำลังก่อตัวขึ้นที่ปลายขอบฟ้า หน น้าที่ของมันในตอนนี้ก็คือปกป้องจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกให้ดีที่สุด
มันผ่านไปแล้วสองวันหลังจากที่วงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุน
“เที่ยงคืนของวันที่ 16…” ดวงตาของตี้ทิงเบิกกว้างขึ้น
และทันใดนั้น โชคชะตาก็เริ่มขยับอีกครั้ง
วันที่ 16…
ชื่อใหม่ได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และชื่อนั้นก็คือ…ตี้ทิง!
ไม่คิดเลยว่าแม้แต่มันก็เข้ามามีส่วนร่วม… หรือมันควรจะพูดว่าในที่สุดก็เป็นคราวของมันที่จะต้องเข้าไปมีส่วน นร่วมกันแน่? หัวใจของอสูรศักดิ์สิทธิ์เต้นแรงขึ้น แต่ไม่นานมันก็สงบลงอีกครั้ง
มันสมเหตุสมผลแล้ว ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในโลกใต้พิภพ เว้นแต่ตัวจ้าวนรกเองสามารถมีส่วนร่วมได้ทั้งสิ้น โดยเฉ ฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชีวิตถูกผูกติดอยู่กับผลของโชคชะตาอย่างแยกไม่ออก ตี้ทิงส่ายหัวไปมาและยังคงจ้องไปที่โชคช ชะตาต่อไป
แต่ครั้งนี้ โชคชะตาไม่ได้เขียนชื่อใดเพิ่มอีก กลับกัน สี่รายชื่อที่ได้ถูกเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งได้แก่ ยัก กษ์ทมิฬ คาราสุเท็งงุ โอดะโนบุทาดะ และฉินฮุ่ยกลับเปล่งแสงสีแดงออกมา ก่อนที่พวกมันจะลอยมารวมกันราวกับกับ ถูกดึงเข้ามาหากัน
“พวกเขาจะพบกัน…และมันจะมีการหลั่งเลือดเกิดขึ้น…” ตี้ทิงถอนหายใจออกมาและล้มตัวลงนอนตามเดิม ก่อนจะเกาหัวขอ องตัวเองอย่างงงัน
ทำไมกัน?
สิ่งใดกันที่จะทำให้คนเหล่านี้ต้องพบเจอกัน?
แต่อนิจจา…โชคชะตานั้นไม่สามารถคาดเดาได้
………………………………………………………
“ท่านพร้อมหรือไม่?” ในขณะเดียวกัน โนบุทาดะพร้อมด้วยทหารซามูไรขี่ม้าอีก 20 นายก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้า ห้องของรัฐมนตรีจาง
“ข้าพร้อมแล้ว” จางเจ้อกวงสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นภายในใจขณะที่พยักหน้าอย่างหมายมั่น
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” โนบุทาดะไม่เอ่ยอะไรให้มากความ หากพูดกันตามตรง เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการคุ้มกันจางเ เจ้อกวงขณะเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์เลยสักนิด แต่ที่เขายอมทำหน้าที่นี้ก็เพราะว่าคำสั่งนี้มาจากท่านจ้าวฉิน โดยตรง
“ไม่ต้องห่วง ระยะเวลาการเดินทางของเราจะไม่ถูกนับรวมกับระยะเวลาที่ท่านสามารถอยู่ในแดนมนุษย์”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ดึงจางเจ้อกวงให้ขึ้นไปบนหลังม้า และนายทหารกว่า 20 นายก็หายตัวไปพร้อมกับสายลม
ดวงตาของจางเจ้อกวงสั่นเทา และไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองถูกล้อมรอบด้วยทางเดินสีดำสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวถูก ปกคลุมไปด้วยหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยิน มีบางเวลาที่ภาพของใบหน้าที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นมาใ ให้เห็น แต่พวกมันก็หายไปในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ยังมีมือสีดำที่เอื้อมออกมาจากกลุ่มหมอกสีดำและพยายามที่จะด ดึงพวกเขาไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์อีกด้วย
จางเจ้อกวงหวาดกลัวจนแทบเสียสติกับภาพที่เห็น โชคดีที่โนบุทาดะยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง โดยไม่แม้แต่จะตกใจ จกลัว นายทหารหนุ่มหันไปแย้มยิ้มบาง ๆ ให้จางเจ้อกวง “ด้วยความที่นครเผิงชิวตกอยู่ภายในการควบคุมของเรา วิญญาณ ส่วนใหญ่ที่ยังคงหลงทางอยู่ภายในมณฑลซานตงย่อมสัมผัสได้ถึงการปรากฏขึ้นของทางเดินที่นำไปสู่ยมโลกได้ ดังนั้นเ เรายังไม่จำเป็นต้องใช้ตะเกียงหวนหยางอีกแล้ว และนี่ยังเป็นทางที่เร็วที่สุดในการเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์อี กด้วย จุดหมายปลายทางของท่านอยู่ที่ใด?”
อย่างนี้นี่เอง…จางเจ้อกวงไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนัก แต่เขาก็ยังคงพยักหน้าตอบ จากนั้นเขาก็เอ่ยออก กไปด้วยรอยยิ้ม “เมืองชางหลาน! เขตหยินหยาน ชุมชนซวี่รื่อ! มันเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดไว้สำหรับครอบครัวที่มีส่วน นเกี่ยวข้องกับภาครัฐ มันหาง่ายมาก!”
โนบุทาดะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาสะบัดสายคุมบังเหียน และม้าศึกโครงกระดูกของเขาก็ก้าวไปทางเมืองชางหลา พร้อมกับทหารม้านายอื่น ๆ ที่ตามไปติดๆ
เสียงพัดผ่านของสายลมดังขึ้นในหูของจางเจ้อกวง และเขาก็โน้มตัวเข้าไปใกล้กับผ้าคลุมของโนบูทาดะโดยไม่รู้ตั ว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อโนบุทาดะเอ่ยว่า “พวกเรามาถึงแล้ว”
เมื่อจางเจ้อกวงมองไปข้างหน้า เขาก็มองเห็นดินแดนอันแห้งแล้ง มันไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัชพืชที่ม มักพบเห็นทั่วไป หรืออสูรวิญญาณที่มักจะเดินไปมาอยู่บนดินแดนเหล่านี้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นมีเพียงกระแสน้ำวนที่ มีความกว้างกว่า 10 เมตรมุมวนอยู่เหนือนศีรษะ ราวกับว่ามันคือประตูสู่สวรรค์ เปลวไฟนรกลุกโชนอยู่ล้อมรอบ ในขณะท ที่ร่องรอยของพลังที่แตกต่างไปจากโลกใต้พิภพดูเหมือนจะแพร่กระจายออกมาจากส่วนลึกของกระแสน้ำวนดังกล่าว
“นี่คือรอยแยก” โนบุทาดะอธิบายอย่างใจเย็น “รอยแยกนี้จะนำเราไปสู่ลิมโบ การตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ได้ทำให้เกิดรอยแยกขึ้นมากมายระหว่างโลกใต้พิภพและลิมโบ และนี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในรอยแยกนั้น มันมีรอยแยกมากม มายที่เชื่อมต่อระหว่างโลกใต้พิภพและลิมโบ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่สามารถพาเราไปที่แดนมนุษย์ได้ รอยแยกตรงหน้านี้ เป็นเพียงข้อยกเว้นเดียว พวกเราค้นพบถึงการมีอยู่ของมันเข้าโดยบังเอิญจากบันทึกการสำรวจของขงโม่”
“เมื่อเราไปถึงแล้ว พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นอกบ้าน และพาท่านกลับทันทีที่ท่านเสร็จธุระ มีคำถามอะไรหรือไม่?”
จางเจ้อกวงส่ายหน้าไปมาโดยไปละสายตาไปจากกระแสน้ำวนดังกล่าว มันแทบจะเหมือนกับว่าเขามองเห็นภาพของครอบครัวและหล ลานชายที่ตนเองคิดถึงมาโดยตลอด
ความคิดเดียวที่อยู่ภายในหัวของเขาตอนนี้ก็คือการกระโจนเข้าไปในกระแสน้ำวนดังกล่าวโดยเร็วที่สุด!
“อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อท่านกลับไปยังแดนมนุษย์ จงอย่านำของสิ่งใดกลับมาเป็นอันขาด ท่านจ้าวฉินทรงอนุญาตให้ท่าน นเดินทางกลับไปที่บ้านเท่านั้น หากท่านนำของสิ่งใดติดตัวกลับมาด้วย…” เสียงของโนบุทาดะเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือ อก “เช่นนั้นข้าก็เกรงว่าท่านคงจะไม่สามารถกลับไปที่ยมโลกได้อีกเลย และเมื่อถึงเวลานั้น เราก็คงไม่มีทางเลือก กอื่นนอกจากจะปฏิบัติกับท่านเฉกเช่นวิญญาณเร่ร่อนตนอื่น ๆ โปรดจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี”
จางเจ้ากวงสูดหายใจเข้าช้าๆ “ข้าจะปลอดภัยหรือไม่?”
“วางใจเถิด ตราบใดที่ท่านทำตามที่ข้าพูด ท่านจะปลอดภัย” โนบุทาดะแย้มยิ้มและหันหน้ากลับไป “พวกเราได้สำรวจดิน นแดนส่วนนี้มาก่อน พิพิธภัณฑ์ได้ถูกสร้างขึ้นเหนือสุสานที่เคยเป็นหลุมฝังศพของท่าน นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดท่า านจึงจะปรากฏตัวขึ้นบริเวณนั้น ข้าจะถามทิศทางท่านเพิ่มเติมทันทีที่เราไปถึงที่แดนมนุษย์”
เมื่อเอ่ยจบ ม้าศึกกว่า 20 ตัวก็พุ่งตรงเข้าไปในน้ำตกที่ไหลย้อนกลับและอาศัยกระแสน้ำเพื่อพุ่งเข้าไปยังใจกลาง งกระแสน้ำวน
“พระเจ้า…” จางเจ้อกวงอุทานออกมาขณะที่พลังหยินจำนวนมหาศาลห่อหุ้มรอบร่างของเขา เขาหลับตาแน่น ทำทุกวิถีทาง เพื่อยึดตัวเองเอาไว้ และทันใดนั้น แรงกดดันบนร่างของเขาก็ลดลง ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ดวงจันทร์…
สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า
นิ้วมือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงก้มลงมองไปที่พื้นดิน
แสงที่เจิดจ้าจากดวงไฟมากมาย ภาพที่ไม่สามารถหาได้ในยมโลก ตอนนี้เขามองภาพของแหล่งที่อยู่อาศัยด้านล่างจากมุม มสูง มันไม่มีเสียงบีบแตรของรถ หรือเสียงพลุกพล่านของผู้คนอย่างที่ควร แต่ถึงกระนั้น เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงลม มหายใจของโลกที่ขาดหายไปนาน!
ในวินาทีนั้น ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน วิญญาณไม่มีน้ำตา แต่ถึงกระนั้น น้ำเสียงที่เขาเป ปล่งออกมากลับอึกอักเล็กน้อย “ขะ ข้าจำทางได้ ตรงไป…จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกที่สี่…”
ฟึ่บ!
น่าเสียดาย…แต่คำตอบเดียวที่เขาได้รับมีเพียงเสียงของดาบที่ถูกชักออกจากฝักเท่านั้น
จางเจ้อกวงรีบหันกลับไปมองทันที และเขาก็พบว่าโนบุทาดะกำลังจับดาบของตนขณะที่เหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดร ระวัง คิคุอิจิมอนจิส่องประกายเย็นยะเยือกออกมาภายในแสงสลัวของจันทร์ ในทำนองเดียวกัน ทหารม้าทั้งหมดเองก็ถือกระ ะบี่ของตนอย่างมาดมั่นและเริ่มรวมตัวกันในลักษณะของแนวป้องกัน
เกิดอะไรขึ้น?
“รัฐมนตรีจาง…” เสียงที่เคร่งขรึมของโนบุทาดะดังขึ้นในหู “ก่อนหน้านี้ ข้าอยากจะให้ท่านหนีไปหาที่หลบภัยโดย ยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้…จงอย่าอยู่ห่างจากข้าแม้แต่นิดเดียว เตรียมพร้อมที่จะหลบหนีทุกเมื่อ!”
เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!!
สีหน้ามีความสุขของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว จางเจ้อกวงลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวขณะที่มองไปยังความมืด อันไร้ขอบเขตที่อยู่โดยรอบก่อนจะถามว่า “วิญญาณร้ายอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เพียงแค่วิญญาณร้ายเท่านั้น… แต่วิญญาณตนนี้มีพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก...” โนบุทาดะกระชับม มือที่จับดาบคาตานะของตัวเองแน่นและถือมันไว้ตรงหน้าตัวเอง “พลังนี้…ดุดันกว่าของท่านอรากษส…มันเป็นพลั งหยินที่น่ากลัวที่สุดที่ข้าเคยเผชิญหน้ามา! พวกเรากำลังพูดถึงขั้นตุลาการนรก และที่แย่ที่สุดก็คือ…เขารับ บรู้ถึงการมีอยู่ของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
อีกฝ่ายเห็นเราแล้ว?
จากที่ไหนกัน?
หัวใจของจางเจ้อกวงพลันรู้สึกอึดอัดอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ฟันของเขากระทบกันอย่างคุมไม่อยู่ขณะที่มองไปรอบ ๆ อย่างวิตกกังวล
จากนั้น…เขาก็เห็นประตูที่นำไปสู่พิพิธภัณฑ์เปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ความรู้สึกเย็นยะเยือกแล่นลงไปตามกระดูกสันหลัง ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเพียงแค่ประตูพิพิธภัณฑ์เท่านั้น แต่เขากลับรู้สึ กราวกับว่ามันคือประตูที่นำไปสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุดของยมโลกไม่มีผิด!
ทันใดนั้นเอง มือข้างหนึ่งของเด็กน้อยก็ยื่นออกมาจากความมืดที่อยู่เบื้องหลังของประตูพิพิธภัณฑ์
จากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ลอยออกมา
ใช่แล้ว! เด็กคนนั้นกำลังลอยออกมา อีกฝ่ายมองไปรอบ ๆ ก่อนจะจ้องเขม็งมาที่กองกำลังของยมโลกที่คุ้มกันจางเจ้อกว วงอยู่
“ยมทูต...” รูม่านตาของยักษ์ทมิฬหดเล็กลงทันที ตามแผนที่ได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาได้กลับมาที่นี่ในตอนกล ลางดึกเพื่อตรวจสอบแผ่นหินอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่พบเจอสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่น้อย
เขาอยากจะรีบกลับไป เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยให้คาราสุเท็งงุคอยจับตาดูลีจองซุกเพียง งลำพัง
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังหยิน เขามีความคิดที่จะหนี แต่มันก็บังเอิญเหลือเกินที่ผ ผู้มาเยือนจากนรกยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังรอการมาถึงของเขาอยู่!
จิตสังหารปะทุออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ
เขาควรจะสังหารกองกำลังตรงหน้าหรือไม่?
ไม่…ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาคือยมทูตของจีน! โชคดีเสียจริง…หากเขาสามารถจับยมทูตพวกนี้ไปได้ ไม่ใช่มั นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถรู้ข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ได้จากคนวงในหรอกหรือ? แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่า ามันยังมีกำลังเสริมที่ซ่อนตัวอยู่ภายในความมืดเบื้องหลังคนเหล่านี้อยู่อีกหรือไม่? แล้วในนั้นจะมีขั้นตุลาการ นรกอยู่ด้วยหรือไม่?
นี่คือความคิดแรกในหัวของเขา จากนั้นดวงตาของเขาก็วาววาบขึ้นด้วยประกายแสงสีแดงเข้มที่น่าสะพรึงกลัวขณะที่ลอ อบสังเกตกองกำลังของยมโลกที่ลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาก็จ้องเขม็งไปที่ดาบซึ่งอยู่ในมือของโอดะโนบุทาดะ ก่ อนจะมองไปยังเหล่าวิญญาณที่อยู่รอบๆ
นี่มัน… ดาบคาตานะ!
คิคุอิจิมอนจิ!
และหากมันเป็นเช่นนั้นจริง…
“ตระกูลโอดะ…” เด็กชายเลียริมฝีปากของตัวเองและแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ในที่สุดข้าก็พบเจ้า…!”