ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 484: ความบังเอิญและความสงสัย
บทที่ 484: ความบังเอิญและความสงสัย
ตู้ม!
โนบุทาดะกำลังจะไปถึงที่หน้าผาเมื่อปรากฏการณ์อันน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น เสาพลังหยินขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าเหนื อหน้าผาก่อนจะสลายกลายเป็นม่านสีเขียวดำ
ยักษ์ทมิฬไล่ตามมาติดๆ
นี่มัน… ขั้นฝู่จวิน?!
เหตุใดขั้นฝู่จวินถึงมาอยู่ที่นี่?
เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่ม้าศึกโครงกระดูกที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้า โนบุทาดะได้บังคับม้าศึกของเขาให้พ พุ่งตรงไปที่ขอบหน้าผาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขารู้ว่าตัวเองจะต้องตายอย่างแน่นอนหากหันหลังกลับไป
แต่ถ้ายังไปต่อ มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะตายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม…มันยังมีความหวังหลงเหลืออยู่!
ในขณะเดียวกัน ยักษ์ทมิฬกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
พวกเขารู้จักกันอย่างนั้นหรือ?
นี่คือคนจากยมโลกที่ถูกส่งมาต้อนรับเขาอย่างนั้นหรือ?
เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อเกี่ยวกับแหล่งพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวนี้ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ ายคือขั้นฝู่จวิน ตัวตนที่เทียบได้กับท่านอิซานามิของโลกใต้พิภพแห่งญี่ปุ่น! เขายังไม่ได้อยากตายถึงขนาดที่ กล้าท้าทายอำนาจของตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้!
หนี!
โดยไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ เขาจ้องไปที่โนบุทาดะด้วยสายตาเกลียดชัง ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ถือว่าคราว วนี้เจ้าโชคดี…!”
แต่ก่อนที่จะทันได้เอ่ยจบประโขค ร่างของเขาก็ต้องสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เส้นผมและเสื้อผ้าปลิวไปมาอย่างบ้าค คลั่ง และเขายังกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ว่า…ตัวตนที่น่ากลัวนั้นกำลังจ้องมองมาที่ เขา
มันแทบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมองผ่านม่านสีเขียวและจ้องลึกเข้ามาถึงส่วนลึกของจิตใจวิญญาณของเขา
ไม่จำเป็นต้องมีคำบรรยายใด ๆ ในวินาทีนั้น ยักษ์ทมิฬกัดฟันแน่นและรีบวิ่งออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได ด้
แต่ไม่น่าเชื่อ… ขั้นฝู่จวินตนนั้นกลับไม่ได้ไล่ตามเขามาเลยสักนิด
ทุกสิ่งทุกอย่างมืดไปหมด ยักษ์ทมิฬยังคงพยายามหนีโดยเร็วที่สุดจนกระทั่งอยู่ห่างออกมาพันเมตร ก่อนที่เขาจะหยุดล ลงและมองไปด้านหลังด้วยใจที่สั่นเทา
ทั้งหน้าผาและท้องทะเลยังคงอยู่ ณ ที่เดิมของมัน
หากไม่ใช่เพราะว่าหัวใจของเขายังคงเต้นแรงอยู่ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเขาเพิ่งได้เผชิญหน้ากับขั้นฝู่จวิน มา!
“นี่คือแผ่นดินจีน… คือโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใต้พิภพทั้งหมด…” เขายกมือขึ้นเพื่อปาดเหงื่อบนหน น้าผากของตนเอง แต่กลับพบว่ามันยังคงสั่นเทาอย่างรุนแรงจนเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว “ไม่คิดเลยว ว่าจีนจะส่งขั้นฝู่จวินมาประจำการแม้ในจุดที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ของแดนมนุษย์…เราสามารถจินตนาการได้เลยว่านครว วิญญาณในตำนานนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร…ไม่แปลกใจเลยที่ราชทูตที่เราส่งออกไปทั้งหมดมักจะกลับมาพร้อมกับความตื่น ตะลึง…”
ในวินาทีนั้น ยักษ์ทมิฬก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมาแตะที่ไหล่ของเขา
ด้วยความที่ยังคงหวาดระแวงและหวาดกลัวจากการเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ โดยไม่คิดอะไรให้มากความ เขารีบตวัดกรงเล็บขอ องตนไปด้านหลังขณะที่พุ่งตัวออกห่างจาก ‘ผู้โจมตี’ ของตัวเองทันที
ตุบ...
หัวของคาราสุเท็งงุหลุดออกจากบ่าและตกลงกับพื้น ร่างส่วนที่เหลือของมันเดินโซเซไปมาเพื่อคลำหาหัวของตนเองและ ะหยิบมันขึ้นมา “แฮ่ก... เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน?”
“ลีจองซุกอยู่ที่ใด?!!” ดวงตาของยักษ์ทมิฬวาวโรจน์ขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังผู้ที่อยู่ด้านหลัง
“แฮ่ก... ไม่ต้องห่วง ข้าได้ทำให้นางหลับไปครู่หนึ่ง นาง…จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกสักพัก…”
มันเป็นวินาทีนั้นเองที่ยักษ์ทมิฬหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ยกมือ ที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาและมองพวกมันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งเผชิญหน้ากับชั้นฝู่จวินขอ องจีน”
“ยมทูตอย่างนั้นหรือ?!” คาราสุเท็งงุถามกลับด้วยโทนเสียงที่แทบจะสูงขึ้นหนึ่งอ็อกเทฟ
“มันจะต้องใช่แน่ๆ” ยักษ์ทมิฬกัดฟันแน่น “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดหรือว่ายมโลกจะปล่อยให้วิญญาณขั้นฝู่จวินทำตามใจชอบใ ในแดนมนุษย์เช่นนี้?”
“นอกจากนี้…ข้ายังเห็นโอดะโนบุทาดะ…และเขาก็กำลังถือคิคุอิจิมอนจิที่ถูกใช้โดยราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้ นที่ 6 อีกด้วย!”
เงียบ…
“ฮึ่ม… ตระกูลโอดะได้รับความโปรดปรานจากขั้นฝู่จวินเช่นนั้นหรือ?” คาราสุเท็งงุพึมพำออกมาด้วยเสียงแหบพร่าขณะ ะที่เริ่มเชื่อมหัวที่ขาดไปของตนอีกครั้ง
เขาจ้องขึ้นไปยังท้องฟ้า “แต่นั่นไม่สำคัญ ข้าจำได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่แผ่นหินเผยนามที่แท้จริงของจ้าวนรก แห่งยมโลก ข้าเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของลีจองซุกที่ว่ายมโลกของจีนได้ปิดพรมแดนของตนเพราะว่าพวกเขากำลังเผชิ ญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของราชวงศ์ เพราะฉะนั้น มันก็เหลือเรื่องของตระกูลโอดะ และขั้นฝู่จวินที่ปรากฏตัว วขึ้นอย่างกระทันหัน…”
คาราสุเท็งงุหันไปมองที่ยักษ์ทมิฬด้วยสีหน้าสับสน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
ทั้งสองยังคงลอยไปตามท้องถนน ในขณะที่เหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดจะกรีดร้องออกมาและรีบเปิดท ทางให้ ยักษ์ทมิฬเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงดูถูก “เจ้าโง่ ลองคิดดูดี ๆ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด?”
“พวกเรากำลังอยู่ที่ซานตง สถานที่ที่ใกล้กับญี่ปุ่นมากที่สุด!”
“เจ้าได้พิจารณาถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาบ้างหรือไม่? สิ่งแรกที่ผู้สืบทอดบัลลังก์ทุกคนทำก็คือการติดต่อกับประเทศ ศใกล้เคียง! แต่สิ่งแรกที่จ้าวนรกองค์ใหม่ผู้นี้ทำกลับเป็นการสั่งให้ขั้นฝู่จวินมาประจำการที่ดินแดนชายฝั่ง หา ากข้อสันนิษฐานของข้าถูกต้อง…” เขากัดฟันแน่น “ข้าเกรงว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกผู้นี้…อาจกำลังหาโอกาส ที่จะจู่โจมญี่ปุ่น”
“ไม่เช่นนั้น มันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้ขั้นฝู่จวินมาประจำการอยู่ที่นี่ ไหนจะยังตระกูลโอดะอีก! พวกเรามี ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสถานที่ประจำการของยมทูตขั้นฝู่จวินของจีน ขั้นฝู่จวินที่รับผิดชอบมณฑลซานตงและมณฑลเจีย ยงซูนั้นประจำการอยู่ที่เมืองเฟิ่งเทียน ไม่ใช่เมืองชางหลาน!”
คาราสุเท็งงุเงียบไป…
“นอกจากนี้ ตระกูลโอดะยังเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีส่วนร่วมในการแย่งชิงญี่ปุ่นอีกด้วย แน่นอน หากหนึ่ง ในนั้นอยู่ที่นี่ มันก็ยังมาสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ… แต่นี่มันมากเกินกว่าที่จะเป็นแค่ ความบังเอิญ!”
“และมันยังมีการเปิดเผยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่ปรากฏขึ้นบนแผ่นหินอีกด้วย…” เขาหลับตาลง “คาราสุเท ท็งงุ…ข้าคิดว่าข้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
“นี่เจ้าเสียสติไปแล้วอย่างนั้นหรือ?!” คาราสุเท็งงุจ้องมองยักษ์ทมิฬด้วยความเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ยักษ์ทมิฬส่ายหน้า “เทศกาลวันสารทจีนใกล้เข้ามาแล้ว และประตูนรกก็จะถูกเปิดออก ตามธรรมเนียมของชาวจีน วิญญาณ จำนวนมากจะออกมาและเดินเตร็ดเตร่อยู่ในแดนมนุษย์ ดังนั้นตราบใดที่เราพบเจอกับขั้นยมทูตขาวดำ เราก็จะสามารถจั บตัวมันมาได้…และนั่นก็จะช่วยขจัดคำถามทั้งหมดที่มีอยู่ภายในหัว”
“แต่นั่นคือยมทูตของจีนเลยนะ…” คาราสุเท็งงุลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “เราจะสามารถหลบหนีจากพวกเขาได้อย่ างไร?”
“มันเป็นเรื่องดีที่สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับทะเล เราจะปลอดภัยตราบใดที่เราสามารถหลบหนีออกจากน่านน้ำของจีนไปไ ได้ แต่หากลีจองซุกสามารถหลบหนีไปได้…เช่นนั้นเราก็คงติดอยู่ที่อาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้า จับตาดูนางใ ให้ดี ในขณะเดียวกัน ข้าจะส่งข่าวให้ท่านอิซานามิเพื่อให้ท่านมารอรับเราที่นอกน่านน้ำของจีนด้วยตัวเอง”
……………………………………………………..
เรายังมีชีวิตอยู่?
โนบุทาดะหลับตาแน่นจนกระทั่งม้าศึกของเขาลุกขึ้นยืนและส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรงพลัง มันเป็นตอนนั้นเองที่เข ขาลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล
พวกเขาได้พุ่งเข้ามาในรอยแยกที่มีขั้นฝู่จวินปรากฏตัวขึ้น แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกั บตอนที่มันเกิดขึ้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “ท่าน...ปลอดภัยหรือไม่?”
“ข้ายังมีชีวิตอยู่…” จางเจ้อกวงเอ่ยด้วยหัวใจที่สั่นเทา และก็เป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบขึ้นระหว่างวิญญา าณทั้งสอง และจากนั้นพวกเขาก็ค่อย ๆ หันไปมองด้านหลังพร้อมกัน
หมอกหนาทึบได้ปรากฏขึ้น ปิดบังวิสัยทัศน์ของทิศทางที่พวกเขาเพิ่งผ่านเข้ามาอย่างสิ้นเชิง
เสียงร้องคร่ำครวญอันน่าสยดสยองดังก้องไปทั่วทุกที่ ในขณะที่ท้องฟ้าด้านบนถูกปกปิดด้วยกลุ่มเมฆดำ ภาพใบหน้าอันทุ กข์ทรมานของมนุษย์ปรากฏให้เห็นจากก้อนเมฆเป็นครั้งคราว ก่อนจะค่อย ๆ สลายไป ราวกับว่าพวกเขาถูกลากกลับเข้าไปยังห ห้วงแห่งความสิ้นหวัง กระแสลมรุนแรงพัดผ่านหน้าผ่าริมทะเล ส่งผ่านความระสึกเย็นยะเยือกแล่นไปตามกระดูกสันหลังของว วิญญาณทั้งสอง
ใช่แล้ว… ตุลาการนรกตนนั้นจากไปแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าให้ต้องเผชิญ…
เต้ง~!
ทันใดนั้น เสียงของฆ้องก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากในกลุ่มเมฆ ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงของปี่โหวและระฆังฉลอง ภายในเสี ยววินาทีต่อมา กลุ่มเมฆทะมึนก็แยกออกจากกันราวกับทะเลแดง และร่าง 32 ร่างก็ปรากฏขึ้น โดยที่แบกเกี้ยวขนาดใหญ ญ่ไว้บนบ่า
มันคือขบวนของคนกระดาษ และทั้งหมดก็ถูกจัดในลักษณะของผู้หญิง พร้อมด้วยทรงผมที่ได้รับความนิยมจากสมัยราชวงศ์ ซ่ง บางตัวถือฆ้องอยู่ในมือ บางตัวถือระฆัง ในขณะที่ตัวอื่น ๆ เป่าปี่โหวพร้อมกับลอยออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆ
เต้ง เต้ง…!
คนกระดาษกระจายตัวกันออกไปโดยรอบ ภายในไม่กี่วินาที หน้าผาอันเงียบสงบก็กลายเป็นสถานที่ต้อนรับการมาถึงของขบวน คนกระดาษนั้น โนบุทาดะลอบกลืนน้ำลายอย่างร้อนใจขณะที่เขาดึงร่างของจางเจ้อกวงไปอยู่ด้านหลัง กระชับมือที่ถื อคิคุอิจิมอนจิแน่นและจ้องเขม็งไปยังผู้ที่เพิ่งมาถึง
อีกฝ่ายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่เขากลับไม่สามารถสัมผัสถึงพลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของตุ๊กตากระดาษพวกนี้ได้ เลยสักนิด แต่ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของเขากลับรู้สึกตึงเครียดขึ้นอย่างไม่สามารถห้ามได้ 30 เมตร... 20 เมตร... เส้ นประสาทของเขาตึงจนแทบจะเหมือนกับคันธนูที่พร้อมจะปล่อยไม่มีผิด!
หนี! ออกไปจากที่นี่เดียวนี้! ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือปีศาจ!!!
ความหวาดกลัวพุ่งพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ ส่งผลให้ทั้งสองตัวสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ และมันก็เป็น นวินาทีนั้นเองที่ขบวนประหลาดตรงหน้าหยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากพวกเขาออกไป 10 เมตร
ตู้ม!!
โดยปราศจากซึ่งคำเตือนใด ๆ คลื่นพลังหยินที่รุนแรงก็กดทับลงมาบนร่างของพวกเขา ภายในหัวของวิญญาณทั้งสองว่างเ เปล่า และทั้งคู่ก็ต้องคุกเข่าลงอย่างไม่สามารถห้ามได้
ช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้… นี่มันอะไรกัน?!
มันเป็นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าท่านจ้าวฉินและท่านอรากษสรวมกัน… นี่คือวิญญาณร้ายอย่างนั้นหรือ? ใน นแดนมนุษย์มีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ปรากฏอยู่ได้อย่างไร?
“พวกเจ้าเป็นใคร?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นตัดผ่านความเงียบที่ตึงเครียด
พรึ่บ…
แต่ละคำที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยพลังและอำนาจจนโนบุทาดะสามารถสัมผัสได้ว่าลูกไฟวิญญาณของเขาวูบไหวอย่าง งรุนแรง แทบจะเหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะดับลงทุกเมื่อ พลังหยินที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่หนาแน่นจนแทบจะก่อตัวเป็นร รูปของแท่งเหล็ก ในขณะที่เสียงร้องคร่ำครวญของวิญญาณก็ยังคงดังก้องไปในความมืดมิด โนบุทาดะกัดฟันแน่และรวบรวม มพลังทั้งหมดเพื่อเอ่ยตอบออกไป “กองพันทหารที่หนึ่งแห่งยมโลก พันตรีโอดะ โนบุทาดะ…”
“ชาวญี่ปุ่น?” เสียงที่ดังมาจากในเกี้ยวเจือไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคือผู้ส่งสารที่ถูกส่งมาโดยจ้าวนรก กองค์ที่สามแห่งยมโลกอย่างนั้นหรือ?”
โนบุทาดะกำลังจะตอบออกไปแต่ก็ถูกจางเจ้อกวงดึงเสื้อของเขาเอาไว้และเป็นฝ่ายตอบออกมาแทน “ใช่แล้วนายท่าน”
เงียบ…
ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงจากภายในเกี้ยวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “และเจ้าคือ?”
“รัฐมนตรีกรมทรัพยากรวิญญาณ จางเจ้อกวง” จางเจ้อกวงต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดของพวกเขาในการตอบออกไปภายใต้พลัง หยินที่กดทับลงมาที่ตน แม้แต่พลังหยินภายในร่างของเขาก็เริ่มรั่วไหลออกมาจากรูขุมขนบนร่าง
ปีศาจ… ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาทำให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเกาะกุมไปทั่วทั้งจิตใจ
“ฮ่า ๆๆ…!!” เจ้าของเสียงภายในเกี้ยวหัวเราะออกมา ในขณะเดียวกัน เสียงกรอบแกรบที่น่าขนลุกก็ดังขึ้นให้ได้ยินจาก ด้านในของเกี้ยว แทบจะเหมือนกับว่ามีหนอนจำนวนมากกำลังคลานไปมาอยู่ภายในด้วยความตื่นเต้น “จ้าวนรกองค์ที่สามของ ยมโลกผู้นี้ช่างระวังตัวเสียจริง…เป็นอย่างที่ข้าคิด หายนะบางอย่างคงจะเกิดขึ้นกับยมโลกเป็นแน่ ไม่เช่นนั้น เ เหตุใดยมโลกจึงส่งเบี้ยล่างอย่างพวกเจ้ามาหาข้าด้วย? หากเป็นยมโลกแห่งเก่า พวกเขาคงจะส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งมาทั นที…”
“ข้ายังจำภาพความรุ่งโรจน์ของยมโลกแห่งเก่าได้เป็นอย่างดี ในตอนนี้ แม้แต่วิญญาณร้ายขั้นพระยมก็ยังถูกจัดกา ารโดยไม่แม้แต่จะมีการเจรจาต่อรองเลยทั้งสิ้น…หึหึ…แต่ละรุ่นนั้นย่ำแย่กว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างแท้จริง…”
จางเจ้อกวงก้มหน้าลงและกัดฟันแน่นขณะที่ความคิดมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัว
ในฐานะอดีตผู้ว่าราชการมณฑลในแดนมนุษย์ เขาย่อมเคยประสบกับการเจรจาเช่นนี้มาก่อน และเขาก็รู้ดีว่ามันเป็นห หน้าที่ของเขาที่จะต้องทำตัวให้สมกับการที่เป็นรัฐมนตรีกรมทรัพยากรวิญญาณ ดังนั้น หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เข ขาก็รวบรวมความคิดทั้งหมดและเอ่ยว่า “ด้วยความเคารพนายท่าน หากจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด”
“ในความเป็นจริงแล้ว ยมโลกในเวลานี้ได้แผ่ขยายอำนาจไปในหลายส่วน ๆ และในกระบวนการดังกล่าว เราได้เอาชนะกลุ่มพันธ ธมิตรแห่งความมืด และเข้ายึดครองฐานปฏิบัติการหลังของขงโม่ หากพวกเราไม่ทำเช่นนั้น ท่านคงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงน นี้ได้ ข้าไม่แน่ใจว่าท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับพระราชวังแห่งการสะท้อนเงามาบ้างหรือไม่?”
โนบุทาดะก้มหน้าลงและเหลือบมองไปยังจางเจ้อกวงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่ารัฐมนตรีที่ดูอ่อนแอผู้นี้จ จะสามารถพูดพลิกสถานการณ์ให้หวนกลับมาทางตนได้!
“พระราชวังแห่งการสะท้อนเงา?” เสียงที่ดังออกมาจากภายในเกี้ยวเริ่มเคร่งขรึมขึ้น “มันสะท้อนภาพของสถานที่ใด?”
จางเจ้อกวงสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน แทบจะเหมือนกับว่าเทพแห่งความตายกำลังลูบไล้ไปตามดวงวิญญาณของเข ขา มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง! แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังข่มกลั้นอารมณ์ความรู้สึกพวกนั้น และเอ่ยตอบออกไป “ด่านแรกของกำแพงเมืองจีน ด่านซานไห่”
ด่านซานไห่!
ภายในเกี้ยว ดวงตาของราชาผีแห่งพิภพอสูรหรี่ลงทันที
ด่านซานไห่…พระราชวังแห่งการสะท้อนเงาที่จำลองด่านซานไห่ขึ้นมา… ยมโลกสามารถบุกทะลวงการป้องกันของมันได้อ อย่างนั้นหรือ?!
การเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของราชวงศ์ไม่ได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของกองกำลังของยมโลกเลยหรือ?