ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 485: คำเตือน
บทที่ 485: คำเตือน
เป็นไปไม่ได้!
ราชาผีแห่งพิภพอสูรรีบปฏิเสธความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองทันที
การล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกทำให้เมืองเฟิงตูถูกปิดตาย และหากไม่ใช่ผู้ที่เคยเป็นยมทูต พวกเขาจะไม่มีทางกลับเ เข้าไปในนั้นได้อีก ราชาผีแห่งพิภพอสูรไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการสอบถาม
แต่มันก็ยังเหลือข้อเท็จจริงที่ว่าบนแดนมนุษย์ไม่มียมทูตปรากฏตัวให้เห็นอีกต่อไปหลังจากการล่มสลายของยมโลก!
นี่หมายความว่ายมโลกไม่มียมทูตเพียงพออีกต่อไป อย่างน้อยที่สุด…นี่ก็เป็นข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ที่ราชาผีทั้งส สามคิดขึ้นมาได้ แต่หากมันไม่เป็นเช่นนั้น…
กึก…
ราชาผีกระชับมือที่จับรอบราวจับแน่น และจิกเล็บเข้าในด้านใน หากมันไม่เป็นเช่นนั้น… มันไม่ได้หมายความว่าเ เขากำลังขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ?!
หากพูดกันตามความจริง… พวกเขาทั้งสามกำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่…
บางทียมโลกอาจจะไม่มีเวลาที่จะให้ความสนใจพวกเราก็เป็นได้ แต่หากมันเป็นเช่นนั้น แล้วยมโลกกำลังยุ่งอยู่กับสิ่ งใดกัน?… การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยราชวงศ์? ใช่แล้ว! ยมโลกจะต้องยุ่งอยู่กับการส่งต่อเรื่องทั้งหมดให้กับจ้าว นรกองค์ที่สามเป็นแน่!
ในขณะเดียวกัน ราวกับสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนภายในใจของราชาผี จางเจ้อกวงก็รีบเอ่ยต่อ “ด่านซานไห่ตั้งอยู่ในเ เมืองหวู่หยาง มีประชากรวิญญาณกว่า 20 ล้านตนอาศัยอยู่ และก็ได้รับการป้องกันโดยทหารวิญญาณกว่าล้านนายและตัวท ท่านตี้ทิงเอง แน่นอนว่ามันอาจมีกองกำลังกบฏปรากฏขึ้นในยมโลกบ้าง แต่สถานการณ์ในยมโลกนั้นห่างจากคำว่ายุ่งเห หยิงที่ท่านจินตนาการเป็นอย่างมาก”
กึก!
เล็บมือของราชาผีแห่งพิภพอสูรจิกลึกลงไปในราวจับ ดวงวิญญาณของเขาเกิดความปั่นป่วนอย่างมาก
ท่านตี้ทิง…แค่เพียงเอ่ยถึงชื่อนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลทันที แต่น่าเสียดาย…เขาจะสามารถหลบหน นีไปที่ใดได้?
กลับไปที่มณฑลทางตะวันออกอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นที่นั่น เขาจะต้องถูกประกบด้วยเมืองเยียนจิงและเมืองเทียนจิน และยังต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังของหลิวอ อวี้จากโลกใต้พิภพแห่งฮันยางอีกด้วย แต่ถ้าเขายังคงอยู่ที่ซานตง เขาก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับตี้ทง เห็นได้ชัดเ เลยว่าเกล็ดที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้นั้นเป็นคำเตือนที่อีกฝ่ายส่งมา เขาควรจะทำอย่างไรกันแน่?
คนพวกนี้กำลังพูดความจริงหรือไม่?
ภายในใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด เขาได้หลบหนีมาตลอดร้อยปี เพียงเพื่อที่จะเก่งกล้าขึ้นในช่วงปลายของการหลบหนีในป ปีที่ 100 แต่การเผชิญหน้ากับยมทูตตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของเขากลับไปอยู่ในจุดที่มันเคยเป็นมา การปรากฏตัวของ งอีกฝ่ายได้ดึงความหวาดกลัวที่มีต่อยมโลกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขาออกมา
มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย มันคือความรู้สึกของความกลัวและความเคารพต่ออำนาจที่เรียกว่ายมโลก แต่ถึงกระนั้น. …เขาก็ยังไม่เชื่อมันทั้งหมด
ต่อให้จ้าวนรกองค์ถัดไปของยมโลกมาที่นี่ด้วยตนเอง เขาก็ยังไม่เชื่อ!
เพราะคำกล่าวอ้างพวกนี้เป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น ต้องได้เห็นด้วยตาเท่านั้นเขาถึงจะเชื่อ!
ราชาผีสูดหายใจเข้าช้าและหลับตาลง “นำตัวไป”
…………………………………………….
กลับมาที่แดนมนุษย์ ฉินเย่ลืมตาขึ้นในฉับพลัน
วันนี้มีการประชุมทางวิดีโอที่ขั้นตุลาการนรกทุกคนจะต้องเข้าร่วม เขานิ่งอยู่ภายในห้องประชุมของหน่วยสอบสวนพิเศ ศษ กำลังฟังการประชุมระหว่างอู๋เหวินชิ่งและคนอื่น ๆ พร้อมกัน แน่นอนว่าเขามีสมุดวางไว้ตรงหน้าไว้สำหรับการแสดง ของตนเอง
อู๋เหวินชิ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ และเขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงถามออกไป “คุณฉิน เป็น อะไรหรือเปล่าครับ?”
แต่ฉินเย่กลับเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา โชคดีที่มันเป็นเวลาพักพอดี เด็กหนุ่มรีบเดินออกไปจากห้องประชุมและตรงไปที่ ห้องน้ำทันที
ด้านในห้องน้ำมีห้องแยกอยู่ทั้งสิ้นหกห้อง และมันก็ว่างอยู่เพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้นให้เขาได้ใช้ ฉินเย่เดิ นตรงเข้าไปยังห้องด้านในสุดและปิดผนึกสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยพลังหยินที่ได้รับการปกปิดของเขา หลังจากนั้น เขา ก็หยิบเศษตราจ้าวนรกออกมา
ครืนนน... เ
ศษตราจ้าวนรกสั่นไปมาอย่างรุนแรงทันทีที่เขาสัมผัสมัน และเขาก็จ้องมองการตอบสนองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของมั นอย่างไม่ละสายตา
เศษตราสีใสในมือของเขามีอยู่หลากหลายด้าน และแต่ละด้านของมันก็เผยให้เห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป แต่ก่อนที่เ เขาจะทันได้สังเกตอย่างละเอียด ภาพที่เขากำลังมองอยู่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับพวกมันไม่เคยปรากฏมาก่อน
แต่เขารู้ดี ในวินาทีนั้น เขาเห็นภาพของอสูรสองตนถูกล้อมสอบสวนโดยวิญญาณร้ายจำนวนมาก เขาสามารถบอกได้ว่าวิ ญญาณร้ายเหล่านั้นไม่ใช่วิญญาณดี แค่เป็นวิญญาณที่มาจากตำนานที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น โจโรกุ โมะ ภูตหิมะ นูราริเฮียง อิบารากิโดจิ ยามาอุบะ ภูตผีเส้นผม และอื่น ๆ อีกมากมาย วิญญาณทั้งหมดดูเหมือนจะมารวม มตัวกันในกระแสน้ำวนพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัว บุกเข้ามาในแดนมนุษย์และทิ้งรอยเลือดและความพินาศเอาไว้ให้เห็นใ ในจุดที่พวกมันเคลื่อนตัวผ่าน
“ขบวนร้อยอสูรอย่างนั้นหรือ?” เขาจ้องมองไปยังภาพดังกล่าวด้วยความเหลือเชื่อขณะที่พึมพำกับตัวเอง “แผ่นดินจีนถู กบุกรุกจากกองกำลังต่างชาติอย่างนั้นหรือ? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้! แค่การส่งขั้นยมทูตขาวดำให้ลอบเข้ามาในจีนก็ ต้องลงทุนไปมากพอแล้ว การโจมตีที่ทรงพลังเช่นนั้น…มันน่าจะทรงพลังยิ่งกว่าตัวของอาร์ทิสเองเสียอีก นี่จะต้อ องทรงพลังพอ ๆ กับตัวละครหมอผีระดับสูงอย่าง Ner’zhul เป็นแน่ [1]… ไม่ใช่นี่คือหนึ่งในกลุ่มวิญญาณร้ายที่แข็งแก กร่งที่สุดของโลกใต้พิภพของญี่ปุ่นอย่างนั้นหรือ?”
เขาเพ่งมองไปที่ชิ้นส่วนเศษตราในมือก่อนจะขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม “นั่นไม่ถูกต้อง เรากำลังพูดถึงขบวนร้อยอสูร ในแดนมนุษย์… เศษตราชิ้นนี้จะต้องฉายภาพจากการ์ตูนสยองขวัญให้เราเห็นแน่ ๆ…ใช่ไหม? ไม่เช่นนั้นมันจะสามารถ อธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ว่าอย่างไรกัน?”
เขาส่ายหน้าไปมาละหมุนไปดูด้านอื่นของเศษตรา และในวินาทีนั้น เขาก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เม็ดเหงื่อเย็น ผุดขึ้นบนหน้าผาก
มันคือภาพของลีจองซุก หรือที่รู้จักในชื่อของเซี่ยจิ่นเส้อ กำลังจ่อลำกล้องปืนไปที่ศีรษะของตนเองและลั่นไก อย่างไม่ลังเล!
เป็นไปได้อย่างไร?!
ฉินเย่ลุกยืนขึ้นขณะที่มองเศษตราจ้าวนรกในมือของตนเอง…นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!
เขาเปลี่ยนไปดูภาพถัดไปที่ปรากฏบนเศษตรา ครั้งนี้ มันเป็นภาพของตัวเขาที่กำลังเดินไปตามถนนที่พลุกพล่าน ราย ยล้อมด้วยแสงไฟที่สว่างไสว มันมีร่าง ๆ หนึ่งเดินไปข้าง ๆ เขาซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาคือชายที่แต่งกายเหมือนกับข้าราขสำนักสมัยราชวงศ์ซ่ง พร้อมกับจุดสีแดงสองจุดภายในดวงตา อีกฝ่ายดูน่านับถื อเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่ฉินเย่กลับตัวสั่นด้วยความกลัวอย่างห้ามไม่ได้
ความรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ดูเหมือนจะฉีกกระชากสติของเขาผ่านภาพที่ฉายขึ้นมาจากเศษตราจ้าวนรก เพ พราะมันดูราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังโน้มหน้าลงมาข้างหัวไหล่ของเขาอย่างน่าขนลุก และเขาก็ไม่รู้ตัวเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริงนั้นเลยแม้แต่น้อย!
จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนไปดูด้านถัดไปของเศษตราจ้าวนรก ใครบางคนที่อยู่ห้องถัดไปก็เคาะที่ผนังห้องอย่ างกระทันหัน
“มีอะไร?” ฉินเย่รีบเก็บเศษตราจ้าวนรกกลับเข้าไปในเสื้อและสบถออกมาขณะที่คลายผนึกจากพลังหยินของตน
“พี่ชาย…ขอโทษที่รบกวน แต่ห้องของพี่…พอจะมีกระดาษชำระเหลืออยู่บ้างไหม?” ชายที่อยู่ห้องถัดไปเอ่ยด้วยน้ำเส สียงอาย ๆ ฉินเย่กลอกตาและส่งซองกระดาษทิชชู่ให้กับอีกฝ่ายผ่านช่องว่างใต้ผนัง
นี่มันคนแบบไหนกัน?!
จากนั้น ฉินเย่ก็รีบนั่งลงบนชักโครกและขมวดคิ้วยุ่ง ครุ่นคิดเกี่ยวกับภาพที่เพิ่งได้เห็น
เด็กหนุ่มพลันรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้กับภาพตรงหน้า มันแทบจะเหมือนกับว่า…ภาพที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อ ครู่คือเหตุการณ์ที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
เซี่ยจิ่นเส้อกำลังจะตาย?
แผ่นดินจีนจะถูกจู่โจมโดยผู้บุกรุกจากต่างชาติ?
และตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่กำลังติดตามเขาอยู่คือใคร?
เขาส่ายหน้าไปมาด้วยความสับสนขณะที่เปิดประตูห้องและก้าวออกไป
สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าภายในห้องอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เขาที่ยังคงลงกลอนอยู่จนถึงตอนนี้แท้จริ งแล้วถูกจับจองโดยเหล่าชายในชุดสูทสีดำ พวกเขาไม่ได้ใช้มันเลยสักนิด กลับกัน เช่นเดียวกับฉินเย่ พวกเขาเพียง นั่งอยู่บนฝาชักโครก จ้องมองไปยังหน้าจอแล็ปท็อปบางเฉียบที่เปิดอยู่ของตนเองอย่างเงียบๆ
ทันทีที่ฉินเย่เดินออกไป นิ้วมือของพวกเขาก็ขยับไปมา พิมพ์คีย์บอร์ดตรงหน้าอย่างไร้เสียง
อินเทอร์เฟซบนหน้าจอแสดงให้เห็นถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับแชท แต่มันกลับไม่ใช่ทั้งแอปสังหารหรือโม่โม่ ภายในกลุ่มแ แชทมีคนอยู่ทั้งสิ้นสิบกว่าคนเท่านั้น โดยแต่ละคนจะใช้ชื่อเป็นตัวอักษร ตั้งแต่ ‘A’ ไปจนถึง ‘H’ รวมถึงโจวเซียนหล ลง โม่ฉางห่าว และบัญชีของหัวหน้าใหญ่ซึ่งยังเป็นผู้ดูแลกลุ่มอีกด้วย
“เขาไปแล้วครับ” — A
“ตรวจจับได้ถึงความแปรปรวนของพลังปราณ เขาไม่ได้ใช้ห้องน้ำ แต่เขาเพียงปิดผนึกห้องไว้ด้วยพลังปราณของตัวเอง น น่าเสียดายที่เราไม่กล้ามองทะลุอาณาเขตป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นโดยขั้นตุลาการนรกด้วยกลัวว่าจะทำให้เขารู้ตัว” — C
“ภาพจากกล้องไม่เผยให้เห็นสิ่งผิดปกติครับ เขาระวังตัวเป็นอย่างมาก มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แน่ ๆ ผมขอกระดาษทิชชู่จากเขา แต่เสียงที่ตอบกลับมาของเขากลับฟังดูหงุดหงิดพอสมควร ท่าทีแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คน ๆ หนึ่งถูกขัดจังหวะในขณะที่เขากำลังจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง นอกจากนี้ มันยังเห็นได้ชัดจากกล้องของ เราว่าไม่มีใครสัมผัสและแตะต้องเขาเลยแม้แต่คนเดียวในตอนที่อยู่ในห้องประชุม และเขาก็ไม่ได้รับการแจ้งเตือนใด ด ๆ จากโทรศัพท์อีกด้วย หากจะพูดอีกนับหนึ่งก็คือ ผมสงสัยว่าเขาอาจจะมีวิธีการอื่นสำหรับการสื่อสาร อย่างเช่นก การส่งกระแสจิต” — B
“ทำดีมาก” โจวเซียนหลงแทรกขึ้นมาในที่สุด
“แต่จงจำไว้ว่าจนถึงตอนนี้…เขายังไม่เคยทำสิ่งใดที่ขัดกับผลประโยชน์ของมนุษย์เลย ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวอ อาจจะเป็นการตายของหลี่จีสี่ หากเป็นไปได้ ผมอยากจะให้พวกคุณรักษาระยะห่างและละเว้นจากการใช้มาตรการการรุนแรง สิ่งที่เราต้องการตอนนี้ก็คือโอกาส หัวหน้า…คุณมีอะไรจะเสริมไหมครับ?” — โจวเซียนหลง
ไม่กี่วินาทีต่อมา คำ ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในกลุ่มแชท “ไม่”
นี่ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อหน่วยงานพิเศษต้องการจะทำการสอบสวน พวกเขาสามารถทำมันได้ด้วยความลับและการปกป ปิดอย่างสูงสุด แม้แต่ฉินเย่ก็ไม่สามารถเทียบได้เลยกับเหล่ามืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีพวกนี้
แน่นอน ฉินเย่ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขามุ่งหน้าตรงไปที่ลิมโบ ตี้ทิงที่สามารถสัมผัส ได้จากไกล ๆ ว่าเด็กหนุ่มกำลังเดินทางมาหาตน จึงรีบดีดนิ้วและทำให้โชคชะตา รวมถึงคำที่ถูกเขียนอยู่กลางอากาศห หายวับไปในทันที
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” ตี้ทิงมองฉินเย่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้นำถุงกัญชาแมวมาด้วย จากนั้น มันก็หันหน้าหน นีและปล่อยให้ฉินเย่พูดกับก้นของมันแทน
…วัตถุนิยมชะมัด บางครั้ง เขาก็อยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมตัวเองถึงตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าของตี้ทิง ฉินเย่กลอกตาใส ส่ตี้ทิง ก่อนจะถูมือด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง “คืออย่างนี้… เศษตราจ้าวนรกได้ฉายภาพมากมายให้ข้าเห็นก่อนหน้า านี้ ท่านพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”
ตี้ทิงอดไม่ได้ที่จะชมตัวเองที่กลับหลังหันเมื่อครู่
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว แต่มันก็ยัง งสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนได้ยุ่งเกี่ยวกับโชคชะตา และจึงเผยให้เห็นความสงสัยของมันต่อผู้เป็นเจ้าของ? ไม่…นี่ อาจจะไม่เกี่ยวกับความสงสัยเลยสักนิด บางทีมันอาจจะแค่เตือนผู้เป็นเจ้าของถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น… แต่นั่นก็ สมแล้วที่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของยมโลก…
มันขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบในท้ายที่สุด “ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้?” ฉินเย่เลิ่กคิ้วขึ้นและมองไปที่อีกฝ่าย ด้วยเหตุผลบางประการ บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่ามันมีความผิดปกติ เกี่ยวกับคำตอบของตี้ทิง
“ข้าไม่ได้รอบรู้ทุกอย่าง และก็ไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนี้ ตราจ้าวนรกเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าไม่เคยใช้มาก่อน น ในประวัติศาสตร์ มีเพียงจ้าวนรกเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้กับของชิ้นนี้ แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่า าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่?”
ฉินเย่เงียบไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพอันน่ากลัวที่ตัวเองเพิ่งเห็น และเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับข้อเท็จจ จริงที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
“มีอะไรอีกหรือไม่?”
ความสงสัยของฉินเย่รุนแรงขึ้น มันรู้สึกราวกับว่าตี้ทิง…ไม่ต้องการให้เขาอยู่ที่นี่เลยสักนิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉินเย่ได้พัฒนาความสามารถในการจับสังเกตอารมณ์ของมนุษย์จนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ฉินเย่กุมขมับ “เทศกาลวันสารทจีนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และยมโลกก็จะจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใ ใหญ่ขึ้น ดังนั้น…มันจึงมีบางอย่างที่ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
เทศกาลวันสารทจีน…
รูม่านตาของตี้ทิงหดเล็กลง
วงล้อแห่งโชคชะตาได้เริ่มหมุนอย่างเต็มกำลังแล้วอย่างนั้นหรือ?
มันคิดไม่ออกเลยว่าโชคชะตาจะสามารถเปลี่ยนฉินเย่ให้เป็นจ้าวนรกที่มีความเหมาะสมได้อย่างไรภายในระยะเวลาเพียงแค่ สิบกว่าวัน
ความตาย?
เป็นไปไม่ได้ จากที่เขารู้มา ผู้ใดก็ตามที่ได้ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะสามารถปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในส่วนใดก็ไ ได้ของจีนทันทีที่พวกเขาตายไป มันยังเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ง่ายหากผู้ที่ตายคือลีจองซุก เพราะไม่ว่าอ อย่างไร แดฮันก็มีประชากรอยู่เพียง 50 ล้านกว่าคนเท่านั้น แต่การตายของฉินเย่นั้นทำให้พวกเขาต้องหาอีกฝ่ายในห หมู่คน 1.5 พันล้านคน! นั่นจะเป็นเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร!
ดังนั้น ตี้ทิงจึงมุ่งไปที่ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งก็คือการเปลี่ยนใจ
แต่มันเพียงแค่สิบกว่าวันเท่านั้น… มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งเปลี่ยนใจภายในระยะเวลาเพียงแค่ส สิบวัน?
แม้ว่าฉินเย่จะขอเวลาอีกหนึ่งปีเพราะว่ารู้ดีว่าตัวเองจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการจัดการกับปัญหาทั้งหมดเพื่อเปลี ยนไปรับหน้าที่ในยมโลก แต่นี่มันแค่สิบวันเท่านั้น! โชคชะตาจะสามารถทำมันได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น มันจะมีคนอีกมากมายเพียงใดที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้?
[1] อ้างอิงจาก Warcraft 3