ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 49 ดินแดนต้องห้าม
บทที่ 49 ดินแดนต้องห้าม
เขาบ้าไปแล้ว…
ฉินเย่จ้องมองไวน์ในแก้วนิ่ง ตอนนี้สัญญาณเตือนภัยของเขาพุ่งทะลุ 120 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว!
บ้า…คนตรงหน้าเสียสติไปแล้ว เป็นคนบ้าที่ฉลาดมากด้วย…
เวลานี้ คำพูดของอาร์ทิสดังก้องอยู่ภายในหูของเขา ยมทูตทุกคนคือดวงวิญญาณหยินของยมโลกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบของนรก และตอนนี้กฎระเบียบดังกล่าวได้พังทลายลง ยมทูตพวกนี้…จึงกลายเป็นวิญญาณที่น่ากลัวกว่าภูตผีทั่วไปหลายสิบหรืออาจจะร้อยเท่า!
ยกตัวอย่างเช่นเชาโยวเต๋าเป็นต้น
“หากจะให้ข้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ท่านเป็นเพียงนักล่าวิญญาณ และข้าเองก็อยู่แค่ระดับยมเทพ นอกจากนี้ข้าเองก็ได้เห็นเหล่าผู้ฝึกตน ในแดนมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือกว่าระดับนักล่าวิญญาณของยมโลกมามาก” ฉินเย่เลือกใช้คำอย่างชาญฉลาดเมื่อเอ่ยออกไป
เชาโยวเต๋าหัวเราะ
เขาหัวเราะอย่างสำราญ วางมือที่ขาวซีดและเย็นชืดของตัวเองลงบนแขนของฉินเย่ “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่ามีเพียงเราสองเท่านั้นที่สามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างแท้จริงในโลกนี้”
“ผู้ฝึกตนพวกนั้นจะอยู่ระดับยมทูตขาวดำ หรือแม้แต่ตุลาการนรกแล้วอย่างไร?”
เขาตบแขนของฉินเย่เบา ๆ “มีเพียงแค่ผู้ที่เป็นยมทูตเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นยมทูตอีกตนได้”
“หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ…ต่อให้ข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าของพวกเขา ไม่มีทางที่มนุษย์พวกนั้นจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าได้”
“พวกเรานั้นแตกต่างจากพวกชั้นต่ำที่เจ้าเห็นด้านล่างนั่น”
ฉินเย่มองลงไปและยิ้มตอบกลับบาง ๆ “แต่ทางรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าในการปราบปรามภูตผีพวกนี้ทันทีที่พวกเขาตรวจเจอ ตราบใดที่พวกเขาใช้กำลังคนและเครื่องมือในปริมาณที่เหมาะสม พวกเขาก็จะสามารถกำจัดภูตผีพวกนั้นได้ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว…”
ทว่าก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยจบ เขาก็ถูกขัดขึ้นโดยการดีดนิ้วของเชาโยวเต๋า “ไม่ เจ้าเด็กใหม่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไปสินะ”
แววตาของเขาดูล้ำลึกและน่าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเจือไปด้วยการบีบบังคับ “เจ้าลืมไปว่า…มันยังมีดวงวิญญาณหยินอีกหลายล้านดวงที่ยืนอยู่หลังพวกเรา! และมันก็มีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกพัดพามาที่โลกมนุษย์ เพราะการล่มสลายของนรก!”
“ตราบใดที่พวกเราคอยชี้นำวิญญาณพวกนี้ไปในเส้นทางที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะกลายเป็นวิญญาณที่มีจิตมุ่งร้าย หรือแม้กระทั่งวิญญาณอาฆาต เจ้าคิดว่าหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติมีจำนวนคนอยู่มากเพียงใดกัน? แล้วคิดจริง ๆ หรือว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับการระบาดพวกนี้ได้?”
“ดวงวิญญาณหยินทั้งหมด จะมารวมตัวกันที่เมืองเป่าอันทันทีที่พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยมทูต และตอนนี้พวกเราอาจจะอยู่ระดับล่างของการลำดับขั้นของยมทูต แต่เมื่อพวกเราเลื่อนเป็นระดับตุลาการนรก หรืออาจจะฝู่จวิน….”
ร่างกายของชายสูงวัยเริ่มสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น “ดวงวิญญาณหยินที่อยู่โดยรอบทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่นี่ เจ้าลองคิดดู เมื่อดวงวิญญาณหยินนับหมื่นล้านดวงมาอยู่รวมกันที่นี่ ต่อให้พวกมันจะไม่ใช่วิญญาณอาฆาต แต่สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับมนุษย์!”
เขาสบตากับฉินเย่อีกครั้ง “หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เมื่อถึงเวลานั้น…ที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของเราอีกครั้ง”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด
คนบ้าธรรมดาทั่วไปนั้นไม่ได้น่ากลัวนัก
แต่คนที่น่ากลัวอย่างแท้จริงก็คือพวกบ้าที่ฉลาดและมีหัวคิด
และชายตรงหน้าของเขาผู้นี้ก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเสียสติไปแล้ว!
ฉินเย่เข้าใจความนัยทั้งหมดที่ถูกซ่อนอยู่ในคำพูดของเชาโยวเต๋า แม้ว่าเขาจะพูดจาคลุมเครือและไม่ชัดเจนนัก แต่ความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายนั้นโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เชาโยวเต๋า…กำลังพยายามที่จะสร้างนรกขึ้นมาใหม่!
และหากเขายังปล่อยให้มันเป็นเหมือนที่เคยเป็นมา แผนของคนตรงหน้าก็จะสำเร็จในที่สุด! สิ่งเดียวที่เชาโยวเต๋าต้องการก็คือเวลา แต่ชื่อของพวกเขาถูกตัดออกจากสมุดแห่งความเป็นตายไปแล้ว แล้วแบบนี้เวลายังจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องกังวลอยู่อีกหรือ?
ความเงียบของฉินเย่ในสายตาของเชาโยวเต๋านั้น ถือว่าเป็นวินาทีแห่งการไตร่ตรอง เขาลุกขึ้นและเคาะนิ้วลงบนผนังกระจกเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “ไม่ใช่แค่ตัวข้าเท่านั้น แต่เวลานี้ ภูตผีทุกตนที่รอดมาจากการล่มสลายของนรกต่างก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน”
“เจ้าไม่ได้รับการแต่งตั้งมานานแค่ไหนแล้ว? หนึ่งศตวรรษ? เจ้าคงจะเผชิญหน้ากับการล่มสลายของนรกก่อนที่ชื่อของเจ้าจะถูกลงทะเบียนในบันทึกของนรกเสียอีก และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงไม่ถูกพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์พาไปที่สวรรค์ เมื่อไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ มันจึงทำให้เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสังคมสมัยใหม่เลยสักนิด”
นิ้วมือของชายวัยกลางคนกดลงที่ปุ่ม ๆ หนึ่ง ทันใดนั้น คลื่นแสงบางอย่างสว่างขึ้นและฉายเป็นภาพแผนที่มุมสูงของมณฑลอันฮุ่ยทั้งหมด
เมืองเป่าอันคือจุดสีแดงที่ใหญ่ที่สุดบนแผนที่ นอกเหนือจากนั้นมันยังมีจุดสีแดงอีกสี่จุดที่กระจายไปตามที่ต่าง ๆ แม้ว่าจุดแดงอื่น ๆ จะปรากฏมากขึ้นเรื่อย แต่อัตราการขยายตัวของมันก็ช้ากว่าเมืองเป่าอันมาก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดแดงพวกนี้คืออะไร?” เชาโยวเต๋ามองฉินเย่ด้วยสายตานิ่งสงบขณะที่พยายามลดการป้องกันของอีกฝ่ายลงอย่างช้าๆ “มันคือเขตไล่ล่า”
“ตลอดร้อยปีที่นรกได้ล่มสลายไป ข้าเดินทางไปทั่วตะวันออกเฉียงใต้ของจีนและพบว่าทุกมนฑลและนครต่าง ๆ ล้วนพัฒนาเหมือน ๆ กัน ดวงวิญญาณที่โชคดีพอและสามารถรอดชีวิตมาได้ต่างเริ่มสร้างอาณาเขตของตนเอง มันเรียกว่าเขตไล่ล่า ภายในนั้นจะมีภูตผีวิญญาณอาฆาตที่มีความสามารถเทียบเท่ากับระดับยมเทพ อย่างไรก็ตาม วิญญาณพวกนี้มักจะหลบซ่อนตัวและรอคอยเวลาอย่างช้า ๆ เนื่องจากหวาดกลัวว่ายมทูตจะมากำจัดพวกมันราวกับคลื่นยักษ์ที่กวาดล้างทุกสิ่ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความหวาดกลัวภายในใจของพวกมันก็ลดน้อยลง และนั่นคือต้นเหตุของเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดบ่อยขึ้นตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ภูตผีพวกนี้บางตนได้เริ่มหมดความอดทนแล้ว”
“ยิ่งตอนนี้ที่ไร้ซึ่งการควบคุมของนรก อีกไม่นาน…วันที่แดนมนุษย์จะต้องปะทะกับกองกำลังใต้พิภพซึ่ง ๆ หน้าก็จะมาถึง ข้าให้เวลาอย่างมากที่สุดอีกแค่ 10 ปี และเมื่อเวลานั้นมาถึง….เจ้าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด?”
“วิญญาณจะปรากฏให้เห็นไปทั่วทุกที่ที่เจ้าไป เจ้าจะยังยึดมั่นในหน้าที่ของยมทูตและกวาดล้างและปัดเป่าวิญญาณร้ายต่อไปหรือไม่? มันไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้าหรืออะไร แต่เจ้าคิดหรือว่ายมทูตระดับยมเทพจะสามารถควบคุมสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงพวกนั้นได้?”
“ในขณะเดียวกัน มีภูตผีระดับนักล่าวิญญาณเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น ที่สามารถรอดชีวิตมาจากการล่มสลายของนรก พวกมันมีไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย อันที่จริง ก่อนที่จะไปที่พื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง ข้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดวงวิญญาณอาฆาตระดับยมทูตขาวดำอีกด้วย มันเล็ดลอดออกมาจากก้นบึ้งของแม่น้ำจูเจียง และตอนนี้มันก็ไม่มีทางที่เจ้าจะได้เลื่อนระดับและเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองได้อีกต่อไป แล้วเจ้าจะยืนอยู่ฝั่งใดเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างทั้งสองโลกขึ้นจริง ๆ?”
เชาโยวเต๋าหันหน้ากลับไปมองฉินเย่ด้วยแววตาขบขัน “กับมนุษย์หรือ? ซึ่งนั่นจะเป็นการละเมิดกฎของนรกอย่างรุนแรง เพราะไม่ว่าอย่างไร นรกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในแดนมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว”
“หรือเจ้าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับกองกำลังใต้พิภพ? นั่นก็ยังเป็นการละเมิดกฎของนรกเช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว การมีอยู่ของนรกก็คือเพื่อที่จะช่วยให้สมดุลของแดนมนุษย์ยังคงอยู่ และการช่วยเหลือกองกำลังใต้พิภพจึงย่อมหมายถึงการต่อต้านนรก”
“เพราะฉะนั้นเจ้า…จะอยู่ฝ่ายใด?”
ฉินเย่ยังคงเงียบ เชาโยวเต๋าค่อยๆเดินไปหาเด็กหนุ่มและเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? ข้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตัวเอง แต่ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ก็คือผู้นำที่จะกุมบังเหียนและสร้างนรกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
“ดวงวิญญาณหยินไม่สามารถถูกกำจัดให้หมดไปจากโลกนี้ได้ ตราบใดที่นรกยังคงเป็นแบบที่เป็นมา มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ที่กองกำลังใต้พิภพจะเข้าครอบครองแดนมนุษย์ และตอนนี้ คนเดียวที่มีพลังมากพอที่จะสามารถก่อตั้งนรกขึ้นมาใหม่ได้ก็คือข้า…”
เขาจิ้มนิ้วไปที่อกของฉินเย่เบา ๆ “และเจ้า”
“มีแค่เราสองที่มีอำนาจที่จะสามารถยืนอยู่เหนือกองกำลังใต้พิภพที่บ้าคลั่งพวกนี้ได้ ตัวตนของพวกเรานั้นแตกต่างจากพวกมันอย่างสิ้นเชิง”
“เจ้า ในฐานะของยมทูต เจ้าไม่อยากจะเหยียบย่ำดวงวิญญาณทั้งหมดให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าและก้าวขึ้นไปเป็นผู้ที่อยู่เหนือวิญญาณอาฆาตทั้งปวงอย่างนั้นหรือ?”
เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเชาโยวเต๋านั้นเก่งกาจเพียงใด เพราะแม้แต่ตัวของเด็กหนุ่มเองก็เกือบจะตกหลุมพรางคำพูดของอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน
แต่ก็อย่างว่า…มันยังมีคำว่า ‘เกือบ’ อยู่
“แต่เมื่อปราศจากสมุดแห่งความเป็นตาย ท่านจะเลื่อนขั้นเป็นระดับตุลาการนรกได้อย่างไร?” ฉินเย่ถามอย่างสงสัย “และถ้าท่านไม่สามารถเลื่อนไปถึงระดับของตุลาการนรกได้ อำนาจของท่านก็จะไม่มีทางขยายไปได้ไกลเกินกว่าขอบเขตของมณฑลเพียงมณฑลเดียว”
เชาโยวเต๋าที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เขาลุกขึ้นและชี้มือไปทางผนังกระจก “เจ้าเห็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนกำลังหมายถึงสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ในหลุมลึกสามเมตรหลังลานเต้นรำ
ฉินเย่พยักหน้า
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่าการล่มสลายของนรกได้มอบโอกาสครั้งใหญ่ให้กับข้า…” จนถึงตอนนี้ น้ำเสียงของเชาโยวเต๋าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นถูกกลบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “แน่นอนว่าข้าย่อมมีวิธีการของข้า”
แต่เขาไม่ได้อธิบายอะไรต่อ กลับกันเชาโยวเต๋าหันกลับไปมองฉินเย่ “เอาล่ะ ตอบคำถามของข้ามาได้แล้ว ข้าอุตส่าห์ชวนเจ้ามายืนเคียงข้าด้วยความจริงใจ มายืนเคียงข้างนรกและสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนในอดีต อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง…”
ฉินเย่แกว่งแก้วไวน์ในมือเบา ๆ “และถ้าคำตอบของข้า…คือไม่ล่ะ?”
เชาโยวเต๋ายิ้มบาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใด จนถึงตอนนี้ ข้าถึงยังไม่ถามชื่อของเจ้า?”
“เพราะ…คนตายไม่จำเป็นต้องมีชื่อ”
ฉินเย่ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเล็กน้อย เขาประหลาดใจเป็นอย่างมากเพื่อพบว่าของเหลวในแก้วนั้นให้สัมผัสละมุนลิ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้มันยังมีกลิ่นหอมอย่างน่าเหลือเชื่อ
แม้กระนั้น บรรยากาศภายในห้องกลับตึงเครียดราวกับคมมีดที่กรีดลึกในใจคน
การพูดขัดหูเพียงนิดเดียวในตอนนี้ สามารถทำให้เกิดการนองเลือดได้ ก็เป็นความคิดที่ไม่ผิดนัก
วินาทีต่อมา ฉินเย่จึงวางแก้วไวน์ลงด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า “ถ้าเช่นนี้ ข้าจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธคำเชิญของท่านกัน?”
แปะ แปะ แปะ! เชาโยวเต๋าปรบมือและหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะเอ่ยอย่างดีใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องตัดสินใจเลือกถูก”
ชายวัยกลางคนเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตนเองและหยิบตราไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตออกมา ตราดังกล่าวแผ่พลังหยินของตัวเขาออกมาจาง ๆ
จากนั้นจึงวางมันลงบนโต๊ะและกดมันไว้ด้วยนิ้วมือสองนิ้ว และเอ่ยกับฉินเย่ว่า “ด้วยสิ่งนี้ เจ้าจะสามารถมองเห็นเขตไล่ล่าทั้งหมดที่อยู่ภายในเมืองเป่าอันได้ ตราบใดที่เจ้ามีตรานี้อยู่ เจ้าจะสามารถออกคำสั่งกับดวงวิญญาณหยินที่อยู่โดยรอบได้ เพราะอย่างไรแล้ว วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดภายในเมืองนี้ก็อยู่แค่ระดับยมเทพเท่านั้น พวกมันไม่กล้าขัดความต้องการและคำสั่งของข้าแน่นอน”
ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นยื่นมือออกไป แต่เขากลับต้องตกใจเมื่อพบว่าตัวเองไม่สามารถจับตราสัญลักษณ์ไม่ได้
“สหาย…บางครั้ง สัญญาเพียงปากเปล่าก็ไม่พอ…” เชาโยวเต๋าแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะฉะนั้น…เจ้าจะไม่แสดงความน่าเชื่อถือของเจ้าให้ข้าเห็นสักนิดหรือ?”
“พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเราทั้งคู่ต่างอยู่ฝั่งเดียวกันในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่ ว่าพวกเราทั้งคู่ต่างมีอุดมการณ์เดียวกัน?”
ฉินเย่ยิ้ม “แล้วท่านต้องการการพิสูจน์แบบใด?”
เชาโยวเต๋ายังคงยิ้มบาง ๆ ขณะที่เดินไปที่หน้าต่างและดีดนิ้ว ทันใดนั้น ผนังกระจกก็แยกออก ส่งผลให้เสียงดนตรีด้านล่างดังเข้ามาในห้องอีกครั้ง
ฉินเย่รับรู้ได้ว่าเพลงที่กำลังเล่นอยู่ในตอนนี้คือเพลง ‘Faded’…
และเขาก็เปิดใช้งานเศษตราจ้าวนรกอย่างระมัดระวังทันทีที่บานกระจกถูกแยกออก
ใช่แล้ว เขาก็แค่ ‘เกือบ’ จะตกหลุมพรางของอีกฝ่าย
เขาไม่มีทางอยู่ฝั่งเดียวกับคนบ้าแบบนี้อยู่แล้ว
มันไม่มีเหตุผลใด ๆ สำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ เขาเพียงแค่ทนอีกฝ่ายไม่ไหว
เพราะเขาเองก็มีปรัชญาการใช้ชีวิตของตัวเอง สิ่งที่ถือเป็นความจริงสำหรับเขาในอดีตยังคงเป็นจริงสำหรับเขาในตอนนี้ จริงอยู่ที่พวกเขาทั้งสองจะอยู่ในสังคมเดียวกันและเผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย แต่มันก็ยังมีความจริงที่ว่าฉินเย่ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์มาโดยตลอด ประสบการณ์และความทรงจำทุกอย่างของเขาจึงแตกต่างจากยมทูตตนอื่นอย่างสิ้นเชิง!
ในทางกลับกัน เชาโยวเต๋าได้ปกครองโลกจากมุมสูง แค่จุดเริ่มต้นของพวกเขาก็แตกต่างกันแล้ว
ฉินเย่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าเชาโยวเต๋ามา เขายังคงมีความขี้เกียจ และเขาก็แทบจะไม่มีแรงขับเคลื่อนที่จะต่อสู้เพื่อครอบครองความเป็นใหญ่เลยสักนิด แน่นอนว่าเขาเกลียดความเจ้าเล่ห์และความโลภของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็หลงรักความเป็นมิตรและความซื่อสัตย์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
สำหรับเขา…อารมณ์ความรู้สึกคือหัวใจสำคัญในการเข้าใจสัจธรรมชีวิต
เมื่อปราศจากความซับซ้อนของอารมณ์ ชีวิตก็คงจะไร้ความหมาย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดข้าจึงต้องเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับท่าน?
“ทุกท่าน” เชาโยวเต๋าดึงความสนใจของคนทั้งหมดอย่างสุภาพ ลานเต้นรำด้านล่างพลันเงียบเสียงลงในไม่ถึงสิบวินาที เหล่าวิญญาณทั้งหมดต่างมองมาที่ชายวัยกลางคนด้วยสายตาที่เป็นประกายร้อนแรง
เชาโยวเต๋ากระแอมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูด “คืนนี้ พวกเราได้มีเพื่อนร่วมงานคนใหม่ เขามีเป้าหมายและอุดมการณ์เดียวกันเรา แต่มันยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว”
“การให้สัญญาด้วยวาจานั้นไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอว่าเขาจะซื่อสัตย์ และจงรักภักดีกับเรา ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมการต้อนรับแบบพิเศษไว้ให้เขาโดยเฉพาะ”
“ไปเอามา”
ฉินเย่ยังคงลอบสังเกตอีกฝ่ายอย่างสนใจ ทว่าไม่นานแววตาของเขาก็ต้องแข็งกร้าวขึ้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างทันควัน จ้องมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เมื่อเหล่าภูตผีที่อยู่ด้านล่างต่างหลีกทาง คนกระดาษสองตัวลากดวงวิญญาณดวงหนึ่งเข้ามาอยู่ใต้แสงของ
สปอตไลท์
ดวงวิญญาณดังกล่าวมีผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เห็นได้ชัดเลยว่าเขาได้พยายามต่อสู้มาก่อนหน้านี้ และพลังวิญญาณของเขาก็ผันผวนเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานี้ เขากำลังถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกุญแจมือคู่หนึ่ง กรอบหน้าเหลี่ยม ใบหน้าแบบคนจีนทั่วไปและสวมเสื้อคลุมจีนตัวใหญ่
มัน…คือดวงวิญญาณของจางเปากัว!
“เอาล่ะ ทันทีที่เจ้าฟันดวงวิญญาณของชายผู้นี้เป็นสองส่วน เจ้าและข้าก็จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกันอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ” เชาโยวเต๋าหันไปยิ้มให้ฉินเย่บาง ๆ “เจ้าน่าจะรู้จักเขาใช่หรือไม่? เพราะอย่างไรแล้ว สิ่งแรกที่เจ้าทำหลังจากเข้ามาในเมื่อเป่าอันก็คือไปพบเขา แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเองก็เป็นคนที่น่ารังเกียจคนหนึ่งเช่นกัน?”
“หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติคือ สิ่งที่ขัดขวางอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของพวกเรา และชายผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในสุนัขรับใช้ของพวกมัน เหตุผลที่ข้ายังไม่สังหารเขาก็เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำสงครามกับแดนมนุษย์ ดังนั้นข้าจึงคอยจับตาดูเขามาตลอด และก็ช่างบังเอิญที่ข้าได้เห็นเจ้าอยู่กับเขา เพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ของข้า”
อย่างนี้นี่เอง…
ฉินเย่ยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายขณะเอ่ยว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”