ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 490: จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์
บทที่ 490: จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์
เหตุใดจึงไม่ตอบอะไรออกมา?
ฉินเย่มองไปที่ราชาผีแห่งพิภพอสูรด้วยความไม่พอใจ หากอีกฝ่ายเป็นหวังหนึ่งหาง เด็กหนุ่มผู้นั้นคงจะลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้ว…
“อะแฮ่ม…”
ฉินเย่กระแอมออกมา พยายามบอกใบ้ให้ราชาผีว่าเขาควรจะแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาต่อข้อเสนอที่ได้รับบ้าง มันเห็นได้ชัดเลยว่าฉินเย่กำลังรอคำตอบ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ถอนหายใจออกมาและก้มหน้าต่ำ “ใต้เท้า…ท่านสามารถรับประกันในเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
“แน่นอน” ฉินเย่ยิ้ม “ข้าเป็นคนที่ในความสำคัญกับคำพูดของตนเอง”
แต่ปีศาจนั้นเป็นพวกขี้ระแวง…
ยกตัวอย่างเช่น คนเราสามารถแกล้งทำเป็นตายแล้วได้โดยการใช้พวกหรีด โลงศพ หรืออาจจะเป็นในรูปแบบของการลอยโคม…
ราชาผีแห่งพิภพอสูรก้มหน้าต่ำ และเปลวไฟในดวงตาของเขาลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง เขายังคงเงียบต่อไปอีกพักใหญ่…
เขาไม่ได้อายุน้อย ไร้เดียงสา หรือด้อยประสบการณ์
อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเมื่อเทียบกับวิญญาณสมัยใหม่ที่มีอายุโดยเฉลี่ยเพียง 50 ปีเท่านั้น
แน่นอน เขารู้ดีว่าคำพูดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงนั้นไม่สามารถถูกมองข้ามได้ หรืออย่างน้อยที่สุด มันก็สามารถตีความได้หลายรูปแบบ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความคิดและความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามที่เขากำลังทำการเจรจาด้วย
ท่านจ้าวฉินตั้งใจที่จะสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏขึ้นบนดวงวิญญาณของเขาหรือไม่?!
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็รวบรวมความคิดและเอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงที่แหบพร่า “ท่านจ้าวฉิน ท่านรู้หรือไม่? ข้าเคยได้ยินมาว่ายมทูตที่แท้จริงทุกตนของยมโลกนั้นสามารถกล่าวคำสาบานต่อสวรรค์ได้ ข้ายินดีที่จะสังหารขงโม่แทนท่านหากท่านยอมเอ่ยคำสัตย์สาบานนั้น เมื่อปราศจากพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา ขงโม่ก็ไม่มีหนทางให้หลบหนีอีกต่อไป หากข้าต้องการจะสังหารเขาจริง ๆ เช่นนั้นมันก็ไม่มีวัตถุหยินชิ้นใดในความครอบครองของเขาที่จะสามารถปกป้องเขาได้”
เขาสามารถกล่าวคำสาบานอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรือ?!
ฉินเย่สบถออกมาในใจแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่
นั่นมันอะไรกัน? ทำไมถึงไม่เคยมีใครบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน? เหตุใดเจ้าเมืองแห่งเมืองเจียงอินถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้? มันเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไปจึงไม่รู้เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?
หรือว่ามันเป็นวิญญาณของยุคสมัยนี้ไม่รู้ถึงสิ่งที่ยมทูตสามารถทำได้กัน?!
ราชาผีแห่งพิภพอสูรเองก็ไม่ได้เร่งเอาคำตอบจากเขาเช่นกัน เขาเพียงรอคอยคำตอบของฉินเย่อย่างอดทนในขณะที่ฉินเย่พยายามคิดหาคำตอบที่เหมาะสม
มันเป็นคำถามที่ยาก…
การพบกันอย่างกระทันหันทำให้พวกเขาต้องระวังการเกิดข้อผิดพลาดในจุดใดจุดหนึ่ง หากเขาตอบกลับไปด้วยความโง่เขลา เช่นนั้นมันก็อาจจะนำไปสู่ความสงสัยว่าเขากำลังเพียงแค่พูดจาอวดอ้างไปเท่านั้น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ราชาผีอาจจะสงสัยว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของของวัตถุหยินขั้นพระยมในการใช้ปลายหอกเล่มนี้อย่างอิสระ และเขาก็แค่นำมันติดตัวมาด้วยเพื่อเป็นการป้องกันเท่านั้น และหากทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนั้น วัตถุหยินที่ถูกใช้เพียงแค่สำหรับป้องกันจะสามารถปราบปรามการจู่โจมของขั้นฝู่จวินได้อย่างนั้นหรือ?
ในความเป็นจริง ประวัติของฉินเย่นั้นไม่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมากในท่าทีที่เขาแสดงออกระหว่างการเผชิญหน้ากับราชาผีแห่งพิภพอสูรก่อนหน้านี้ จริงอยู่ที่วันนี้เขาสามารถรักษาท่าทีของตัวเองเอาไว้ได้บ้าง แต่การแสร้งทำเป็นไม่รู้ในเรื่องสำคัญก็จะทำให้ทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่า! เพราะท้ายที่สุดแล้ว จ้าวนรกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจะควรค่าแก่การได้รับความเคารพได้อย่างไร?!
เขารู้ดีว่าในสายตาของราชาผี เขาไม่ได้ทำอะไรที่ควรค่าแก่การได้รับความเคารพเลยสักนิด ความประทับใจแรกที่มีในการพบกันของหน้านี้นั้นเลวร้ายเป็นอย่างมาก และความเคารพที่ราชาผีแสดงออกมาในตอนนี้ก็เป็นเพียงการปรากฏอยู่ของปลายหอกเงินแห่งความกล้าของมังกรเท่านั้น…
“ท่านจ้าวฉิน?” ราชาผีแห่งพิภพอสูรเรียกฉินเย่อีกครั้ง ให้ตายเถอะ เขาใช้ระยะเวลาในการคิดคำตอบนานเกินไปแล้ว แต่การที่คุณจะก้าวขาลงจากหลังเสือหลังจากที่ได้ขึ้นไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…
มันเป็นเพียงคำถามง่าย ๆ แต่มันก็จะยิ่งสร้างความน่าสงสัยหากฉินเย่ใช้เวลาคิดคำตอบนานเกินไป
“แน่นอน” ฉินเย่กัดฟันและตัดสินใจ แม้ว่าจะไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจดังกล่าวกำลังจะพาตัวเองไปสู่จุดไหน
แต่ก่อนที่ราชาผีแห่งพิภพอสูรจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ฉินเย่ก็เอ่ยต่อ “แต่ไม่ใช่ในตอนนี้”
“เพราะเหตุใด?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะว่าข้ายังไม่ได้เป็นจ้าวนรกของยมโลกอย่างเป็นทางการ ข้าจะให้ตี้ทิงมาคุยกับเจ้าในเรื่องนี้แทนก็แล้วกัน”
หัวใจของราชาผีกระตุกทันที เขาแทบจะไม่สามารถต้านความปรารถนาที่จะเตะหน้าของอีกฝ่ายได้!
เดี๋ยวก่อนนะ… นี่ท่านกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรกัน?!
ฮะ ฮะ เหตุใดจู่ ๆ ตี้ทิงถึงถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย?
นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า?
เขาเพียงแค่พยายามจะทำการต่อรองอย่างยุติธรรม แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนไปใช้วิธีการเก่า ๆ? นี่คนตรงหน้าเขาคือใครกัน…นักต้มตุ๋น?!
แต่…สิ่งที่ทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็คือข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่มีช่องว่างสำหรับการเจรจาในเรื่องนี้
ทั้งสองฝ่ายแย้มยิ้มและพยักหน้าให้กันและกันอย่างยอมรับแม้ว่าพวกเขาจะกำลังสบถและก่นด่าอยู่ในใจก็ตาม…
ฝ่ายหนึ่งได้พยายามทดสอบขีดจำกัดของยมโลก และยังประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเมื่อเขาสามารถได้รับคำยืนยันจากอีกฝ่าย แต่ด้วยความพลิกผันบางอย่าง การประนีประนอมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพราะไม่นานมันก็ตามมาด้วยทักษะการสับเปลี่ยนเหยื่ออันน่าสยดสยอง ทันใดนั้น การเจรจาดูเหมือนจะสิ้นสุดลงทันที
ฉินเย่รู้สึกค่อนข้างเหนื่อยกับการเจรจานี้ เขาคลึงขมับของตัวเองขณะที่เอ่ยต่อ “ดูเหมือนว่าอคติที่เจ้ามีต่อยมโลกนั้นจะฝังรากลึกลงไปในจิตใจ และข้าก็เกรงว่าเราคงจะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยหากทุกอย่างยังคงดำเนินไปเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม มันมีบางอย่างที่ข้าคิดว่าข้าควรจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน”
เนื้อหาที่แท้จริงกำลังจะมาแล้ว…ราชาผีแห่งพิภพอสูรพยักหน้าอย่างนอบน้อม และฉินเย่ก็เอ่ยต่อ “ประการแรก เจ้าจงกลับไปยังสามมณฑลทางตะวันออกที่เจ้าจากมา ประการที่สอง นำศีรษะของขงโม่มามอบให้ข้า หากเจ้าไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ เช่นนั้นในครั้งหน้า ผู้ที่เจ้าจะได้พบจะไม่ใช่ข้า”
“หากเจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าก็ต้องจ่ายบางสิ่งบางอย่างเพื่อมัน” ฉินเย่ลุกยืนขึ้น เขานึกถึงเนื้อหาที่ได้เคยพูดคุยกับอู๋เหวินชิ่งก่อนหน้านี้ เขายังต้องเข้าร่วมการประชุมในวันพรุ่งนี้อีก และมันก็คงไม่ดีนักหากอยู่ที่นี่นานเกินไป “ข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถผ่อนปรนบาปของเจ้าได้ และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ได้รับในสิ่งเดียวกันโดยปราศจากความจริงใจในส่วนของตัวเจ้าเอง”
เป็นอย่างที่คิด… ราชาผีแห่งพิภพอสูรหรี่ตาลง “ขงโม่ยังคงมีวัตถุหยินที่ค่อนข้างทรงพลังอยู่ในครอบครอง และหากข้าต้องการที่จะสังหารเขา ข้ายังต้องฟันฝ่ากองกำลังทหารวิญญาณที่อยู่รอบข้างเขา นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยสักนิด พวกเรากำลังพูดถึงตระกูลขง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของยมโลกแห่งเก่า ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามีทรัพยากรมากเพียงใด? ถ้าหากข้า…สมมุติ…ข้าพยายามอย่างหนักในการสังหารเขา แต่ยมโลกกลับไม่ทำตามคำพูดและปฏิเสธที่จะลดหย่อนบาปของข้า? แล้วแบบนั้นข้าจะทำอย่างไร?”
ฉินเย่โน้มหน้าเข้าไปใกล้และสบตาราชาผี “เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น”
“หากเจ้าไม่เดินทางกลับไปยังมณฑลทางตะวันออกทั้งสามทันที ข้าสามารถรับรองได้เลยว่ายมทูตตนต่อไปที่เจ้าจะได้เจอก็คือตี้ทิงอย่างแน่นอน ยมโลกอาจจะขาดแคลนเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าก็อยู่แค่ขั้นฝู่จวินเท่านั้น มันไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถขาดจากเจ้า”
“ที่ข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองก็เพราะว่าข้าไม่ต้องการเสียกำลังวิญญาณไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะเสียทรัพยากรไม่ได้หมายความว่าข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เจ้าสามารถมาทดสอบอำนาจของยมโลกได้ทุกเมื่อ…หากเจ้ากล้าพอ”
พรึ่บ!
ราชาผีเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉินเย่โดยตรง
จิตสังหารที่รุนแรงปะทุออกมา แทบจะเหมือนกับว่าขุมนรกได้เผยคมเขี้ยวของมัน พร้อมที่จะกลืนกินแดนมนุษย์ทั้งหมดเข้าไป ทันใดนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวก็พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในจิตใจของฉินเย่และแพร่กระจายไปทั่วร่าง
ราชาผีได้แสดงจุดยืนของตัวเองออกมาเป็นครั้งแรก!
ขณะที่พวกเขาสบตากันและกัน พลังหยินที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของฉินเย่ก็บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกดูดออกไปจากร่างของเขา ภายในรถม้าถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด มันอึดอัดเสียจนหูของเขาได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของตนเอง
ฉินเย่เท้ามือลงบนโต๊ะ พยายามรักษาท่าทางของตัวเองไว้ไม่ให้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา
เขาอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับพลังอำนาจของขั้นฝู่จวินมาบ้าง แต่การได้สัมผัสมันด้วยตัวเองนั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง!
ฉินเย่พยายามต่อสู้กับสัญชาตญาณความหวาดกลัวของตัวเองและระงับความรู้สึกที่พุ่งพล่านอยู่ภายในจิตใจ จากนั้น ประมาณสิบวินาทีต่อมา ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ก้มหน้าลงและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“คำสั่งที่ได้รับจากยมโลกไม่สามารถเพิกเฉยได้” เขาถอนหายใจออกมาพร้อมกับลุกยืนขึ้น “หนึ่งปี”
“ข้าจะไล่ขงโม่ให้ออกสู่ทะเล ในเมื่อยมโลกได้เข้ายึดฐานปฏิบัติการของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีที่ให้หลบหนีหรือหลบซ่อนอีกต่อไป ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาตอนนี้ก็คือการหลบหนีไปยังแผ่นดินญี่ปุ่น และแน่นอน...ทะเลตะวันออกจะกลายเป็นหลุมฝังศพของเขา”
ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ? แววตาของฉินเย่สั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง
ทั้งสองฝ่ายมีทหารวิญญาณกว่าล้านนาย และมันก็เป็นธรรมดาที่สงครามที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นด้วยการต่อสู้ขนาดเล็ก ไปจนถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่แสนเด็ดขาด ทั้งขงโม่และราชาผีแห่งพิภพอสูรต่างไม่ต้องการที่จะส่งทหารวิญญาณนับล้านของตนไปกับการต่อสู้พวกนั้น
“ข้าจะรอฟังข่าวเกี่ยวกับชัยชนะของเจ้าก็แล้วกัน” ฉินเย่ยืดตัวตรงและเตรียมจะเดินลงจากรถม้า “นำลูกไฟวิญญาณของขงโม่มาให้ข้า และยมโลกจะทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้”
มันมีเสียงลากเก้าอี้ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงที่นอบน้อมของราชาผี “โปรดเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
พรึ่บ…
ฉินเย่ยกผ้าม่านของรถม้าขึ้นและเดินลงจากรถ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของตัวเองเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
มันเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งชั่วโมง และพวกเขาก็พูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการทดสอบขีดความอดทนของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็พยายามป้องกันตัวให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ฉินเย่กลับรู้สึกว่าเขาเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก…
จิตใจของเขาถึงขีดสุดแล้ว และเขาก็ยินดีเป็นอย่างมากที่ทุกอย่างจบลงเสียที
ในขณะเดียวกัน กลับมาบนรถม้า ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ ไม่ว่าจะด้วยอิทธิพลของโชคชะตาหรือไม่ แต่ราชาผีแห่งพิภพอสูรได้เหลือบมองไปยังโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่หลังจากที่ฉินเย่จากไป
มันเป็นการปรายตามองธรรมดาๆ
เขาไม่คาดว่าจะได้เห็นอะไรจากมัน แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้เขาต้องเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัยและลุกยืนขึ้น
ผิวด้านบนของโต๊ะชื้นเล็กน้อย
พวกมันมีรอยฝ่ามือปรากฏอยู่
ราชาผีไล่นิ้วผ่านมันเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วมาจ่อที่จมูกและดมมัน จากนั้น เขาก็มองไปยังทิศทางที่ฉินเย่เพิ่งจากไป
มันคือเหงื่อ
เหงื่อเย็น
อีกฝ่ายไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่แสดงออก!
ในที่สุดเขาก็สามารถคิดอะไรได้อย่างอิสระหลังจากที่ฉินเย่จากไป และข้อสังเกตของเด็กหนุ่มก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา และนั่นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอำนาจของฉินเย่นั้นขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ของตี้ทิงและยมโลก!
“ใช่แล้ว…ข้าคือบุคคลแรกในสามราชาผีที่ได้ระดมกองกำลังของตัวเองเนื่องจากตรวจจับได้ถึงการปรากฏของสมุดแห่งความเป็นตายในช่องแคบสึชิมะ และมันก็ไม่ใช่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ขั้นตุลาการนรกอีกหลายสิบตนและเทพแห่งความตายของญี่ปุ่นได้เคลื่อนไหวในตอนนั้น ด้วยความที่ข้ากลัวว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลง ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะส่งกองกำลังไปแทน” ทุกสิ่งทุกอย่างภายในหัวเริ่มเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
“ข้าได้ถามวิญญาณญี่ปุ่นว่าผู้ใดที่ได้สมุดแห่งความเป็นตายเข้าไปครอบครอง ก่อนจะได้รับคำตอบมาว่าแผ่นดินจีนได้มันไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…ทำไมสมุดแห่งความเป็นตายถึงปรากฏขึ้นที่ช่องแคบสึชิมะ?”
“บางทีมันอาจจะกระเด็นออกไปหลังจากที่ยมโลกแห่งเก่าล่มสลาย และหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างสมุดแห่งความเป็นตายยังสามารถหลุดออกมาจากยมโลกได้ เช่นนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเก็บเกล็ดของตี้ทิงและวัตถุหยินของราชันย์วิญญาณทั้งหกได้โดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว…นั่นสามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงเก็บปลายหอกไว้ในกล่องไม้ก่อนหน้านี้! ข้าเองก็สัมผัสได้ว่ามันคือวัตถุหยินที่ได้รับความเสียหาย!”
“เช่นนั้นมันก็หมายความว่า… เขากำลังเล่นตลกกับข้าอย่างนั้นหรือ?!”
หลังจากทบทวนทุกอย่างไปอีก 30 วินาที ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็พยักหน้าราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง จากนั้น เขาก็หายตัวไปจากรถม้าและปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ฉินเย่อยู่
ฉินเย่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้เปิดเผยความตกใจนั้นออกไปแต่อย่างใด กลับกัน เขาเพียงเลิ่กคิ้วขึ้น “เจ้ามีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”
ราชาผีประสานมือของตนไว้ภายใต้แขนเสื้อ และร่างของเขาก็ลอยอยู่กลางอากาศ หากเขามีหัวใจ มันก็คงจะเต้นแรงจนทะลุออกจากอกไปแล้ว
เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็กำลังจะทำการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต!
“เป็นเช่นนั้น” กลุ่มก้อนพลังหยินรั่วไหลออกมาจากฟันของเขาขณะที่เอ่ยต่อ “ท่านจ้าวฉิน ข้าอยากรู้ว่าท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับศาสตร์ที่มีชื่อว่าศาสตร์การโยกย้ายดวงจิตชั่วคราวมาบ้างหรือไม่?”
“ข้าเคยได้มายินมาเล็กน้อย” ฉินเย่ตอบกลับเสียงนิ่ง สงสัยว่าเหตุใดราชาผีถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะนี้มาบ้างเล็กน้อย ตราบใดที่ข้าเข้าสิงร่างของบุคคลที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ข้าก็จะสามารถเดินไปตามทางหยินหยางโดยอาศัยดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตไปได้ มันไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากนัก ทั้งหมดที่ต้องการมีเพียงเศษเสี้ยวเปลวไฟวิญญาณของข้าเท่านั้น ท่านยังจำตอนที่ข้าได้พบท่านในตอนที่ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลได้หรือไม่? และมันก็บังเอิญว่ามีดวงวิญญาณที่เพิ่งจากไปพอดี และข้าก็เห็นมันเข้า”
ฉินเย่ยิ่งงงมากกว่าเดิม “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
“ไม่มีอะไร” ฉินฮุ่ยประสานฝ่ามือและกำปั้นด้วยความเคารพ แต่กลับไม่ได้ปิดบังประกายแห่งความดุร้ายที่ฉายออกมาจากแววตาของเขาได้เลย เขาจ้องไปที่ฉินเย่และเอ่ยต่อด้วยเสียงที่แหบพร่า “หากท่านไม่รังเกียจ ท่านจ้าวฉินจะช่วยอนุญาตให้ผู้น้อยได้ไปเห็นยมโลกแห่งใหม่ด้วยตาของตัวเองได้หรือไม่? ข้าจำได้ว่าผู้ที่ลงโทษในความผิดของข้าในตอนนั้นคือท่านตี้ทิง ดังนั้นท่านสามารถถือได้ว่าเรา…ได้ตัดขาดกันไปแล้ว”
พรึ่บ…!
ความเหนื่อยล้าของฉินเย่มลายหายไปในทันที และเขาก็หันกลับไปสบตากับราชาผีโดยตรง
นี่อีกฝ่ายรู้อะไรมา?!