ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 491: เทศกาลวันสารทจีน...อีกแล้ว?
บทที่ 491: เทศกาลวันสารทจีน...อีกแล้ว?
ราชาผีแห่งพิภพอสูรสูดหายใจเข้าช้า ๆ หากเขามีหัวใจ มันคงจะเต้นแรงจนทะลุออกมาจากอกไปแล้ว ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ลอบสังเกตเงียบ ๆ ขณะที่ราชาผีค่อย ๆ ลงมายืนบนพื้น ทั้ง งสองสบตากันนิ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด จนกระทั่งราชาผีเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “เว้นแต่ว่า…ท่านจ้าวฉินจะไม่เต็มใจ”
ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาแทบจะแน่ใจแล้วว่าราชาผีได้สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่เข้าใจว่าการแสดงของเขาเมื่อครู่นี้ม มีอะไรผิดพลาด
หากพูดการตามตรง กุญแจสำคัญในการที่จะล่าหนังเสือก็คือการมีจิตใจที่มั่นคง และในเรื่องนั้นฉินเย่ก็มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง…
“เจ้าไม่กลัวหรือว่าตี้ทิงจะจัดการเจ้าทันทีที่เห็นเจ้า?” ฉินเย่แย้มยิ้มบางเบาและยังคงรักษาท่าทีของตนต่อไป พยายามทำให้ตัวเองดูคาดเดาไม่ได้มากที่สุด
“แน่นอนว่าข้ากลัว” ราชาผีก้มหน้าลงและเก็บซ่อนจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากส่วนลึกของแววตา “แต่…ท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วยไม่ใช่หรือ?”
“นอกจากนี้…สิ่งที่ข้ากลัวมากกว่าก็คือการถูกหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว ข้าอาจจะเคยเหยียบย่ำผู้อื่นมามาก แต่ข้าก็ยังไม่อยากจะเจอมันกับตัวเองในเร็ว ๆ นี้…”
“ได้” ฉินเย่พยักหน้า
ฉินเย่สามารถบอกได้ว่านี่คือหนึ่งในสถานการณ์ที่ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็จะยิ่งแย่ลงเท่านั้น
ราชาผีแห่งภพอสูรประสานฝ่ามือและกำปั้นอย่างเคารพ “ใต้เท้า ในแต่ปีมีช่วงเวลาเพียงไม่กี่ช่วงเท่านั้นที่ช่องว่างระหว่างแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพลดลง ดวงเนตรแห่งนรกและค่ำคืน นแห่งการหวนคืนที่ท่านรู้จัก ทั้งหมดล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเหล่านี้ และเทศกาลผีทั้งสามก็คือช่วงเวลาที่กำแพงกั้นระหว่างโลกนั้นบางที่สุด แม้แต่เด็กเ เล็กก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์เคลื่อนไหวไปมาในแดนมนุษย์ นอกจากนี้ ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงยังเป็นตอนที่พลังหยินหนาแน่นที่สุดในแดนมนุษย์อีกด้วย”
“หากข้าต้องการจะเดินไปในโลกใต้พิภพด้วยร่างกายของมนุษย์โดยใช้ศาสตร์การโยกย้ายดวงจิตชั่วคราว มันจะสามารถเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อประตูนรกเปิดกว้างแล้วเท่านั้น”
ราชาผีเงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้ม แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเขากลับดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก “ดังนั้น ข้าจึงวางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปยังยมโลกในระหว่างเทศกาลวันสารทจีน และข้าจะหาวิญญ ญาณสักสองตนที่เดินทางกลับมายังแดนมนุษย์ ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงยินดีที่จะนำทางให้”
“ตามแต่ใจเจ้าก็แล้วกัน” ฉินเย่รีบเปลี่ยนร่างเป็นสายลมและหายตัวไปจากตรงนั้น “ข้าไม่มีเวลาไปรับเจ้าด้วยตัวเองหรอกนะ”
“จนกว่าจะถึงเวลานั้น ใต้เท้า” ราชาผีแห่งพิภพอสูรหมอบลงกับพื้นและโค้งคำนับขณะที่สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายห่างออกไปเรื่อย ๆ มันไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมา าอีกครั้ง
“อีก 15 วัน…” เขาเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างชั่วร้าย “มาดูกันว่าท่านเพียงแค่พยายามจะใช้ประโยชน์จากข้าหรือไม่ ระยะเวลาเพียงแค่ 15 วันไม่มีทางพอที่จะทำให้ท่านสามารถแก้ไขสถ ถานการณ์ทั้งหมดได้แน่”
“จริงอยู่ที่ข้าประหลาดใจที่ท่านสามารถแย่งชิงด่านซานไห่มาไว้ในครอบครองได้ แต่…ท่านมีกำลังพอที่จะควบคุมพลังที่มีอยู่ภายในอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดว่าข้าไม่สามารถมองทะลุ การแสดงที่แสนตลกของท่านได้หรืออย่างไร? ท่านประเมินข้าต่ำไปแล้ว… นี่ท่านลืมไปแล้วหรือ? ข้าคืออัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยจักรพรรดิซ่งก่อนที่จะตาย…”
……………………………………………………..
“บัดซบ!” ฉินเย่บินออกมาด้วยความเร็วสูง สีหน้าของเขาในเวลานี้นั้นน่ากลัว บิดเบี้ยว และเต็มไปด้วยความโกรธที่รุนแรง
นี่เขาทำอะไรพลาดไป?
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขานึกย้อนถึงกระบวนการเจรจาทั้งหมดภายในหัว แต่เขาก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตัวเองพลาดอะไรไป แต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเสี่ยงที่จะทำพลาดในระหว ว่างการเจรจาทั้งสิ้น หากพูดกันตามความจริง ราชาผีได้ทำพลาดตลอดการเจรจานี้ และก็สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ในตอนท้ายเท่านั้น
เขาไม่ได้โกรธ เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ผู้รอบรู้หรือผู้มีอำนาจ อย่างมากที่สุด เขาก็แค่หงุดหงิดเท่านั้น
ใครก็ตามที่เป็นเขาล้วนต้องรู้สึกหงุดหงิดทั้งนั้น
สายลมพัดผ่านหู ในขณะที่สายตาของเขาจดจ่อไปยังปลายทางที่อยู่ด้านหน้า เส้นผมสะบัดไปมาในอากาศ เสื้อผ้ากระพืออย่างรุนแรง และอีกสิบนาทีต่อมา เขาก็หยุดลงในที่สุด
“ฉินฮุ่ยเคยเป็นอัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยจักรพรรดิซ่ง แน่นอน เขาอาจจะเป็นพวกไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ตราบใดที่เขาได้เดินทางไปยังยมโลก และถามคำถามเล็กน้อย เขาจะต้องสามารถรับรู้คว วามจริงเกี่ยวกับจุดยืนของยมโลกในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน! และสิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่สามารถปฏิเสธคำขอของอีกฝ่ายได้!”
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ไม่ใช่ราชาผีเพียงตนเดียวในแผ่นดินจีน
ต่งจั้ว ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉานอยู่ทางทิศตะวันตก ค่อย ๆ รวบรวมเศษตราจ้าวนรกชิ้นอื่น ๆ อย่างเงียบๆ
จริงอยู่ที่การดำรงอยู่ของตี้ทิงหมายความว่าพวกราชาผีไม่มีทางกล้าจู่โจมยมโลก แต่สิ่งที่ฉินเย่กลัวก็คือความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะหนี!
มันจะเกิดอะไรขึ้นหากราชาผีพวกนั้นหลบหนีไปพร้อมกับเศษตราจ้าวนรก?
หอแห่งการสั่นสะเทือนจะไม่สามารถใช้งานได้! ที่แย่ที่สุด พวกเขาอาจแปรพักตร์ไปอยู่กับโลกใต้พิภพแห่งอื่น! ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้!
“ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว… ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เรากลัวจะไม่ใช่ตัวตนของราชาผีอีกต่อไป แต่กลับเป็นความคิดที่ว่าพวกเขาจะหนีมากกว่า!” เขาสางผมอย่างหงุดหงิดขณะที่สูดหายใจเข้า าช้า ๆ และเอ่ยออกมาเสียงดัง “โชคดีที่ทางรัฐบาลของยมโลกได้เตรียมการทุกอย่างที่สำคัญเอาไว้หมดแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คงจะเป็นการไร้ซึ่งความหวัง มันเป็นเรื่องดีที่ยมโลก กำลังจะประกาศใช้ระบบสกุลเงินใหม่และเฉลิมฉลองงานเทศกาลในช่วงเทศกาลวันสารทจีน”
ทันใดนั้น เขาก็ชะงักไป
เทศกาลวันสารทจีน...อีกแล้ว?
ทำไมมันดูเหมือนว่าทุกอย่างจะนำไปสู่เทศกาลวันสารทจีนกัน? การประกาศใช้สกุลเงินของยมโลก การกระตุ้นการตลาดของยมโลก แล้วตอนนี้ก็ยังมีการเดินทางไปยังยมโลกเป็นการส่วนตัวของรา าชาผีแห่งพิภพอสูรอีก...
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อก
“นี่มันอะไรกัน?” เขาหยิบเศษตราจ้าวนรกออกมาจากเสื้อ และเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อมันเปล่งแสงอ่อนออกมาจากด้านแต่ละด้านอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับครั้งที่แล้ว แต่และด้านแสดง งให้เห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป
หลังจากได้ประสบกับปรากฏการณ์เช่นนี้แล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะค่อย ๆ สังเกตมันทีละด้าน และเขาก็เริ่มมองมันโดยที่ไม่ได้สนใจด้านอื่นๆ
แม้ว่าภาพดังกล่าวจะพร่าเลือนมาก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่ามันคือภาพของเขาเอง!
มันปรากฏภาพของซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ปรากฏภายในภาพดังกล่าว แต่มันยังมี…
“โม่ฉางห่าว?” เขาเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะนำมันเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อดูให้ชัดขึ้น “แถมเขา…ยังโจมตีเรา? นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
ในภาพนั้น โม่ฉางห่าวก็ดูเหมือนจะพูดบางอย่างกับเขา จากนั้น โดยไม่เอ่ยคำเตือนใด ๆ เขาได้ปลดปล่อยการโจมตีจากมุมที่แปลกประหลาด กระแทกเข้ากับด้านหลังของเขาอย่างจัง
ฟึ่บ...
ทันใดนั้น ภาพดังกล่าวก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนที่ปรากฏขึ้น
เขากำเศษตราจ้าวนรกในมือแน่นอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งขณะที่เก็บมันกลับไปในเสื้อเหมือนเดิม “มันไม่มีทั้งเวลาหรือบริบทใด ๆ ในภาพ หรือว่า…ลางบอกเหตุ? แต่ไม่ว่าอ อย่างไรก็ตาม เทศกาลวันสารทจีนสำคัญที่สุด หลังจากนี้เราคงจะต้องพบกับเขาให้น้อยลง”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็กลับมาสนใจเรื่องในมือ
“กลับไปที่ค้างอยู่ก่อนหน้านี้… ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถปิดบังสถานะของยมโลกในปัจจุบันจากสายตาของราชาผีได้ แต่ทั้งหมดที่เราทำก็คือทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าการดำรงอยู่ของยม มโลกนั้นสามารถบดบังรัศมีของสิ่งที่เขาสามารถทำสำเร็จภายในระยะเวลาสิบปีได้ แบบนั้น ราชาผีก็คงจะไม่กล้าตั้งข้อสงสัยหรือจู่โจมยมโลกอีก”
“และหากเราจะทำเช่นนั้น เราก็คงต้องเพิ่มข้อกำหนดสำหรับงานเฉลิมฉลองที่กำลังจะมาถึง เราไม่ควรมองเขาในฐานะของขั้นฝู่จวินทั่วไป แต่ต้องมองเขาเป็นโฆษกของกองกำลังกบฏที่แข ข็งแกร่งที่สุดสามกลุ่มภายในจีน ตราบใดที่พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะโจมตียมโลก เช่นนั้นเราก็คงใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ศตวรรษก่อนที่จะสามารถรวบรวมโลกใต้พิภพของแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่ งอีกครั้งได้สำเร็จ! แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการติดต่อกับอีกฝ่ายนี่สิ!”
หลังจากที่ได้เคลียร์สมอง ภายในใจของเขาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนร่างเป็นกระแสลมและมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหวู่หยาง
…………………………………………………………
ในขณะเดียวกัน ภายในลิมโบ ตี้ทิงที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้นราวกับรูปปั้นหินก็ลืมตาขึ้นอย่างกระทันหัน
โชคชะตาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“หืม?” ตี้ทิ้งขมวดคิ้ว “ตอนนี้ก็ 6 โมงเช้าแล้ว แต่โชคชะตากลับเคลื่อนไหว? เพราะเหตุใดกัน?”
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของมันในครั้งนี้ยังดูยากกว่าครั้งก่อน แต่ละจังหวะที่ตัวพู่กันเคลื่อนที่ไป ดอกบัวทองแห่งคุณธรรมจะเบ่งบานขึ้นในอากาศและเปล่งประกายสีทองออกมา แทบจะเ เหมือนกับว่ามันเป็นผลงานอันสมบูรณ์แบบที่ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของมันเอง
ทุกอย่างดูงดงามเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน แต่ละจังหวะของพู่กันได้สร้างแรงกระเพื่อมไปในอากาศ นี่อาจจะดูไม่เป็นคำสำหรับผู้อื่น แต่ตี้ทิงก็ยังสามารถอ่านมันได้อยู่ดี
“หรือว่า…มันพยายามจะซ่อนตัวจากบางสิ่ง?” ตี้ทิงสังเกตโชคชะตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในที่สุด
“นี่คงจะเป็นเพราะว่าเศษตราจ้าวนรกได้รับรู้ถึงการปรากฏขึ้นของมันเป็นแน่…” ตี้ทิงเลียริมฝีปากของตัวเองด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังเอ่ยต่อด้วยความตื่นเต้น “ไม่มีสิ่งใดในยม มโลกที่สามารถหลบหลีกจากสายตาของเศษตราจ้าวนรกได้…แม้ว่าตอนนี้มันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ตาม หากให้ข้าเดา…มันคงจะพยายามเตือนฉินเย่เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นแน่”
“แต่ถึงกระนั้น คำเตือนดังกล่าวก็ไม่ควรถูกเปิดเผยมากเกินไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว โชคชะตาก็เป็นรองเพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของยมโลกเท่านั้น มันมีอำนาจเหนือกว่าหินสามชาติภพ พและน้ำแกงห้ารสของยายเมิ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เศษตราจ้าวนรกเพียงชิ้นเดียวจะสามารถหยุดวงล้อแห่งโชคชะตาได้”
“ท้ายที่สุดแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังดำเนินไปตามสิ่งที่ได้ถูกลิขิต เอาล่ะ คราวนี้จะเป็นชื่อของผู้ใดกันที่ถูกเขียนขึ้นมา…”
นับถอยหลัง 14 วัน
ชื่อของลีจองซุกถูกเขียนเพิ่มเข้าไป นอกจากนี้ มันยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ตี้ทิงไม่รู้จักถูกเขียนเพิ่มเข้าไปในรายชื่อด้วย
“อวี๋ ฉางเล่อ?” ตี้ทิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่เห็นจะเคยได้ยิน…ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือมนุษย์หรือวิญญาณ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ข้อเท็จจริงที่ว่าโชคชะตาได้เขีย ยนชื่อนี้ขึ้นหมายความว่าคน ๆ นี้จะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของบทละครอันยิ่งใหญ่ที่ได้ถูกวางเอาไว้เป็นแน่…”
………………………………….
“คุณ…นี่พวกคุณทำอะไร?!” คิมแจฮวานตะโกนออกมาสุดเสียง ดึงผ้ามาคลุมกายของตนแต่ก็เปล่าประโยชน์ ผ้าผืนนี้เล็กเกินกว่าที่จะคลุมร่างของเขา แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถ คลุมร่างของคนอีกคนที่อยู่บนเตียงเอาไว้ได้
เขามั่นใจว่าที่นี่คือสถานที่ซึ่งเขาได้เช่าเอาไว้
เขาได้เช่าวิลล่าริมทะเลภายในเมืองชางหลานไว้แห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในแซมซัง แต่เขาก็ยังได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ มากมายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่ถึงกระนั้น…มนุษย์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี!
มันเป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี
และที่เขาต้องตะโกนออกมาเช่นนี้ก็เพราะว่าจู่ ๆ ประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดออก และกลุ่มชายชุดดำก็กรูกันเข้ามาด้านในโดยไม่สนใจเสียงร้องหรือเสียงตะโกนของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ฉันเอง” ทันใดนั้น เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นให้ได้ยิน คิมแจฮวานเงียบเสียงไปทันที
ลีจองซุก!
ราชินีที่แท้จริงของแซมซัง!
เขารีบมองไปที่โทรศัพท์ของตนทันที ตอนนี้เป็นเวลา 05.20 น.แล้ว
ลีจองซุกก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเครื่องแต่งกายขนาดพอดีตัว แทบจะเหมือนกับไม่มีใครอยู่โดยรอบ ส้นของรองเท้าส้นสูงกระแทกกับพื้นในทุก ๆ ย่างก้าว ทันทีที่เธอเดินเข้าไป ทันทีท ที่เธอเดินเข้ามา หนึ่งในชายชุดดำก็ดึงเก้าอี้มาให้เธอนั่ง
“คุณก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดีนี่?” ลีจองซุกแย้มยิ้มขณะที่นั่งลง จากนั้น เธอก็จุดบุหรี่และสูบมันอย่าสง่างาม “แต่เพราะอะไรถึงชอบสร้างปัญหากัน?”
เธอโบกมือเบา ๆ ขณะที่พูด หลังจากนั้น ชายชุดดำทั้งหมดก็โค้งคำนับหญิงสาวอย่างเคารพก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“คุณกำลังรออะไรอยู่?” เธอหลับตาลงและเอนหลังพิงพนัก
คิมแจฮวานไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร แต่ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ “คุณหมายถึง…”
ลีจองซุกเคาะที่วางแขนเบาๆ “ไล่คนที่อยู่ใต้ผ้าห่มของคุณออกไปซะ ฉันมีบางอย่างที่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
คิมแจฮวานลอบกลืนน้ำลายอย่างวิตก ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เขารู้สึกว่าตัวเองถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งในทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับลีองซุก ริมฝีปากของเขาสั่นเทาขณะท ที่หันไปหาคนที่อยู่ใต้ผ้าห่ม “ไม่ได้ยินที่เธอพูดหรือไง?”
“แต่…”
“เดี๋ยวนี้! ไม่มีใครสนใจเธอหรอก!”
“ดะ ได้ค่ะ…” หญิงสาวคนดังกล่าวยกมือปิดอกของตนและก้มหน้าขณะที่คลานออกจากใต้ผ้าห่ม ลีจองซุกเหลือบตามองเธอก่อนจะเอ่ยเบาๆ “อย่างน้อยก็ให้ผ้าห่มเธอไปคลุมตัวด้วยสิ”
คิมแจฮวานที่ได้ยินเช่นนั้นก็โยนผ้าห่มไปด้วยความโมโห และหญิงสาวคนนั้นก็รีบคลุมตัวของตนเองและรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที
จากนั้น มันก็เกิดความเงียบขึ้น
คิมแจฮวานหดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ในขณะที่ลีจองซุกหัวเราะออกมา “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้หิวขนาดนั้น นอกจากนี้…ฉันก็ค่อนข้างเรื่องมากด้วย”
“คุณต้องการอะไร?” คิมแจฮวานกัดฟันแน่น
ลีจองซุกดับบุหรี่ของตนเองขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง และจากนั้น เธอก็ถามขึ้นว่า “คุณรู้ไหมว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร?”
“ตีห้า” คิมแจฮวานเอ่ยตอบเสียงฮึดฮัด “หลังจากที่เห็นคุณบุกเข้ามาที่นี่แล้ว…ผมก็ไม่คิดหรอกว่าคุณจะรู้เวลา”
โดยไม่สนใจจากค่อนขอดของอีกฝ่าย ลีจองซุกตอบกลับ “ผิดแล้ว”
“มันคือ… ชั่วโมงแม่มด”
“ในช่วงเวลาพลบค่ำคือเวลาที่วิญญาณร้ายตื่นขึ้น และในช่วงรุ่งอรุณคือเวลาวิญญาณส่วนใหญ่กลับสู่การหลับใหล” เธอหันกลับมาและจ้องไปที่คิมแจฮวานด้วยสายตาเย็นชา “บอกฉันมาว่า คุณทำพิธีกรรมในตอนนั้นได้อย่างไร แล้วมันจำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง?!”