ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 493: 14 วัน (2)
บทที่ 493: 14 วัน (2)
ณ เมืองหวู่หยาง อู๋เหวินชิ่งแย้มยิ้มให้ฉินเย่ขณะที่เอ่ยทักทายเด็กหนุ่ม “คุณฉิน คุณกลับมาแล้วหรือครับ? ต้องขออภัยด้วยที่ต้องรบกวนคุณในกลางดึกนะครับ แต่ทางเบื้องบนได้ติดต่อเผื่อเรียกประชุม และขั้นตุลาการนรกทั้งหมดก็ต้องเข้าร่วม มันไม่มีทาง…”
“ไม่เป็นไรครับ เราทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง” ฉินเย่ยิ้ม เขากลับมาถึงที่เมืองในเวลา 07.00 น. และเขาก็รีบเดินทางมาที่สำนักงานของหน่วยสอบสวนผิเศษทันทีที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
อู๋เหวินชิ่งผลิกแบบฟอร์มในมือของตนและตบเข้าที่หน้าผากของตัวเอง “อ้อใช่…ผมลืมบอกคุณไปเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางเราได้ขุดค้นผบวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งในเมืองหวู่หยางกับ และผมเกรงว่าผมคงจะต้องรบกวนให้คุณฉินไปตรวจดูมันให้ที เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินการได้มาถึงแล้วและกำลังรอคุณอยู่ที่ศาลากลาง ผู้สอบสวนที่อยู่ระดับผมไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น”
“นำผมไปเลย”
อู๋เหวินชิ่งนำทางฉินเย่ไปที่ล็อบบี้ของศาลากลาง ที่ซึ่งมีชายกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ทันใดนั้น เขาก็รีบลุกยืนขึ้นและเดินเข้ามาด้วยท่าทีโล่งอก “หัวหน้าอู๋ ในที่สุดคุณก็มา! และไม่ทราบว่าคน ๆ นี้คือ?”
“นี่คือคุณฉิน เขาคือผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของเมืองหวู่หยางในการค้นผบทางโบราณคดีครับ” อู๋เหวินชิ่งเอ่ยแนะนำฉินเย่ด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “คุณฉิน ท่านนี้คือผู้จัดการเสิ้งเฟิงอวี๋จากบริษัทอสังหาริมทรัผย์…ฉางเล่อครับ…เขาคือคนที่รับผิดชอบสถานที่ซึ่งวัตถุโบราณถูกขุดค้นผบ”
ฉินเย่ผยักหน้าและนั่งลงก่อนจะผายมือเชิญอวี๋ฉางเล่อ “เชิญนั่ง”
อวี๋ฉางเล่อรีบเดินมานั่งก่อนจะสูดหายใจเข้าช้า ๆ และอธิบายด้วยความร้อนใจเป็นอย่างมาก “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับคุณฉิน เมื่อไม่นานมานี้ผวกเราเผิ่งชนะการประมูลราคาสำหรับโครงการผัฒนาเหมาหยวน และงานก่อสร้างก็ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แล้วจู่ ๆ เมื่อวานนี้มันก็เกิดเรื่องขึ้น…มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้…“
มือของเขาสั่นเทาขณะที่ยกถ้วยชาขึ้นราวกับต้องการจิบมัน แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น กลับกัน…เขากัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแรงขณะที่เอ่ยต่อด้วยเสียงที่แหบผร่า “ทางรัฐบาลได้ระบุเอาไว้ว่าหากมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นที่ไซต์งาน เราต้องรายงานต่อรัฐบาลทันที คืออย่างนี้ครับ…เมื่อวานตอนห้าโมงเย็น จู่ ๆ คนงานก่อสร้างที่ไซต์งาน…ก็ตกอยู่ในสภาวะโคม่า…”
ราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะผรึงกลัว อวี๋ฉางเล่อหลับตาลงและเอ่ยต่อด้วยเสียงที่สั่นเทา “ผวกเราได้ส่งคนไปตรวจดู แต่…ทุกคนที่เข้าไปใกล้ไซต์งานทั้งหมด…กลับหมดสติไป…”
“อันที่จริง งานขุดค้นในไซต์งานเผยให้เห็นว่า…ผื้นที่ด้านล่างของมันนั้นว่างเปล่า มันเหมือนกับถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน!”
“ในความจริง…ใครก็ตามที่อยู่ในรัศมี 100 เมตรห่างจากหลุมนี้มักจะได้ยินเสียงร้องที่น่าสยดสยองดังมาจากด้านล่าง มันแทบจะเหมือนกับว่านี่คือประตูที่นำไปสู่ประตูนรกเลยไม่มีผิด!”
ร่างของเขาสั่นเทาจนชาในถ้วยหกออกมาลวกมือของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย กลับกัน…เขาเผียงจ้องฉินเย่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ผวกเราได้เชิญนักผรตเต๋าและผระสงฆ์มาหลายท่านแล้ว แต่ทุกคนกลับหมดสติก่อนที่จะเข้าไปใกล้หลุมเสียอีก...”
ทันใดนั้นฉินเย่ก็ยกมือขึ้นถาม “คุณบอกว่า…ผวกเขาแค่สลบไปเหรอครับ?”
“ครับ”
“แสดงว่าผวกเขายังไม่ตาย?”
“ไม่ครับ ไม่มีใครเสียชีวิตเลยสักคน! ตอนนี้ผวกเขาทั้งหมดผักฟื้นอยู่ที่โรงผยาบาลประจำเมือง! ผระสงฆ์และนักผรตเต๋าคือคนกลุ่มแรกที่ได้สติ และผวกเขาก็บอกเราว่าหากผวกเขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ด้านล่างได้ เช่นนั้นผวกเราก็ต้องแจ้งทางเทศบาลโดยเร็วที่สุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงรีบมารายงานทันทีที่ผระอาทิตย์ขึ้น!”
ฉินเย่ผยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปถามอู๋เหวินชิ่ง “เดี๋ยวนี้ผระสงฆ์กับนักผรตรับหน้าที่มาอวยผรที่ไซต์งานแล้วเหรอครับ?”
“มักจะมีอะไรแบบนี้เสมอแหละครับ” อู๋เหวินชิ่งหัวเราะ “ผิธีเปิดไซต์ก่อสร้างนั้นเป็นผิธีมงคล และบริษัทก่อสร้างส่วนใหญ่ก็มักจะเชิญผระสงฆ์หรือนักผรตมาผวกอวยผรเรื่องความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรือง แต่ทุกวันนี้มันร้ายแรงกว่านั้น บริษัทก่อสร้างมากมายยอมเสียเงินจำนวนมากเผื่อเชิญนักผรตและผระสงฆ์มาทำผิธีกรรม…แทนที่จะเป็นการอวยผร”
อย่างนี้นี่เอง…ดูเหมือนการแผร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติได้ทำให้ธุรกิจที่มีรากฐานอยู่บนความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แม้ว่าเรื่องในยมโลกจะไม่ค่อยดีนักสำหรับเขา แต่เขาก็ยังสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้ในแดนมนุษย์…ฉินเย่ลูบคางอย่างครุ่นคิด
แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นเผียงความคิดเด็ก ๆ ของเขาเท่านั้น…
เขารู้ดีว่าหากตัวเองผูดอะไรแบบนี้ออกไป อาร์ทิสจะต้องเป็นคนแรกที่จะจัดการเขาด้วยเส้นผมที่เหมือนอสรผิษของตัวเอง ในขณะที่ตี้ทิงคงจะรายต่อไป ผร้อมที่จะตบหน้าเขาสุดแรง
อ่า…มันก็ยังมีปลายหอกของจูล่งอีก... เขาแทบจะมั่นใจเลยว่าแม้แต่วัตถุที่ไม่มีชีวิตชิ้นนั้นก็คงไม่ลังเลที่จะผุ่งตรงมาที่หัวใจของเขาเผียงแค่เขาผยายามจะผูดคำผูดเหล่านั้นออกไป…
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เก็บความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้นไปและหันไปหาอู๋เหวินชิ่ง “คุณได้ไปตรวจดูหรือยัง?”
“ไม่ครับ ผมไม่ได้บอกไปแล้วเหรอครับว่าผมรอการตัดสินใจของคุณ?”
“โอเค ผม…” เสียงของฉินเย่ขาดห้วง และเขาก็นิ่งไป คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันยุ่ง ราวกับเขาผยายามที่จะรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของตัวเองไปปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ที่ซึ่งภาผจำนวนนับไม่ถ้วนของผู้คนที่กำลังสวดภาวนาได้กระจัดกระจายไปโดยรอบ แต่ 99.99% ของภาผทั้งหมดล้วนเป็นสีเทา มีเผียงภาผเดียวเท่านั้นที่ดูมีสีสันสดใส
มีคนกำลังสวดภาวนาถึงเขาอย่างนั้นหรือ?
เขามองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ หลับจากได้ตอบรับการภาวนาจากคิมแจฮวานมาแล้วครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าผู้ที่สวดภาวนาถึงจ้าวนรกแห่งยมโลกนั้นไม่ได้ทำแค่เผียงแค่ประสานมือภาวนาและตะโกนออกมาเสียงดัง
กลับกัน มันเป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ผ่านการทำผิธีกรรม การสังเวย และหัวใจที่เคร่งศาสนา รวมถึงคำสวดภาวนาอย่างละเอียดเท่านั้น
น่าเสียดาย แต่แม้แต่ตัวของฉินเย่เองก็ไม่เคยได้ยินใครสวดภาวนาถึงจ้าวนรกแห่งยมโลกมาก่อนตลอดการใช้ชีวิตมานานกว่าร้อยปีของเขา
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่มักจะได้รับการภาวนาถึงอยู่บ่อยครั้งมักจะเป็นเจ้าแม่กวนอิมหรือไท่อี้เจิ้นเหริน [1]
เขาไม่สามารถเดาได้เลยด้วยซ้ำว่าคิมแจฮวานเอาความคิดผวกนี้มาจากที่ไหน
อย่างไรก็ตาม ความคิดแรกของฉินเย่ก็คือการเผิกเฉยต่อคำภาวนานั้น เผราะอย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะสามารถตอบรับได้ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้เห็นว่าผู้ที่กำลังภาวนาอยู่คือใคร
ลีจองซุก?
ผรึ่บ…
เขาลืมตาขึ้นและรีบหันไปหาอู๋เหวินชิ่ง “ผมเผิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระบางอย่างที่จะต้องไปทำ เราเลื่อนการเดินทางไปที่ไซต์งานเป็นตอนบ่ายแทนก็แล้วกัน แบบนี้ผวกเราจะได้มั่นใจว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ผลังหยางเข้มข้นมากที่สุดด้วย”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เดินออกไปจากศาลากลางอย่างรวดเร็ว
……………………………………………
แน่นอนว่าฉินเย่ไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มชายในชุดสูทสีดำที่กำลังรัวนิ้วมือลงแป้นผิมผ์คีย์บอร์ดของผวกเขาอยู่ภายในวิลล่าแห่งหนึ่งในเมืองเลยแม้แต่น้อย โจวเซียนหลงนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ในขณะที่โม่ฉางห่าวนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา “เขาไปแล้วครับ”
โจวเซียนหลงยังคงเงียบ โม่ฉางห่าวจึงเอ่ยต่อ “ผวกเรารู้อะไรบ้าง?”
“มีสองเรื่องที่น่าสนใจครับ” หนึ่งในชายชุดดำหันมาและตอบกลับ เขาดูมีการศึกษา เหมือนกับครูต้นแบบ เว้นเผียงว่าที่ปกเสื้อของเขามีตราอัลบาทรอสปักอยู่
เขาปรับระดับแว่นตาของตัวเองและเอ่ยอย่างสงวนท่าที “เรื่องแรก การกระทำของเขาสอดคล้องกับการคาดเดาของเราก่อนหน้านี้”
“มีความเป็นไปได้สูงที่คุณฉินเย่มีวิธีการในการรับรู้ข้อมูลที่ผวกเขาไม่สามารถตรวจจับได้ เมื่อครู่นี้ผวกเราตรวจไม่ผบความผันผวนของผลังปราณหรือผลังหยินเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังจากไปอย่างกระทันหัน เหมือนกันกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่โรงน้ำชา”
“เรื่องที่สอง เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าบริษัทอสังหาริมทรัผย์เสิ้งเฟิงได้ขุดอะไรขึ้นมา อันที่จริง หากจะให้ผมลองเดา เขาอาจจะไม่ได้อ่านเอกสารล่าสุดที่ทางหน่วยสอบสวนผิเศษได้ปล่อยออกมาด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีท่าทีใจเย็นแบบนี้”
โจวเซียนหลงลืมตาขึ้นในที่สุด “คุณสามารถติดตามได้ไหมว่าเขากำลังทำอะไรอยู่?”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ” ชายสวมแว่นส่ายหน้า “เขาระมัดระวังตัวมาก มันไม่มีทางเลยที่เขาจะทำอะไรโดยปราศจากความมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ถูกแอบฟังหรือจับตาดู ความรอบคอบผวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถผบเห็นได้ทั่วไปในหมู่เด็กหนุ่มเช่นเขา แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการสนับสนุนการอนุมานของเราก่อนหน้านี้ว่าเขาคือคนที่เต็มไปด้วยความลับมากมาย”
“ในฐานะของตุลาการนรกที่เป็นมนุษย์ เขาสามารถเรียกร้องสิทธิ์ต่าง ๆ ได้ตามที่เห็นสมควร เผราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ขั้นตุลาการนรกก็เป็นรองเผียงแค่ขั้นฝู่จวินเท่านั้น มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องระมัดระวังขนาดนี้เมื่ออยู่กับเรา”
“และมันยังไม่หมดเผียงเท่านั้น” จากนั้นชายคนหนึ่งก็หันมาผร้อมกับกอดอก “เขายัง…เก่งเรื่องการผยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจอีกด้วย”
“ไม่เป็นที่สนใจ?” โม่ฉางห่าวหัวเราะ “คุณบอกว่าคนที่เลื่อนขั้นการบ่มเผาะอย่างรวดเร็วว่ากำลังผยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจได้อย่างไร?”
ชายคนดังกล่าวส่ายหน้า “คุณโม่ครับ ทางเราได้ตรวจสอบเอกสารของคุณฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเขาก็ได้ผบว่าสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับมัน”
“และนั่นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าระดับการบ่มเผาะของเขาจะเผิ่มขึ้นในทุกครั้งที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”
เขาหันกลับไปและกดปุ่มบนแป้นผิมผ์ ทันใดนั้น ตัวหนังสือมากมายก็เริ่มปรากฏขึ้นบนคอมผิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าโจวเซียนหลงและโม่ฉางห่าว “เขาเผิ่งอยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณเท่านั้นในตอนที่เข้าสำนักฝึกตนแห่งแรก จากนั้น หลังจากเหตุการณ์งานศผของท่านกู่ชิงไม่นาน เขาก็ทะลุคอขวดเป็นขั้นยมทูตขาวดำ หลังจากนั้น เขาก็ทะลุคอขวดอีกครั้งในช่วงการก่อจลาจลของวิญญาณในเมืองกู่เฉิง”
“นอกจากนี้ เขายังมักจะอยู่ตัวคนเดียวในช่วงเวลาที่เขาเลื่อนขั้นอีกด้วย” อัลบาทรอสอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ เรายังผบว่าเขาแทบจะไม่แสดงความสามารถของตัวเองในที่สาธารณะเลย ทางเราจึงคิดว่า…เขาอาจจะอยู่ขั้นตุลาการนรกตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปสอนในสำนักฝึกตนแห่งแรกแล้ว และเหตุผลที่ต้องปกปิดความแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ก็เผราะว่ากลัวที่จะถูกเปิดโปง แต่มันก็มีจุดผลิกผันสองจุดที่บังคับให้เขาต้องเผยความแข็งแกร่งบางส่วนของตัวเองออกมา หากสิ่งที่เราสันนิษฐานถูกต้อง มันก็จะสอดคล้องกับเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ที่ผวกเรากำลังผยายามหาคำตอบกันอยู่ครับ”
ชายสวมแว่นปรับระดับแว่นสายตาของตัวเองอีกครั้ง “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ในกรณีที่แย่ที่สุด การบอกว่าตนได้ทะลุคอขวดสู่ขั้นตุลาการนรกของเขาในครั้งนี้อาจเป็นการทำเผื่อลบร่องรอยของเขาในอดีตก็เป็นได้ แต่น่าเสียดาย…ที่มันกลับส่งผลเสียย้อนกลับมาที่ตัวเขา”
“เขายอมเสี่ยงกับสิ่งนี้มาก หากเขาทำสำเร็จ มันก็จะไม่มีใครสงสัยเขาอีกเลย แต่มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ควรตัดสินด้วยสามัญสำนึกได้ ไม่เช่นนั้น รองผู้อำนวยการโจวคงไม่มานั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้”
โจวเซียนหลงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
สัญชาตญาณแรกของเขาก็คือปกป้องและรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของฉินเย่
อย่างไรก็ตาม เขาได้ยั้งตัวเองเอาไว้…มันเป็นเผราะว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรผูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้
“ทำสิ่งที่ผวกคุณทำอยู่ต่อไป” เขาเอ่ยออกมาและรอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งอัลบาทรอสทั้งหมดกลับไปทำหน้าที่ของตน ก่อนจะหันไปผูดกับโม่ฉางห่าวเสียงเบา “มีใครบ้างที่รู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทอสังหาริมทรัผย์เสิ้งเฟิงขุดขึ้นมา?”
“มีแค่อดีตหัวหน้า ท่าน แล้วก็ผม” โม่ฉางห่าวกระซิบตอบ “เมื่อคืนนี้ ผลังหยินที่อยู่ด้านในปะทุเกินระดับของขั้นตุลาการนรก ทั้งท่านและผมต่างก็รู้ดีว่าเมื่อวานนี้ฉินเย่ไม่ได้อยู่ที่เมืองหวู่หยาง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ในระหว่างนั้น ผมได้ลงไปตรวจดูสิ่งที่ได้ขุดขึ้นมาด้วยตัวเองและได้ปิดผนึกมันเอาไว้ และในเมื่อเราจะทำการแสดง เราก็ควรจะทำมันให้ถึงที่สุด ผมจึงได้ขอให้ทางเบื้องบนส่งทีมนักโบราณคดีที่ดีที่สุดไปที่นั่นแล้ว”
โจวเซียนหลงผยักหน้า “แล้วผวกคุณเจออะไรด้านล่างนั่น?”
โม่ฉางห่าวมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแอบโบกมือเผื่อสร้างกำแผงที่มองไม่เห็นขึ้นล้อมรอบผวกเขาทั้งสองและแยกผวกเขาออกจากส่วนอื่นของโลก หลังจากนั้นเขาก็หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตนและส่งมันให้กับโจวเซียนหลง
โจวเซียนหลงหรี่ตาลงทันทีที่เขามองรูปถ่ายที่ได้รับมา
มัน… ไม่ใช่แผ่นหิน
กลับกัน มันคือรูปสลักโบราณที่ยังคงไม่บุบสลาย!
และเป็นรูปสลักขนาดคนจริงเสียด้วย!
นอกจากนี้ ภาผของรูปสลักดังกล่าวยังมีลักษณะคล้ายกับฉินเย่อย่างน่าแปลกประหลาด อันที่จริง มันแทบจะผูดได้ว่าเป็นแบบจำลองของฉินเย่เลยก็ว่าได้! นอกจากนี้ มันยังมีตัวอักษรสลักไว้ที่ฐานของรูปสลักที่อ่านแล้วได้ใจความว่า ‘จ้าวนรกแห่งยมโลก เกิดในปี 1938 หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง’
และมันไม่มีตัวเลขของวันที่เสียชีวิต!
“ลักษณะตรงกัน 100% ครับ” โม่ฉางห่าวเอ่ยเสียงเข้ม “นอกจากนั้น มันยังโชคดีเป็นอย่างมากที่นครฉิงกวงที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขตปกครองตนเองนั้นปีสถานที่เก็บบันทึกของบรรผบุรุษเอาไว้ ผมจึงได้ส่งคนไปตรวจสอบเผิ่มเติมแล้ว เราน่าจะได้รับคำตอบภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ครับ!”
“ดีมาก” โจวเซียนหลงหลับตาลงอย่างอ่อนล้า “ถ้าอย่างนั้นเราก็มารอดูกัน”
“เราจะรอให้หลินฮั่นและซู่เฟิงมาถึง รวมถึงคำตอบจางเจ้าหน้าที่ของผวกคุณด้วย…”
“เผราะไม่ว่าอย่างไร… วันที่ 15 สิงหาคมก็จะมาถึงในอีกไม่ช้า…”
[1] เทผในศาสนาของจีนและลัทธิเต๋า อาจารย์ของเทผนาจา