ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 495 : 8 วัน (1)
บทที่ 495 : 8 วัน (1)
เมืองหวู่หยาง ฉินเย่ลืมตาขึ้นภายในห้องน้ำศาลากลาง
เขาขมวดคิ้วยุ่ง ในวินาทีที่จิตใต้สำนึกของเขาถูกตัดขาด เขาเห็นปีศาจสองตนยืนอยู่ข้าง ๆ ลีจองซุก
ทั้งสองแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!
ในความเป็นจริง พวกเขาแข็งแกร่งเสียจนเขาไม่แน่ใจว่าอาร์ทิสจะสามารถสู้กับทั้งคู่ได้หรือเปล่า? พวกเขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหลิวอวี้ แต่มันก็คงไม่ต่างกันนัก นอกจากนี้ เขา ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าทั้งคู่แต่งตัวเหมือนกับวิญญาณญี่ปุ่น
“นี่นาง…ขอให้เราช่วยอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ลูบคางของตนและเดินออกจากห้องน้ำ ตรงไปที่อ่างล้างมือและเริ่มล้างมือของตน นางถูกจับตัวไปโดยวิญญาณร้ายสองตนนั้นอย่างนั้นหรือ? แล้วที่นางพูดถึงวิญญาณที่หิวโหยม มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ราชาผีแห่งพิภพเปรต? ไม่…นางไม่น่าจะรู้อะไรเรื่องนั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริง นางจะต้องหมายถึงเทศกาลวันสารทจีนอย่างแน่นอน…
แต่อะไรล่ะ? อีกฝ่ายจะทำอะไร?
ทำไมทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน?
ไม่นานเด็กหนุ่มก็ส่ายหน้าและขับไล่ความคิดทั้งหมดออกไปจากหัว ตอนนี้มีข้อมูลมากเกินไป วิญญาณญี่ปุ่นพวกนั้นฉลาดมาก พวกเขาไม่ให้โอกาสให้นางได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น แต่ถึงกระ ะนั้น เขาก็น้อมรับคำวิงวอนของนาง
มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกโรแมนติกใด ๆ ทั้งสิ้น… มันน่าจะเรียกว่าความเชื่อใจระหว่างวิญญาณมากกว่า
เพราะอย่างไรแล้ว นางก็เหมือนเขา และมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่จะเข้าใจว่าเขาจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง ในความเป็นจริง มีเพียงผู้ที่มีประสบการณ์เหมือนกับพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถเ เห็นอกเห็นใจและให้คำแนะนำแก่กันและกันได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เดินออกจากห้องน้ำ อู๋เหวินชิ่งเดินออกมาหาเขาด้วยรอยยิ้มจริงใจทันทีที่เขาก้าวออกมา “คณะกรรมการผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เสิ้งเฟิงได้แจ้งว่าพว วกเขาต้องการหยุดงานจนกว่าการสืบสวนจะเสร็จสิ้น ผมได้แจ้งทางเบื้องบนของหน่วยสอบสวนพิเศษแล้ว และพวกเขาขอให้คุณไปตรวจดูที่นั่น และบอกมุมมองเบื้องต้นของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ค ครับ นอกจากนี้ คุณยังสามารถดำเนินการตามดุลพินิจของคุณได้เลย”
ฉินเย่ค่อนข้างหงุดหงิดกับเมื่อได้ยินเช่นนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้คือเทศกาลที่ยิ่งใหญ่อย่างเทศกาลวันสารทจีนที่กำลังจะมาถึง เพราะว่านั่นคือเวลาที่ราชาผีแห่งพิภพอสูรจะเดินทางไปที่โลกใต้พิภพ เขาจะต้องทำ ำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อยกระดับสิ่งต่าง ๆ ขึ้นไปอีกขั้นในงานเทศกาลนี้! แล้วเขาจะเอาเวลามาสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการขุดค้นวัตถุโบราณได้อย่างไรกัน?
แต่น่าเสียดาย…นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเมินเฉยได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา
“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปจัดการกันเถอะครับ” เขาส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจและกวักมือเรียกอู๋เหวินชิ่ง
“ได้ครับ…ทางเราได้เตรียมรถไว้พร้อมแล้ว”
เมืองหวู่เฉิงไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก มันเป็นเพียงเมือง ๆ หนึ่งที่รับการพัฒนาให้มีชื่อเสียงในเรื่องของความงดงามริมทะเล แต่น่าเสียดายที่วิลล่าส่วนใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดไม่สา ามารถขายได้เนื่องจากการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ กลับกัน…อสังหาริมทรัพย์ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกลับเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับศาลากลาง เนื่องจากพวกเขามัก กจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่ออยู่ใกล้กับอาคารของรัฐ มันเป็นเรื่องของจิตวิทยา ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในประโยชน์เพียงไม่กี่อย่างที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ จึงอาจจะเป็นการทำลายภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ด้านอสังหาริมทรัพย์และทำให้ทางรัฐบาลมีโอกาสในการจัดระเบียบใหม่อีกครั้ง
พวกเขาขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังไซต์งานของโครงการพัฒนาเหมาหยวนทันที ในขณะที่ฉินเย่ก็หลับตาลงเพื่อพักสายตา หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที ฉินเย่ก็ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ รถ ก่อนจะตะโกนออกมาสุดเสียง “หยุดรถ!!”
รถที่พวกเขานั่งอยู่หยุดลงในทันที และอู๋เหวินชิ่งก็ถามด้วยความตกใจ “มีอะไรครับคุณฉิน?”
แต่ฉินเย่กลับนิ่งเงียบ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ละสายตามามองอีกฝ่าย “คุณไม่เห็นเหรอ?”
“เห็นอะไรครับ?” อู๋เหวินชิ่งงุนงง
ฉินเย่ไม่ได้ตอบออกมาโดยตรง กลับกัน เขาเมินเฉยต่อคำถามที่อู๋เหวินชิ่งถามตนเองและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “นั่นคือทางไปโครงการพัฒนาเหมาหยวนใช่ไหม?”
“ครับ…คุณรู้ได้ยังไง?”
ฉินเย่สูงหายใจเข้าช้า ๆ และระงับเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ บริเวณขมับของตนเอง “ขับรถเถอะ รีบมุ่งหน้าไปที่นั่นให้เร็วที่สุด”
รถเคลื่อนตัวออกไปทันที และอู๋เหวินชิ่งก็ยังคงงุนงงกับปฏิกิริยาของฉินเย่เป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าความสนใจของฉินเย่ยังคงจับจ้องไปที่ท้องฟ้าเหน นือพื้นที่โครงการพัฒนาเหมาหยวน
ในสายตาของเขา ท้องฟ้าด้านบนได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มโดยสมบูรณ์!
ในความเป็นจริง ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ด้านบนนั้นดูไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำที่นิ่งสงบเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่จุดสีแดงค่อย ๆ ถูกเติมลงไป ก่อนจะแพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ จากนั้น ขณะที่ สีแดงค่อย ๆ แต่งแต้มไปทั่วท้องฟ้า มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่!
และมันยังเป็นกระแสน้ำวนที่กลับหัวอีกด้วย ฐานของมันมีขนาดใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ เล็กลงเมื่อพุ่งสูงขึ้น และไซต์งานของโครงการพัฒนาเหมาหยวนก็อยู่ด้านล่างของมันอย่างพอดิบพอดี !
พรึ่บ…!
ในขณะที่ฉินเย่กำลังมองขึ้นไปบนฟ้า เงาดำมากมายก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าราวกับกระแสคลื่นในท้องทะเล ปะทะและหมุนรอบกระแสน้ำวนอย่างน่าขนลุก
ร่างดำมืดเหล่านี้คือนกส่งสารที่เกิดจากพลังหยิน ดวงตาสีแดงที่เป็นประกายดูเหมือนจะเชื่อมต่อกันจนเป็นแม่น้ำแห่งวิญญาณ
ให้ตายเถอะ…
ฉินเย่ละสายตาและเริ่มยกมือขึ้นคลึงขมับของตนเอง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน?! ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเขาจะได้พักได้อย่างไร? ทำไมสิ่งเหล่านี้มันถึงชอบเกิดขึ้นรอบตัวเขากัน?!!
พลังหยินมารวมตัวกันอีกในพื้นที่นี้…สูงกว่าทุกที่ที่เด็กหนุ่มเคยเจอมา
อันที่จริง…เขาสามารถบอกได้เลยว่าค่าพลังหยินโดยรวมนั้นสูงเกินกว่าค่าพลังหยินของตี้ทิงเสียอีก!
มันคือม้ามืดในหมู่วิญญาณทั้งหมด สิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง…
นี่มันบ้าอะไรกัน?! แล้วทำไมมันถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นในตอนที่เขากลับมาก่อนหน้านี้? ทำไมมนุษย์พวกนี้ถึงไม่สามารถตรวจจับมันได้?
เอี๊ยดดดด…!
ในวินาทีนั้นเอง รถก็หยุดลง พวกเขาได้มาถึงไซต์งานโครงการพัฒนาเหมาหยวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างของฉินเย่พลันถูกห้อมล้อมไปด้วยคลื่นพลังหยินที่เข้มข้นและหนาแน่นจนไม่น่ าเชื่อทันที!
งานทั้งหมดถูกหยุดเอาไว้ชั่วคราว และอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดก็ถูกนำออกไป ทันทีที่ฉินเย่ไปถึง เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่มีตราของหน่วยสอบสวนพิเศษปักอยู่บนเสื้อก็รีบเดินออกมา ต้อนรับเขาทันที
“สวัสดีครับหัวหน้า” “ยินดีที่ได้พบคุณครับ!” ภายในไม่กี่วินาที เจ้าหน้าที่สืบสวนหลายคนเดินเข้ามาทักฉินเย่ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็แทบจะไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนี้มากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้น นี่คือปรากฏการณ์วิญญาณที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยเห็น แม้แต่การแสดงพลังขั้นตุลาการนร รกของอาร์ทิสก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถเทียบกับสิ่งนี้ได้เลย แต่ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์ที่น่ากลัวนี้กลับไม่ได้สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้เขาเลยแม้แต่น้อย…เขากลับรู้สึกคุ้นเคย กับมันอย่างน่าประหลาด
น่าเสียดาย…แต่เขากลัวคำตอบแบบนั้นมากที่สุด เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว เขาเองก็มีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่แถวนี้เช่นกัน
อู๋เหวินชิ่งคือคนแรกที่สังเกตได้ถึงความเงียบที่ผิดปกติของฉินเย่ “คุณฉินครับ?” ฉินเย่เพียงเดินเข้าไป และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ก็เดินตามเข้าไปติดๆ
ด้านนอกของไซต์งานถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วสูง
ไซต์งานส่วนใหญ่มักจะถูกล้อมรอบด้วยรั้วพลาสติกพร้อมกับป้ายขนาดใหญ่ที่ระบุว่าพื้นที่ปิดล้อมนี้เป็นพื้นที่ก่อสร้างและเตือนผู้บุกรุกทั้งหมด แต่พื้นที่ก่อสร้างตรงหน้าของเขา กลับแตกต่างออกไป แทนที่จะถูกล้อมด้วยที่กั้นพลาสติก แต่ตอนนี้มันกลับถูกล้อมไปด้วยรั้วไม้
หากพูดกันตามความจริง แผ่นไม้ตรงหน้าก็ดูไม่ธรรมดาเช่นกัน พวกมันถูกเสริมด้วยวัสดุอื่น ๆ ที่ทำให้มันดูเก่าและมืดมน ในขณะที่บนผิวของไม้ถูกสลักด้วยลวดลายต่าง ๆ ไม่ว่าจะ ะเป็นภาพของจงขุยที่กำลังจับกุมวิญญาณ พระราชวังของยมโลก และแม้แต่ขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 หากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่ามีพลังงานสีดำที่ไหลเวียนอยู่ตามแผ่นไม้ด้านใน นอ อกจากนี้ ด้านนอกของรั้วยังถูกล่ามไว้ด้วยสายโซ่หนาที่ถูกติดด้วยยันต์กระดาษอีกทบหนึ่ง
มันถูกผนึกแล้ว เขาต้องชื่นชมอู๋เหวินชิ่งสำหรับการดำเนินงานอย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายเลยจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถปิดผนึกสถานที่ได้ดีขนาดนี้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่นั้นไ ไม่สำคัญ…
ฉินเย่เตะหินที่อยู่ใกล้ ๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาเริ่มมีความรู้สึกว่า…บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นที่นี่
หากเป็นไปได้ เขาไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานเกินไป…
แต่น่าเสียดาย…เขาไม่สามารถละทิ้งความรับผิดชอบไปต่อหน้าต่อตาของคนทั้งหมดได้
ทันใดนั้น สายโซ่ก็สั่นเบาๆ
มันถูกเปิดออก
รั้วไม้ตรงหน้าของเขามีความสูงมากกว่าสองเมตร และประตูของมันก็มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับประตูของคฤหาสน์ ในวินาทีที่โซ่ทั้งหมดสั่นไหว แผ่นยันต์ที่ติดเอาไว้ก็ตกลงกับพื้น หลังจา ากนั้น มือข้างหนึ่งก็ค่อยๆดึงประตูจากอีกด้านหนึ่งของรั้วและเปิดมันพร้อมกับเสียงเอี๊ยดเบาๆ
ร่างดำทะมึนลอบมองออกมาจากอีกด้านหนึ่งของช่องว่างตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ หดกลับไปราวกับศพเก่าในหมู่บ้านที่รกร้างบนภูเขา
เงียบสนิท…
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงและก้าวถอยหลังออกไปพร้อมกัน
ดวงตาของฉินเย่วูบไหวเบา ๆ เขานั้นคุ้นเคยกับการสังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหาร่องรอยของสิ่งเหนือธรรมชาติ ดังนั้นในขณะที่คนอื่น ๆ อาจจะกำลังสนใจอยู่กับแผ่นไม้ เขา กลับสังเกตเห็นว่าร่างที่อยู่ด้านในกำลังยื่นมือออกมาด้านนอกก่อนจะหดกลับเข้าไปด้านในตามเดิม
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสังเกตเห็นว่าร่างดังกล่าวไม่มีเงาเลยสักนิด ไม่ว่าจะจากมือหรือร่างกาย!
แม้มันจะเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบกลับให้ความรู้สึกน่าขนลุกราวกับการเปิดตู้เสื้อผ้าต้องสาปภายในบ้านอันมืดมิดไม่มีผิด…
“ใครอยู่ในนั้น?” ฉินเย่ถามเสียงต่ำ
“คุณฉิน…” อู๋เหวินชิ่งลอบกลืนน้ำลายอย่างวิตกกังวล “ไม่มีใครอยู่ในนั้นครับ…”
“ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลยแม้แต่คนเดียว…”
“นี่คือไซต์งานที่ได้รับการจัดสรรค์ให้เป็นสถานที่พิเศษ และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านในเว้นแต่ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุด…”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และมองไปยังรอยแยกระหว่างประตูไม้ตรงหน้า
ถ้าหากเป็นอย่างนั้น…แล้วใครกันที่เป็นคนเปิดประตู?
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าเกาะกุมจิตใจของทุกคนที่ได้เห็นภาพอันแปลกประหลาดนั้น และพวกเขาทั้งหมดก็หันไปมองฉินเย่พร้อมกัน
ฉินเย่สงบสติอารมณ์ของตนเองก่อนจะเอ่ยว่า “ผมจะเข้าไปตรวจสอบสักหน่อย พวกคุณรออยู่ข้างนอกก็แล้วกัน”
จากนั้น เขาก็พุ่งผ่านรอยแยกเข้าไปด้านในก่อนที่คนอื่น ๆ จะทันได้ตอบ
เขาก้าวเท้าข้ามระยะทางหลายร้อยเมตรภายในชั่วพริบตา และจากนั้น ทันทีที่เขาเข้าไปด้านในรั้วไม้ ประตูบานใหญ่ก็ปิดลงเสียงดัง
เงียบ
ความเงียบที่น่าขนลุก
เสียงของรถที่สัญจรไปมาหรือเสียงของผู้คนที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถทะลุผ่านรั้วไม้ที่กั้นอยู่ได้เลย มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาได้ก้าวผ่านประตูที่นำมาสู่นรก
นอกจากนี้…เขายังไม่เห็นใครเลยสักคน…
มันแทบจะเหมือนกับว่าร่างที่เขาเจอก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา
พื้นที่ซึ่งถูกปิดล้อมด้วยรั้วไม้นั้นเป็นพื้นที่ก่อสร้างอย่างแน่นอน เหล็กเส้นจำนวนมากถูกปักและวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่าเพื่อที่จะสร้างรากฐานสำหรับการพัฒน นาในขั้นตอนต่อไป แต่สิ่งที่อยู่ด้านล่างของเหล็กเส้นพวกนี้กลับไม่ใช้พื้นดินที่มั่นคง แต่มันกลับเป็น…เหวลึก!
และนี่ก็ครอบคลุมพื้นที่แทบจะทั้งหมดของไซต์งาน อีกนัยหนึ่งก็คือ นี่คือเหวลึกที่มีความกว้างมากกว่าหมื่นเมตร!
กลุ่มก้อนพลังสีดำหลั่งไหลออกมาจากด้านล่าง หมุนวนขึ้นไปสู่ท้องฟ้าด้านบน ที่ซึ่งพวกมันก่อตัวเป็นนกส่งสารพลังหยินที่จะบินเข้าไปในกระแสน้ำวน บดบังดวงอาทิตย์ราวกับกระแสน้ำส สีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กลับถูกบดบังจากสายตาของมนุษย์ธรรมดาโดยสมบูรณ์
แต่สิ่งที่แปลกที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าการมาถึงของเขาดูเหมือนจะทำให้นกส่งสารพวกนั้นบินเร็วขึ้นและร้องส่งเสียงอย่างดีใจมากกว่าเดิม
มันแทบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังต้อนรับการมาถึงของจ้าวนรกแห่งยมโลก และสิ่งที่อยู่ด้านล่างสุดของหลุมที่ดูไร้ก้นบึ้งก็หาใช่สิ่งใดอื่นแต่เป็นบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของเขา เอง
ช่วยเงียบเสียงหน่อยได้ไหม?! ข้ายังไม่อยากให้ตัวตนที่แท้จริงของข้าถูกเปิดเผยที่นี่!
ฉินเย่กัดฟันแน่นและเริ่มเดินไปตามเหล็กเส้นที่ต่อกันเพื่อที่จะสังเกตได้ถนัดตามากขึ้น เขามองลงไปด้านล่างผ่านช่องว่างระหว่างเหล็กเส้น แต่กลับได้เพียงแค่ถูกปะทะโดยสายลมเย็ นยะเยือกที่พัดขึ้นมาจากด้านล่าง
เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกดึงลงไปยังขุมนรกด้านล่าง มันแทบจะเหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเอื้อมออกมาจากด้านล่างและดึงเขา ลงไป
“นั่นมันบ้าอะไรกัน?” เขารู้สึกถึงความขัดแย้งบางอย่าง ในฐานะของขั้นตุลาการนรกของเมืองหวู่หยาง เขารู้ดีว่าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาตินั้นเป็นส่วนหนึ่งในหน้า าที่ของเขา แต่ถึงกระนั้นสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มกลับบอกว่าสิ่งที่อยู่ด้านล่างนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเขาเช่นนั้น
เด็กหนุ่มกำลังเผชิญหน้าเข้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาควรจะจัดการมันหรือไม่ควร?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและถ่ายวิดีโอเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้ไว้เป็นเวลากว่าห้านาทีเต็ม และยังรูปถ่ายอีกสิบกว่ารูป จากนั้น ขณะที่เ เขากำลังจะเดินจากไป มือของเขาก็สั่นเทาจนแทบจะทำโทรศัพท์หล่นมือ
เขาสาบานได้เลยว่าเขาได้ยิน…เสียงของใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่
ใครบางคนกำลังเรียกเขาจากด้านล่าง
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือขั้นตุลาการนรก ฉินเย่จึงรู็สึกกล้าขึ้นกว่าปกติ “เจ้าเป็นใคร?”
เสียงดังกล่าวเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ถึงกระนั้นมันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งขมขื่นและดีใจปะปนกัน “เจ้า…ไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งขณะที่เขาพยายามค้นความจำของตัวเองว่าเขาเคยได้ยินเสียงนั้นมาจากที่ไหน
ไม่กี่วินาทีต่อมา แววตาของเขาก็สั่นไหว จากนั้นเขาก็ชะโงกหน้าลงไปมองด้านล่างอีกครั้ง
นั่นมัน… เสียงของเขาเอง!
“เจ้าเป็นใคร?” ฉินเย่ถามอีกครั้งด้วยสายตาที่เคร่งขรึมอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้
“ข้า…คือเจ้า…” เสียงดังกล่าวฟังดูเหมือนกำลังหัวเราะและคร่ำครวญไปในเวลาเดียวกัน “เจ้ารู้หรือไม่…ว่าเหตุใดจ้าวนรกจึงถือกำเนิดขึ้น…?”
“มันคือ… โชคชะตา…”
“โชคชะตาของมนุษย์… และโชคชะตาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด…”
จากนั้นเสียงดังกล่าวก็ขาดหายไป…
ฉินเย่ยืนอยู่บนนั้นกว่าอีกสิบนาทีเต็ม รอคอยอย่างอดทนเพื่อให้ได้คำตอบมากกว่านี้ ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
สีหน้าของเขานิ่งเรียบจนน่ากลัว และไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็แค่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถรังแกข้าได้เพียงเพราะว่าข้าเป็นมือใหม่อย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าหาเรื่องผิดคนแล้ว”