ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 498: 8 วัน (4)
บทที่ 498: 8 วัน (4)
หลังจากที่ได้ร่ำเรียนอย่างหนักมาเป็นระยะเวลาหนึ่งปี แม้แต่คนที่โง่ที่สุดอย่างหวังเฉิงห่าวก็สามารถเข้าใจถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงที่มีต่อยมโลกได้ อันที่จริงมันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่านี่คือหนึ่งในสิ่งจำเป็นสำหรับโลกใต้พิภพทุกแห่งทั่วโลก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหล่าวิญญาณอย่างพวกเขาควรทำอะไรในขณะที่กำลังรอคอยการไปเกิดใหม่?
เมื่อปราศจากสิ่งบันเทิงหรือสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งต่อไปที่เหล่าวิญญาณจะทำก็คือการวางแผนสำหรับการก่อจลาจลหรือการก่อความไม่สงบครั้งต่อไป!
ด้วยเหตุนี้ สวนสนุกแห่งนี้จึงมีความสำคัญมากกว่าแค่การเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านของความบันเทิง แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของการปกครองของยมโลก รวมถึงการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความบันเทิงของเหล่าวิญญาณที่อยู่ในยมโลกตอนนี้อีกด้วย…
อีกทั้งมันยังประจวบเหมาะกับการเปิดใช้สกุลเงินใหม่ของยมโลก และการฉลองเทศกาลวันสารทจีนครั้งแรกในรอบร้อยปีของยมโลกอีกด้วย มันคือการประกาศกับเหล่าวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดในแดนมนุษย์ว่าพวกเขามีบ้านให้กลับ ยมโลกอาจจะยังไม่ได้แข็งแกร่งในแง่ของอำนาจทางการทหาร ดังนั้นมันจึงต้องหาวิธีอื่นในการสร้างความประทับใจเมื่อวิญญาณมาถึง และเมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว สวนสนุกแห่งนี้ก็เป็นตัวแทนของคำตอบของคำถามมากมายของยมโลก ดังนั้นพวกเขาจะยอมให้เกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงเบา “เศษตราจ้าวนรกทำให้ข้าสามารถเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ในยมโลกได้ตามแต่ที่ใจข้าต้องการ ดังนั้นตราบใดที่มันยังอยู่ในอาณาเขตของยมโลก ข้าจะพยายามกลับมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ เหล่าวิญญาณจะยิ่งมีระเบียบมากขึ้นเมื่อประตูนรกถูกเปิดออก ยิ่งกว่านั้น แดนมนุษย์คงไม่กังวลเรื่องนี้มากนัก ดังนั้นข้าเองก็คงไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลมากนัก”
แต่ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ หวังเฉิงห่าวกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขามองฉินเย่ก่อนจะถามออกไปว่า “ท่านพี่ฉิน…ท่าน…ยังใช้ชีวิตในแดนมนุษย์อยู่อย่างนั้นหรือ?”
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ท่านไม่คิดหรือว่า…มันไม่ค่อยเหมาะสม?”
“ไม่เหมาะสมอย่างไร?” เด็กหนุ่มวางถ้วยชาลง
หวังเฉิงห่าวลอบกลืนน้ำลายและเอ่ยต่อ “ท่านพี่ฉิน ท่านคือจ้าวนรกแห่งยมโลก! ท่านไม่คิดหรือว่ามันไม่เหมาะสมนักหากจะหายตัวไปจากงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้? ท่านวางแผนที่จะโยนทุกอย่างให้ท่านอรากษสหรืออย่างไร? กองกำลังชายแดนก็ยังไม่ได้รับการก่อตั้งขึ้น ดังนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่วิญญาณทั้ง 20 ล้านตนจะเข้าร่วมในงานครั้งนี้! ท่านคิดว่านางจะสามารถดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
หรือต่อให้นางสามารถทำได้ ท่านคิดว่านางจะว่าอย่างไรเมื่อทุกอย่างจบลง? พวกรัฐมนตรีจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับผู้นำของพวกเขา?
หวังเฉิงห่าวไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าหากยังสามารถตระหนักถึงคำถามเหล่านี้ได้ เช่นนั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่ฉินเย่จะไม่ตระหนักถึงมัน…
แต่ฉินเย่กลับไม่ตอบอะไร หวังเฉิงห่าวรอคำตอบจากอีกฝ่ายเป็นเวลากว่า 30 วินาทีก่อนจะเอ่ยต่อในที่สุด “หากท่านถามข้า… ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ท่านไม่ควรกลับไปที่แดนมนุษย์อีก…”
“มันไม่จำเป็นแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าแค่การมีนครเผิงชิวมันก็เพียงพอที่จะทำให้ท่านดำเนินแผนการต่อไปได้แล้วหรือ? ตอนนี้ท่านมีวิญญาณมากกว่า 20 ล้านตนอยู่ภายใต้การปกครอง และยังมีอะไรอีกมากมายให้ต้องทำ! มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ในแดนมนุษย์…”
“เจ้าไปพบกับอาร์ทิสมาหรือ?” ฉินเย่เอ่ยถามออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะถามจบ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยสายตาที่เหม่อลอย
“ปะ…เปล่า” หวังเฉิงห่าวชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของฉินเย่
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ “ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดเหมือนกัน… คิดว่าข้าควรจะอยู่ในยมโลก ใช่…ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่…ข้าแค่คิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่ายังไม่ถึงเวลา? ทั้งหมดที่ท่านต้องทำมีเพียงแกล้งทำเป็นว่าตัวเองตายแล้ว…”
“เพราะว่าข้ายังไม่อยากทำเช่นนั้น!” ฉินเย่ตะคอกสวนกลับไป “แน่นอน...ข้าไม่ได้คิดที่จะไม่รับผิดชอบ หลังจากที่ได้ตกลงแบกรับความรับผิดชอบต่อยมโลกในฐานะของจ้าวนรกองค์ที่สาม ข้าย่อมทำตามหน้าที่และทำในสิ่งที่ตัวเองสมควรทำ แต่หนึ่งหาง เจ้าไม่คิดหรือว่าอย่างน้อยพวกเจ้าก็ควรจะให้เวลาข้าในการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนบทบาทนี้บ้าง?”
“หนึ่งปี! นั่นคือทั้งหมดที่ข้าขอ! แต่ทำไมทุกคนถึงต้องบังคับให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์เดี๋ยวนี้เลยด้วย?!!”
ความโกรธของฉินเย่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด และเสียงของเขาก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาตบมือทั้งสอบข้างลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ลมหายใจถี่รัว แม้แต่ฝาของถ้วยชาก็ยังสั่นไปกับผลของการกระทำนั้น
หวังเฉิงห่าวอ้าปากเพื่อที่จะตอบ แต่เขาก็พบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก
เขากำลังจะเอ่ยค้านฉินเย่ กำลังจะบอกว่าระยะเวลาหนึ่งปีนั้นนานเกินไป นครเผิงชิวในเวลานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำ แต่มันกลับไม่มีใครสามารถหาตัวของฉินเย่ได้เมื่อพวกเขามีปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข หรือนโยบายที่ต้องได้รับการพิจารณา ทุกคนกำลังรอให้ฉินเย่ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเต็มตัว และมันอาจจะเกิดความผิดพลาดได้หากฉินเย่ไม่รีบทำอะไรสักอย่างเร็ว ๆ นี้
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่กล้าพูดต่อ
นี่คือความขัดแย้งระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชา เขาไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวฉินเย่ นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเสียสละเพื่อตัวเองหรือส่วนรวม เขารู้ดีว่านี่คือการตัดสินใจที่ฉินเย่จะต้องทำมันด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดาย ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว
“เหลืออีกแปดวันเท่านั้นก่อนที่จะถึงงานเทศกาลวันสารทจีน” ฉินเย่โบกมืออย่างเหนื่อยอ่อน “ข้าจะประกาศให้เหล่าประชาชนทราบถึงรายละเอียดของงานในครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการตรวจสอบและอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีของยมโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามแผนการ ทีนี้เจ้าก็ออกไปได้แล้ว ไปถามเลขาโจวว่าที่พักของคุณอยู่ที่ไหน เขาจะเป็นคนพาเจ้าไปยังที่ที่เจ้าสามารถขอรับเสบียง ข้าขอเวลาอยู่คนเดียวสักครู่”
หวังเฉิงห่าวจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก
ฉินเย่กอดอกหลับตาลงและก้มหน้า จมอยู่กับความคิดของตัวเอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนและออกไปจากห้องทำงานของตน
เขาเดินตรงไปที่ชั้นที่หกของอาคาร สถานที่ซึ่งเขาสามารถมองเห็นวิวของทั่วทั้งนครได้อย่างชัดเจน ณ ที่นั่น…เขายืนดูเหล่าประชาชนที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ
มีเรื่องให้ทำมากมายจริงๆ…
เขารู้ดีว่าตัวเองควรให้ความสนใจที่จุดใด เมื่องานเฉลิมฉลองจบลง เขาจะต้องก่อตั้งกองกำลังชายแดน เตรียมกำหนดการเดินทางสำหรับพวกที่ต้องการเดินทางกลับไปยังแดนมนุษย์ กำหนดระบบแต้มกุศลที่จะได้รับในยมโลก และหาอสูรวิญญาณที่เหมาะสมสำหรับจุดประสงค์ในการขนส่งและขนย้าย นอกจากนั้น เขายังต้องทำให้การปกครองของนครเผิงชิวมีเสถียรภาพ และควบคุมพื้นที่ของมณฑลซานตงทั้งหมดอีกด้วย
เขาเองก็รู้สึกไม่ดีที่ตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ในช่วงเทศกาลวันสารทจีนที่กำลังจะมาถึง มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาเป็นเพียงผู้นำที่ปรากฏตัวเพียงครั้งคราวระหว่างงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของชาติเท่านั้น
บทบาทและความรับผิดชอบของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว…
ฉินเย่ถอนหายใจออกมา ความต้องการของยมโลกได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์เมื่อเขาสามารถแย่งชิงนครเผิงชิวมาได้ เพราะอย่างไรแล้ว วินาทีที่เขายึดครองการควบคุมมาได้ก็คือวินาทีที่เขาได้ละทิ้งบทบาทของตัวเองในฐานะของเจ้าเมืองของเมืองขนาดเล็กไปเป็นผู้ว่าราชการมณฑลของนครขนาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนั่นก็ทำให้บทบาทและความรับผิดชอบของเขาเปลี่ยนไป แน่นอน...เด็กหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมนักที่ตัวเองจะคร่อมอยู่ระหว่างทั้งสองดินแดน เขาโหยหาการใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเองในแดนมนุษย์ และเขาก็ยังอยากจะทำหน้าที่ของตัวเองในยมโลกให้ดี แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถจับปลาสองมือได้
แต่การที่จะปล่อยมันไปก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน…
มันรู้สึกเหมือนกับการใช้ชีวิตอย่างสูงส่ง ก่อนจะพบว่าตัวเองต้องยอมสละมันเพื่อแสวงหาสิ่งที่มากกว่า
บางที สิ่งที่เขาปรารถนาอาจจะเป็นอิสระในการใช้ชีวิตอยู่ในทั้งสองโลกก็เป็นได้
และในตอนนั้นเอง ขณะที่เขากำลังเดินลงไปยังชั้นที่ห้า เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยกับตน “มันไม่ค่อยบ่อยนะที่จะได้เห็นท่านมีท่าทีหนักใจเช่นนี้”
อาร์ทิสนั่นเอง
ชั้นที่หกของอาคารคือสถานที่ซึ่งพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาถูกติดตั้งอยู่ และไม่มีวิญญาณตนใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ในส่วนนั้นแม้แต่อาร์ทิส นี่คืออาณาเขตที่ตี้ทิงเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง และฉินเย่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับการยกเว้น
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
“เพราะว่าข้าไม่สามารถหาตัวท่านได้ในตอนกลางวัน” อาร์ทิสตอบกลับเสียงเรียบ “พรุ่งนี้ ท่านจะต้องพูดคุยกับชาวเมืองเพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลองเทศกาลที่กำลังจะมาถึง แต่ท่านไม่คิดหรือว่าตัวเองลืมที่จะระบุเวลาที่แน่นอน?”
“ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาของการขาดแคลนกระดาษ เพราะเราไม่มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการผลิตมัน เครื่องจ่ายไฟที่ได้รับมาจากแดนมนุษย์นั้นไม่เพียงพอสำหรับจุดประสงค์เหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องจ่ายไฟสำรองทั้งหมดก็ได้ถูกนำไปใช้กับการผลิตกระดาษเหลืองพิเศษที่จะถูกใช้เพื่อลงทะเบียนลายเซ็นพลังหยินของประชาชนแล้ว สิ่งเหล่านี้จะถูกนำไปใช้สำหรับการยืนยันเข้าร่วมสวนสนุกของพวกเขา ดังนั้น สำหรับการประชุมสาธารณะในวันพรุ่งนี้ ข้าเกรงว่าข้าคงต้องขอให้ท่านใช้ร่างวิญญาณของตัวเองในการแจ้งข่าวสารแก่ประชากรทั้งหมดด้วย”
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ติดจะประชดประชัน “เอาล่ะ ท่านจ้าวฉินผู้แสนงานยุ่ง ท่านจะว่างเมื่อใด? ข้าหวังว่าท่านคงไม่คิดที่จะจัดมันขึ้นกลางดึกเหมือนอย่างการประชุมของเราวันนี้หรอกใช่หรือไม่?”
“แน่นอน วิญญาณอาจจะไม่จำเป็นต้องหลับ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องพักผ่อน”
คำพูดของนางเต็มไปด้วยความประชดประชันเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะโต้กลับไปอย่างไร ดังนั้น เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาห้วน ๆ ว่า “หนึ่งทุ่ม”
“แจ้งประชาชนด้วยว่าข้าจะเรียกประชุมใหญ่ในตอนหนึ่งทุ่มตรงของคืนวันพรุ่งนี้”
“ไม่ล่ะ” อาร์ทิสปฏิเสธออกไปทันทีขณะที่นางทำท่าจะเดินจากไป “มันอาจจะดีกว่าที่ข้าละเว้นจากการทำแบบนั้น ข้าไม่อยากจะทำทุกอย่างไปเพียงเพื่อที่จะถูกท่านยกเลิกในวินาทีสุดท้ายเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ท่านจะต้องไปเข้าร่วมในแดนมนุษย์ นอกจากนี้ ทันทีที่ท่านแสดงร่างวิญญาณของตน ทุกคนในยมโลกย่อมสามารถมองเห็นท่านได้เอง”
…………………………………………………….
7 สิงหาคม นับถอยหลัง 8 วันก่อนจะถึงเทศกาลวันสารทจีน วันที่ประตูนรกจะถูกเปิดออกอีกครั้ง
ฉินเย่ลืมตาขึ้น ตอนนี้เขากลับมาที่แดนมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมันก็เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า
เขาค่อนข้างหมดแรงจากการจัดการกับเอกสารทั้งหมดในตอนกลางคืน หากพูดกันตามความจริง มันมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาภายในหัวของเขาในขณะที่อ่านเอกสารพวกนั้น แต่มันกลับไม่มีวิญญาณตนใดที่รับผิดชอบเอกสารพวกนี้ทำงานในตอนกลางคืนเลยสักตน…
หรือต่อให้พวกเขาไม่ได้นอนหลับ มันก็ไม่มีใครทำงานในตอนตี 2
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะออกไปทานอาหารเช้า โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
ปลายสายคืออู๋เหวินชิ่งนั่นเอง “คุณฉินครับ พวกเราได้รับรายงานสืบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับไซต์งานที่โครงการพัฒนาเหมาหยวนแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่างมาตรวจดูเอกสารเหล่านี้ด้วยกันเมื่อไหร่ดีครับ?”
ฉินเย่ครุ่นคิดเกี่ยวกับตารางงานของตนก่อนจะรีบตอบกลับไปว่า “ตอนนี้เลยก็ได้ครับ” เมื่อเอ่ยจบ เขาก็วางสายและเรียกแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปที่หน่วยสอบสวนพิเศษทันที
เมื่อเขาไปถึงก็เดินตรงไปที่ห้องประชุม จากนั้นทันทีที่เขาเข้าไป เด็กหนุ่มก็ชะงัก
โม่ฉางห่าวก็อยู่ที่นี่ด้วย?
ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงภาพที่ตัวเองเห็นบนเศษตราจ้าวนรก และเขาก็เผลอเลือกที่นั่งที่อยู่ห่างจากโม่ฉางห่าวโดยไม่รู้ตัว
โม่ฉางห่าวพยักหน้าให้ฉินเย่ “ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง แต่พอดีได้ยินมาว่าคุณฉินเป็นคนตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองและบอกว่าอันตรายของมันอาจอยู่ในระดับของภูตผีคลุ้มคลั่ง ตอนนี้มณฑลซานตงมีขั้นตุลาการนรกอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผมเลยคิดว่าการเดินทางมาที่นี่เพื่อดูด้วยตัวเองน่าจะง่ายกว่า”
ฉินเย่พยักหน้าขณะที่มองไปรอบ ๆ ห้อง และตอนนั้น เขาก็พบว่าส่วนใหญ่ของผู้ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นชายที่สวมชุดปฏิบัติการสีขาวของ SRC ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนมากยังเป็นผู้สูงวัยอีกด้วย
ด้วยอายุของพวกเขาแล้ว คนพวกนี้น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน…
ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางประการ จังหวะหัวใจของเขาเริ่มที่จะเต้นเร็วขึ้น
ความคิดเกี่ยวกับสงบสุขก่อนที่พายุจะเข้าผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
ทุกอย่างดูสงบสุข แต่เขากลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง…
มันรู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ความสงบสุขที่เป็นเพียงฉากหน้า และมันก็พร้อมที่จะปะทุออกมาทุกเมื่อหากได้รับการกระตุ้นแม้เพียงเล็กน้อย
ลางสังหรณ์ที่รุนแรงเข้าเกาะกุมหัวใจ และมันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และภายในไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ขอโทษครับ แต่ผมขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่”
แน่นอน ไม่มีใครกล้าห้ามตุลาการนรกในการใช้ห้องน้ำ ครั้งนี้ทันทีที่ฉินเย่เดินเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง เขาก็รีบหยิบเศษตราจ้าวนรกออกมาดูทันที
ทันใดนั้น รูม่านตาของเด็กหนุ่มก็หดลง
รอบนี้ทุกด้านของเศษตราจ้าวนรกฉายให้เห็นภาพเดียวกัน…
และมันก็คือภาพของฉินเย่ในร่างยมทูตของเขา นั่งอยู่ที่ที่นั่งของตัวในชั้นหกของอาคารที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงา รับคำแซ่ซ้องและสรรเสริญจากข้าราชจากของยมโลกจำนวนนับร้อย!
แต่ถึงกระนั้น…เขาก็สัมผัสได้ว่าเศษตราจ้าวนรกให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย
แค่การถือมันเอาไว้ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในดวงตาของพายุ มันแทบจะเหมือนกับว่าเศษตราจ้าวนรกต้องการจะเตือนเขาว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นได้เริ่มเกิดขึ้นรอบตัวเขา
และตอนนี้เขาก็กำลังประสบกับความเงียบสงบก่อนที่พายุที่โหมกระหน่ำจะมาถึง
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาและสลัดความคิดเหล่านี้ออกไป ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องประชุม ทันทีที่เขานั่งลง ชายวัยกลางคนที่มีตราสัญลักษณ์ของ SRC ประทับอยู่บนเสื้อก็ลุกยืนขึ้นและหันมาเอ่ยกับเขา “คุณฉินครับ ในความเป็นจริงแล้ว ทางเราได้เดินทางมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และเราก็ถือโอกาสในนั้นการทำการตรวจสอบเบื้องต้นบางส่วนไป ทางเราพบว่าค่าพลังหยินที่อยู่ด้านล่างนั้น…ไม่อาจวัดได้”
“นอกจากนี้ การสืบสวนของเรายังเผยว่าด้านล่างนั้นมีโครงสร้างขนาดใหญ่บางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะอยู่มานานมากแล้ว พวกเราได้ส่งเรื่องนี้ไปทางสำนักงานใหญ่ของทาง SRC เพื่อขอความช่วยเหลือทีมนักโบราณคดีมืออาชีพมาแล้ว และพวกเขาก็น่าจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ โดยการขุดค้นจะดำเนินการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ครับ”
มือของฉินเย่ที่ลูบไปตามฝาของถ้วนชาอยู่พลันนิ่งไป
วันที่15?
อีกแล้ว?!
สัญญาณเตือนดังขึ้นในหัวของเขาทันที หลาย ๆ อย่างที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคมมันมากกว่าแค่จะเป็นความบังเอิญ
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะมาบรรจบเข้าด้วยกันราวกับปลายสุดของระเบิดไดนาไมต์ที่เพิ่งถูกจุดไฟ…