ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 499: ประกาศเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลอง (1)
บทที่ 499: ประกาศเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลอง (1)
ข่าวที่เพิ่งได้รับเป็นเหมือนกับไอเย็นจากนักลอบสังหารที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันและฟันเข้าที่ลำคอของฉินเย่ แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังคงรักษาใบหน้าที่นิ่งเฉยของตัว วเองเอาไว้ได้ “มันเป็นไปได้ไหมครับที่จะเลื่อนกำหนดให้เร็วขึ้น?”
“ทำไมเหรอครับ?” โม่ฉางห่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณ…ไม่สะดวกเหรอ?”
เขาจะไปสะดวกได้ยังไงเล่า?!
ในวินาทีนั้น ฉินเย่รู้สึกว่าแผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
วันที่ 15 ที่จะถึงนี้คือวันที่ยมโลกจะจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของเทศกาลวันสารทจีน ครั้งแรกในรอบร้อยปี! มันจะเป็นการประกาศว่ายมโลกได้กลับมาปกครองมณฑลซานตงอีกครั้งแล้ว!
ประชากรวิญญาณกว่า 20 ล้านตนในยมโลกต่างตั้งตารองานเทศกาลที่กำลังจะมาถึง…
นี่คืองานเทศกาลแรกที่ถูกจัดขึ้นโดยรัฐบาลชุดใหม่ของพวกเขา และความสำคัญของมันก็เทียบได้กับการเฉลิมฉลองวันชาติครั้งแรกหลังจากที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา!
นอกจากนี้ แขกกิตติมศักดิ์ของพวกเขาก็มิใช่ผู้ใดอื่นแต่เป็นราชาผีแห่งพิภพอสูร!
และพวกเขาก็ยังจะเปิดใช้ระบบสกุลเงินใหม่ในวันนั้นอีกด้วย!
ทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกจะขึ้นอยู่กับงานเฉลิมฉลองของเทศกาลวันสารทจีนที่กำลังจะมาถึง มันคือสิ่งยิ่งใหญ่ที่จะถูกพูดถึงไปอีกสิบปี! ยมโลกจะต้องแสดงให้ราชาผีเห็นว่ามันใช้เพียงน น้อยนิดเท่านั้นในการเอาชนะใจประชาชนของพวกเขา และยังออกนโยบายการเงินได้โดยไม่มีอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย อนาคตของยมโลกนั้นขึ้นอยู่กับงานเทศกาลนี้ และมันก็คือสิ่งที่เขาจะต้อ องเข้าร่วม!
แต่ตอนนี้ เขากลับต้องเข้าร่วมงานขุดค้นที่จะเกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน แล้วแบบนี้เขาจะหาเวลากลับไปที่ยมโลกได้อย่างไร? ขั้นตุลาการนรกจะสามารถหายตัวไปในตอนที่พวกเขากำลังขุด ดค้นพื้นที่ที่อาจจะมีภูตผีคลุ้มคลั่งอยู่ได้อย่างไร?
ตอนนี้เขาต้องเลือกระหว่างหยินและหยาง และเขาก็ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลยด้วย!
“อันที่จริง หากเป็นวันนี้ ตัวผมไม่ค่อยสะดวกนักน่ะครับ” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็แย้มยิ้มออกมา “วันที่ 15 นี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของปู่ของผมน่ะครับ ท่านจา ากไปในวันสารทจีนพอดี และผมก็ต้องไปไหว้ท่าน”
ฉินเย่ไม่เคยนำเรื่องคุณปู่ของเขาที่ท่านกินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปด้วยกันมาเป็นข้ออ้างมาก่อน
ครึ่งหนึ่งของผู้ที่กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะกลายเป็นปีศาจ ในตอนนั้น ทั้งเขาและปู่ได้กินเห็นเทียนสุ่ยเข้าไปพร้อมกัน แต่เ เขาเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากการทดสอบนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เชื่อมาตลอดว่าปู่ของเขายอมสละโอกาสที่จะเอาชีวิตรอดให้กับตัวเขา และหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่บีบ บบังคับในตอนนี้ เขาก็ไม่อยากจะนำเรื่องของปู่มาใช้เป็นข้ออ้างเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้ถูกใช้มีดจี้คอเพื่อบีบบังคับ
และมันก็ไม่ได้มีใครข่มขู่เขา…
แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่ก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่ามันมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังผลักดันเขาไปยังปลายขอบของหน้าผาได้เลย และเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ด้วย!
“เราจะช้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ” โม่ฉางห่าวยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเรามักจะไปแสดงความเคารพต่อบรรพุบุรุษในช่วงเทศกาลเช็งเม้งหรอกเหรอครับ? แต่ผมก็คิดว่ามันสามารถเข้าใจเหตุผ ผลที่คุณเลือกที่จะทำสิ่งนั้นในวันนี้ได้… แต่นั่นไม่สำคัญ คุณจะใช้เวลานานแค่ไหน? เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมจะช่วยเฝ้าระวังให้คุณครู่หนึ่ง ในขณะที่คุณไปทำสิ่งที่ต้องทำ”
ฉินเย่หลุบตาลงด้วยความหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
เขายังไม่ลืมภาพบนเศษตราจ้าวนนรกที่ฉายให้เห็นว่าโม่ฉางห่าวโจมตีใส่ตนเอง
ยมทูตของนครนั้นเปรียบเสมือนอำนาจที่ไม่สามารถต้านทานได้เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณ แต่โม่ฉางห่าวคือผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกที่ดูแลทั่วทั้งมณฑล ความแข็งแกร่งของเขาย่อม อยู่ในระดับกลางตอนบนของเหล่าขั้นตุลาการนรกในแดนมนุษย์ด้วยกัน… ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “อันที่จริง ผมแค่หวังว่าจะได้มีเวลาอยู่กับคุณปู่มากกว่านี้ เท่านั้น เอาอย่างนี้เป็นยังไงครับ คุณรับหน้าที่เฝ้าระวังตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนถึงตีห้าดีไหม แล้วหลังจากนั้นผมจะรับช่วงต่อเอง?”
“คุณฉิน” โม่ฉางห่าวจิบชาในถ้วยของตน “ภูตผีคลุ้มคลั่ง…ไม่ใช่วิญญาณที่ขั้นตุลาการนรกเพียงคนเดียวจะสามารถรับมือได้”
“คุณเองก็ควรจะรู้ดีว่าพวกวิญญาณนั้นมีธีการแปลกประหลาดมากมาย และผมก็เกรงว่าขั้นตุลาการนรกเพียงแค่คนเดียวคงไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้หากมีภูตผีคลุ้มคลั่งปรากฏตัว วขึ้นจริงๆ”
ให้ตายเถอะ…ฉินเย่สบถในใจ นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพิจารณามาก่อน
น่าเสียดาย แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ควรยืนกรานอีกเป็นครั้งที่สาม
มันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม แต่มันจะเป็นการสร้างความน่าสงสัยหากเขาพูดอะไรไปมากกว่านี้…
เขามีอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงต้องลาในคืนวันที่ 15? แล้วทำไมเขาถึงต้องปกปิดเจตนานจากคนทั้งหมด? เขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อต้องเลือกระหว่างตัวเองและหน้าที่ โดยปกติแล้วเ เขาควรจะเลือกอย่างหลัง เพราะมันคือหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา
การโต้แย้งเป็นครั้งที่สามจะเป็นการจัดกับตำแหน่งของเขาในฐานะของขั้นตุลาการนรกของเมืองหวู่หยาง
เฮ้อ…ช่างเถอะ เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากละจากงานในยมโลกมาสักหนึ่งชั่วโมง หวังว่าอาร์ทิสและตี้ทิงจะเข้าใจ…นอกจากนี้ มันก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งเจ็ดวัน บางทีเขาอาจ จจะหาทางออกได้ก็ได้…
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เร่งด่วน แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรไปมากกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้” โม่ฉางห่าวตบโต๊ะ “ผู้อำนวยการฝาง ผมอยากให้คุณส่งรายละเอียดของทีมที่จะมาถึง รวมทั้งประวัติและประสบการณ์ ตลอดจนแผนปฏิบัติการไปให้คุณฉิน พวกเราจะต้องต ตรวจสอบให้แน่ชัดเกี่ยวกับผู้คนที่จะเข้าไปใกล้กับภูตผีคลุ้มคลั่ง นอกจากนี้…สำหรับเมืองหวู่หยาง”
อู๋เหวินชิ่งลุกยืนขึ้น “ทางเรารอรับคำสั่งจากท่านอยู่ครับ”
“ผมอยากให้คุณกับคุณฉินระดมเจ้าหน้าที่พร้อมกำลังอาวุธครบมือและปิดล้อมพื้นที่ขนาดรัศมี 10,000 เมตรภายในระยะเวลาสามวัน นอกจากนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้อพยพประชาชนจากพื้นที พวกนี้ไปจนหมดแล้ว”
“รับทราบ!”
ฉินเย่หลับตาลงและสูดหายใจเข้าช้าๆ
บัดซบ…มันมีอะไรให้ต้องทำมากขนาดนี้เลยจริง ๆ น่ะเหรอ? นี่จะไม่ให้เขาได้พักหายใจเลยหรือไง?!
ทั้งหมดนี้คือแผนการที่เขาจะต้องตรวจสอบและทบทวนดูอย่างละเอียด แต่…มันเหลือเวลาอีกแค่ 7 วันเท่านั้นก่อนที่จะถึงเทศกาลวันสารทจีน! แบบร่างของสวนสนุก การวางตำแหน่งของเครื องเล่นและสิ่งอำนวยความสะดอกต่าง ๆ และยังมาตรการป้องกันอีกมากมายเองก็กำลังรอให้เขาตรวจสอบและอนุมัติอยู่เหมือนกัน!
ถ้าเขาสามารถปรากฏตัวขึ้นในทั้งสองที่ได้พร้อมกันก็คงดี!
“คุณฉินครับ?” ทันใดนั้น เสียงของโม่ฉางห่าวก็ดังขึ้น และฉินเย่ก็หลุดออกจากภวังค์ของตน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ขอโทษครับ พอดีผมคิดอะไรนิดหน่อย”
“ครับ” โม่ฉางห่าวยักไหล่ “ถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มกันเลยไหมครับ?”
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “เริ่ม? เริ่มอะไรครับ?”
“วางแผนไงครับ พวกเรากำลังพูดถึงการปิดล้อมพื้นที่ซึ่งมีรัศมี 10,000 เมตร นั่นครอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ครัวเรือน หรือสองละแวกชุมชนเลยนะครับ นี่เรายังไม่ได้รวมถึงการระดมพล ลและการกระจายกำลังคนอีก ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องกำกับดูแลมันด้วยตัวเอง” โม่ฉางห่าวถอนหายใจออกมาอย่างเห็นใจ “แน่นอนว่าวิญญาณทั่วไปในบริเวณใกล้เคียงไม่สามารถสู กับเราได้ แต่เราก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่โดยรอบ”
เขาจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาที่สื่อความหมาย “คุณคิดว่าอย่างไรครับ?”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปแค่ว่า “นั่นสินะครับ”
………………………………………………………
ฉินเย่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเขากำลังถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด
โจวเซียนหลงนั่งอยู่ที่โซฟา มองดูภาพที่ฉายบนหน้าจอด้วยสีหน้านิ่งเฉย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “บอกโม่ฉางห่าว ให้เขาพยายามทำให้ฉินเย่งานยุ่งมากที่สุดในตล ลอดเจ็ดวันหลังจากนี้ อย่าให้เขามีเวลาว่างนอกเหนือจากเวลานอนปกติ”
มันไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ ดังขึ้นให้ได้ยิน ยกเว้นก็แต่เสียงกดคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วเพียงอย่างเดียว
จากนั้น โจวเซียนหลงก็หลับตาลงและถอนหายใจออกมา “ผมอยากได้ยินการวิเคราะห์ของคุณจากสิ่งที่คุณได้เห็นมาจนถึงตอนนี้”
“เพราะอะไรครับ?” หนึ่งในอัลบาทรอสหันกลับมาและเอ่ยอย่างเย็นชา “ใจของคุณได้ตัดสินใจไปแล้ว แต่คุณไม่ยอมรับมันเท่านั้น ตอนนี้คุณไม่ได้กำลังต้องการคำวิเคราะห์ แต่คุณต้องกา ารคำปลอบใจ คุณต้องการที่จะพิสูจน์ความคิดและข้อสงสัยของตัวเอง คุณอยากจะได้รับยืนยันเกี่ยวกับมุมมองของคุณ ด้วยความเคารพครับ รองผู้อำนวยการโจว สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนี้ไม่ได ด้ผิดอะไรเลยสักนิด”
“ทั้งหมดล้วนเกิดจากหน้าที่และความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ”
โจวเซียนหลงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก กลับกัน…เขาเพียงจับถ้วยชาในมือแน่น
“แต่ถ้าคุณอยากจะได้ยินมันจริง ๆ ผมก็ขอเริ่มประโยคด้วยการบอกว่ามันคงจะไม่สวยนัก” อัลบาทรอสคนนั้นถอนหายใจออกมาและหันกลับมา “ประการแรก เรามาพูดถึงเทศกาลวันสารทจีนก่อ อน ตั้งแต่ที่เกิดการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น พวกเราได้เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเร่ร่อนไปทั่วทุกมุมของจีนในช่วงเทศกาลวิญญาณทั้งสาม และเทศกาลวันสารทจีนก็คือ ช่วงที่ประตูนรกจะถูกเปิดออกอีกครั้ง และเราทั้งหมดต่างก็ถูกเรียกระดมพลเป็นระยะเวลาสามวันเพื่อที่จะรักษาความเป็นระเบียบและความปลอดภัยของประชาชน”
“ดังนั้น มันจึงมีกฎเหล็กข้อหนึ่งก็คือห้ามเจ้าหน้าที่คนใดละเว้นจากการทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะด้วยข้อแก้ตัวหรือเหตุผลใดก็ตาม ผมไม่เชื่อว่าคุณฉินจะไม่รู้เกี่ยวกับข้อบังคับ บข้อนี้ แน่นอน เขาอาจจะไม่ได้เข้าร่วมหลักสูตรบังคับสำหรับขั้นตุลาการนรกทุกคน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎและข้อบังคับที่สามารถเข้าถึงได้ ทางออนไลน์ แต่ถึงกระนั้น เขาก็เลือกที่จะขาดการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง”
“ทำไมกันล่ะ?”
คำพูดของเขานั้นเฉียบคมและเด็ดขาดจนมันได้ตัดฟางเส้นสุดท้ายที่โจวเซียนหลงยึดติดอยู่ให้ขาดสะบั้น “มันจะกลายเป็นค่ำคืนแห่งภูตผีนับพัน หากเขาเกี่ยวข้องกับวิญญาณร้ายในไม ม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจะต้องเลือกที่จะเคลื่อนไหวในคืนนี้ มันไม่มีเหตุผลอื่นสำหรับการละเว้นหน้าที่ของเขา ที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ เรากำลังพูดถึงการหายไปของหนึ่งในเสาหลักข ของกองกำลังมนุษย์ในการปะทะกับกองกำลังของโลกใต้พิภพในระหว่างเทศกาลวิญญาณครั้งใหญ่! นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถยอมรับได้เลยสักนิด!”
“ที่นี้เราก็มารอดูผลลัพธ์กันดีกว่า”
“พวกเราได้ทำการสืบสวนไปมากแล้ว และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องหยุดทุกอย่างลงในตอนนี้ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง และแม้แต่ทางเบื้องบนเองก็คาดหวังก กับผลลัพธ์นี้เช่นกัน หากเขามีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณจริง ๆ เช่นนั้นมันก็มีข้อมูลอะไรหลายอย่างที่เราสามารถดึงจากเขาได้ พวกเรารับผิดชอบเพียงแค่การติดตามการเคลื่อนไหวของเขา าและส่งรายงานเท่านั้น การตัดสินใจทุกอย่างล้วนมาจากเบื้องบนทั้งสิ้น นอกจากนี้ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่บุคคลอันเป็นที่รักของเจ้าหน้าที่สืบสวนกลายเป็นวิญญาณร้าย แต่ถึงกระนั้น เรา าก็ไม่ควรใช้ตำแหน่งของตัวเองเพียงเพื่อความรู้สึกส่วนตน”
เมื่อเอ่ยจบ อัลบาทรอสผู้นั้นก็หันหลับกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นดังขึ้นมาจากด้านหลัง “นั่นสินะ”
“ทำตามแผนการที่วางไว้”
“ในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 15 สิงหาคม พวกเราจะทำตามแผน ‘Scales’ ทันที มันจะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”
………………………………………………..
ตกกลางคืน ภายในเมืองส่องสว่างไปด้วยแสงไฟจำนวนมากเมื่อฉินเย่เดินออกมาจากสำนักงาน
พวกเขาเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับการอพยพประชากรกว่าหมื่นครัวเรือนและการจัดสรรบุคลากร แม้ว่าการประชุมในครั้งนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ผลลัพธ์ที่พวกเขาได้ก กลับเป็นเพียงแผนการคร่าว ๆ เท่านั้น
ในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องวุ่นวายเป็นอย่างมากแน่ๆ…
ฉินเย่ยกมือขึ้นเพื่อนวดขมับของตัวเองขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
ตอนนี้เป็นเวลา 20.30 น.
มันเลยเวลาที่เขาแจ้งกับอาร์ทิสมามากแล้ว
เขารีบกลับไปที่บ้านและใช้เศษตราจ้าวนรกทันที ไม่นาน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องทำงานของตัวเองในยมโลก
อาร์ทิสและหวังเฉิงห่าวรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ข้า…”
“ไม่เป็นไร” อาร์ทิสเอ่ยแทรกขึ้น “พวกเราชินแล้ว”
หวังหนึ่งหางอ้าปากคล้ายต้องการจะพูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
“นี่คือร่างสุนทรพจน์ที่ได้ถูกเตรียมขึ้นโดยเลขาของท่าน ท่านมีเวลาครึ่งชั่วโมงในการทำความคุ้นชินกับมัน ไม่ว่าอย่างไร ท่านจะต้องแจ้งเรื่องนี้กับประชาชนทั้งหมดภายในเวลา สามทุ่ม”
ฉินเย่รับร่างสุนทรพจน์ดังกล่าวมาด้วยความไม่เต็มใจ ด้วยเหตุผลบางประการ เขารู้สึกว่าอาร์ทิสนั้นเริ่มเย็นชาและทำตัวเหินห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่…นั่นไม่ใช่ความเย็นชาหรือห่างเห็น หากสังเกตดี ๆ…มันคงจะเป็นความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจที่ฝังแน่นจากการประพฤติตัวของเขา
แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องเหล่านี้ ภายในเวลาไม่กี่วินาที เขาพักความคิดเหล่านี้เอาไว้และหันไปสนใจกับสุนทรพจน์ของตนเอง ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็พยักหน น้าให้ทั้งสอง และทันใดนั้น พลังหยินของพวกเขาก็ปะทุออกมาและปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองราวกับคลื่นยักษ์
ตู้ม!!!
ร่างมายาขนาดใหญ่ของฉินเย่ถูกฉายขึ้นบนท้องฟ้า เรากับว่าเขากำลังถือสวรรค์ไว้ในมือ เขายืนอยู่ท่ามกลางคลื่นพลังหยินที่หมุนวนไปมา ในขณะที่ลูกไฟนรกลอยไปรอบ ๆ ร่างมายา ของเขาสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมของนครเผิงชิว ในวินาทีนั้น ประชาชนที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองต่างหยุดสิ่งที่ตนทำอยู่และมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
ชีวิตในนครเผิงชิวดีกว่าสิ่งที่เป็นในเมืองเป่าอันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีไฟฟ้าหรือเทียน ทั้งหมดที่เขาสามารถพึ่งพาได้มีเพียงแสงสลัวจากเปลวไฟ ฟนรกที่ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างให้กับเส้นทางของพวกเขาในยามค่ำคืนเท่านั้น
ดังนั้น มันจึงเป็นภาพที่คุ้นชินที่ผู้นำในละแวกต่าง ๆ จะมาชุมนุมกันรอบลูกไฟนรกหนึ่งลูก ราวกับว่าพวกเขาได้กลับไปสู่ยุคสมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ด้วยเหตุนี้ วิถีชีวิตที่เกี ยวข้องกับการกลายเป็นนครที่เจริญรุ่งเรืองจึงดูห่างไกลออกไปทุกที
ฉินเย่กวาดตามองพื้นที่ทั้งหมดซึ่งมีลูกไฟนรกลุกโชนอยู่ราวกับกลุ่มดาวในทางช้างเผือก เมื่อหนึ่งเดือนก่อน รัฐบาลได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาของยมโลกหมายเลข 001 ออกไป แบ่งนครเผิงชิ วออกเป็นห้าเขตปกครอง ได้แก่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ และศูนย์กลาง โดยให้แต่ละเขตล้วนได้รับการปกครองโดยที่ทำการเขต
นี่คืออาณาจักรของเขา…เขาคือเจ้าเหนือหัวแห่งโลกใต้พิภพ ผู้ปกครองดินแดนของเหล่าวิญญาณ!
เลือดในการของเขาเดือดพล่าน ไม่มีวิญญาณตนใดที่กล้าหันไปมองกันและกันภายใต้การจ้องมองของเขาเลยแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนก้มหน้าต่ำ
“ข้าจะ…อย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้…”