ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 5 ผีไพ่นกกระจอก
บทที่ 5 ผีไพ่นกกระจอก
วันต่อมา ในสถานะนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 6 ฉินเย่ยังคงต้องไปโรงเรียนตามปกติแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ก็ตาม
หลังจากวิชาแรกของวันจบลง ร่างสูงใหญ่สองร่างก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะของฉินเย่ นักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องต่างหลีกทางให้ทั้งคู่อย่างรู้หน้าที่
จางอี้หลง และหวังเฉิงห่าว
อาการบวมบนใบหน้าของทั้งคู่ยังไม่ลดลง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังทำหน้าตาโหดเหี้ยมเหมือนเดิม ซึ่งนั่นทั้งดูแปลกและตลกเป็นอย่างมาก
เหมือนเช่นทุกครั้ง คนพวกนี้มักจะมาเดินมาหยุดตรงหน้าเป้าหมายที่ถูกเลือก ‘ในการระบายความไม่พอใจ’ ของตัวเอง แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอก
นักเรียนทั้งสองมองหน้าฉินเย่ด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่ฉินเย่เพียงแค่ขมวดคิ้วและถามออกไป “พวกนายมีอะไร?”
ในเมื่อวิญญาณชั่วร้ายได้ถูกกำจัดไปแล้ว ฉินเย่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแสร้งอ่อนแออีกต่อไป ดังนั้นถ้าหากทั้งคู่จะมาหาเรื่องเขา เขาก็ไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากันตรง ๆ อันที่จริง ตอนนี้ฉินเย่ไม่สามารถยืนยันได้ด้วยซ้ำว่าทั้งสองจะกลับไปครบ 32 ส่วน
แต่มันก็ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา หลังจากผ่านไปสักพักหวังเฉิงห่าวก็เลิกคิ้วขึ้นและใช้นิ้วหัวแม่มือของตนชี้ไปด้านนอกห้อง “เราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม?”
“หวังเฉิงห่าวนายจะทำอะไรน่ะ? วิชาต่อไปกำลังจะเริ่มนะ” เด็กหญิงผูกผมหางม้าคนหนึ่งที่นั่งข้างฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล ทั้ง ๆ ที่ไม่กล้าสบตากับอีกสองคนตรง ๆ ด้วยซ้ำ
เพราะอย่างไรแล้ว ประโยค ‘ไปเดินเล่น’ ของอีกฝ่ายนั้นมีความหมายโดยนัยซ่อนอยู่
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” ท่าทางขี้ขลาดของอี้หลงเมื่อคืนหายไป เมื่อเขามองไปยังเด็กผู้หญิงตรงหน้า อีกฝ่ายก็ปิดปากและเงียบไปทันที
“ไม่เป็นไรหรอก” ฉินเย่ลุกขึ้น ยิ้มและพยักหน้าให้เด็กหญิงสบายใจ “ขอบคุณนะ”
ทั้งสามพากันเดินไปที่ชั้นดาดฟ้าของโรงเรียน เวลานี้ด้านบนดาดฟ้ามีลมแรงเป็นอย่างมาก เมืองชิงซีเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลจื่อฉวน ในภูมิภาคนี้ ดวงอาทิตย์แทบจะไม่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และท้องฟ้าก็มักจะดูมืดครึ้มอยู่เสมอราวกับก้นกาน้ำชา แม้ว่าจะอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม
“ไสหัวไปให้หมด!” ในตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึง มีนักเรียนอยู่บนดาดฟ้าจำนวนมาก แต่เพียงคำสั่งของหวังเฉิงห่าว บนดาดฟ้าก็โล่งแทบจะในทันที
เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยเข้าเรื่องทันทีที่มาถึง กลับกัน เขาเพียงแค่แกะซองบุหรี่และยื่นมันให้กับฉินเย่ “สักมวนไหม?”
มาโซคิสม์เหรอ?
ฉินเย่มองคนทั้งคู่อย่างสงสัย สองคนนี้เป็นพวกนักเลงหัวไม้ที่ทำทุกอย่างที่ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า เป็นพวกนักเรียนผิดระเบียบ เป็นขวากหนามในสายตาของเหล่าครูทั้งโรงเรียน เป็นที่เลื่องลือในโรงเรียนชิงซีในเรื่องของการกระทำผิดกฎ และที่แย่กว่านั้น มันยังมีข่าวลือมาว่าตระกูลของหวังเฉิงห่าวนั้นค่อนข้างมีอิทธิพลพอสมควร และพ่อของอีกฝ่ายคือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้ ดังนั้นมันจึงไม่มีใครกล้ามายุ่งกับทั้งคู่
เพียงแค่คืนเดียว…ไม่ใช่สิ….แค่หลังจากการปะทะทางอารมณ์เพียงคืนเดียวทำให้ทั้งคู่ชวนเขาเข้ากลุ่มด้วยเลยงั้นเหรอ?
ฉินเย่เพียงแค่หยิบบุหรี่มาและจุดขึ้น จากนั้นทั้งสามก็ยืนสูบบุหรี่ด้วยความบึ้งตึงและหงุดหงิด และเมื่อเสียงออดสำหรับเรียนวิชาต่อไปดังขึ้น ฉินเย่ก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมจะเดินลงไปด้านล่าง ทันใดนั้นหวังเฉิงห่าวก็พูดออกมาในที่สุด “เดี๋ยว”
“ถึงเวลาเรียนแล้ว”
“มันวิชาพละ!” หวังเฉิงห่าวสูบบุหรี่ของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นมันก็เหมือนอีกฝ่ายโตขึ้นเล็กน้อย เขาพูดออกมาเบา ๆ “ก่อนหน้านี้….พวกเรามีเรื่องให้ต้องเข้าใจผิดกัน หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะปกป้องนายเอง ใครที่มันมาหาเรื่องนาย มันก็เหมือนกับมาหาเรื่องฉันด้วย ส่วนฉัน…ฉันมีคำถามจะถามนายแค่ข้อเดียวเท่านั้น….”
“เมื่อคืน….มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?”
ฉินเย่มองอีกฝ่ายนิ่ง “นายจำอะไรได้บ้าง?”
ร่างของหวังเฉิงห่าวเริ่มสั่น เขายกมือขึ้นกุมศีรษะของตัวเองและพูดเสียงสั่น “ฉันจำได้แค่….จู่ ๆ ประตูกับหน้าต่างทุกบานก็ปิดลงพร้อมกัน…โทรศัพท์…ใช่! โทรศัพท์เอาแต่ดังขึ้นไม่หยุด! จากนั้น…มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อหวังเฉิงห่าวพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อคืน เขาก็เริ่มพูดติดขัด เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ “หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อคืน…พวกเราได้เห็น…ใช่ไหม”
เสียงพูดของเขาเบาลงจนเหมือนกับกระซิบ มันใช่เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เขาจะพูดออกมาจนจบประโยค “พวกเราได้เห็น…อะไรแปลก ๆ หรือเปล่า?”
“ทางโรงเรียนรู้เรื่องนี้หรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงไม่อธิบายให้พวกนักเรียนรู้เรื่องนี้เลย?! แล้วนั่นมันอันตรายขนาดไหน?! ให้ตายเถอะ!!” อี้หลงพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างโมโหในขณะที่นึกถึงเหตุการณ์น่ากลัวเมื่อคืน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรงขณะที่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและเอ่ยต่อ “ดูสิ…ฉันไปค้นข้อมูลของเมืองอื่น ๆ มา และฉันก็พบว่ามันไม่ได้มีแค่พวกเราที่เจอเรื่องบ้านี่ ประกาศพวกนี้มีประกาศไปทั่วทุกที่!”
“และมันไม่ใช่แค่โรงเรียนนะ มันมีประกาศทั้งในโรงงาน สถานีตำรวจ ร้านค้า บนท้องถนน และแม้แต่ย่านที่อยู่ห่างออกไปก็เหมือนกัน!”
“ฉินเย่ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น? นายรู้เรื่องทั้งหมดใช่ไหม? นายจะต้องรู้แน่ ๆ! เพราะยังซะที่บ้านของนายก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับคนตายนี่!”
การทำธุรกิจเกี่ยวกับคนตายมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เนี่ย?
นักเรียนที่เรียนการเงินจำเป็นจะต้องเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังหรือไง?
แม้ว่าในใจของฉินเย่จะเต็มไปด้วยความไม่พอใจและคำสบถ แต่เมื่อเห็นความหวาดกลัวและไม่เข้าใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าฉินเย่กำลังคิดอะไรอยู่ เขาถอยหายใจออกมาพร้อมกับรับโทรศัพท์ของอี้หลงมาดู
“เกิดเหตุที่น่าตกตะลึงขึ้นที่โรงพยาบาลรัฐแห่งแรกในมณฑลเสฉวน! เมื่อคืนนี้ จู่ ๆ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั้งหมดก็ได้ยินเสียงคนแสดงงิ้วหวงเหมย[1] ดังมาจากทางเดินที่ว่างเปล่าตอนเวลาตี 02.00 น.! เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจนถึงเวลา 05.00 น. ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่พยายามมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่พวกเขากลับไม่เห็นใครเลยสักคน!”
“นี่มันแปลกชะมัด! พวกนายลองดูรูปที่ป้าของฉันถ่ายได้เมื่อวานสิ ผู้หญิงคนนี้…ทั้ง ๆ ที่เพิ่งท้องได้แค่แปดเดือน แต่เด็กทารกในครรภ์กลับมีใบหน้าของผู้ใหญ่ที่โตเต็มที่แล้ว! สถานที่คือ โรงพยาบาลแห่งที่สามของเมืองหลินชาน”
“ผีแน่! จะต้องเป็นผีแน่ ๆ! เมื่อคืนนี้ตอนเที่ยงคืน รถหรูสองคันชนกันบนสะพานข้ามแม่น้ำหวง! แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถคันหนึ่งในนั้นก็กลายเป็นรถกระดาษ! สามีคนที่สามของป้าที่อยู่ข้างบ้านของฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย! ฉันได้ดูวิดีโอแล้ว!”
มันยังมีข่าวที่คล้ายกันอยู่อีกมากมาย
บางทีจำนวนข่าวอาจจะมีไม่มากนักหากเทียบกับจำนวนรูปภาพที่ถูกโพสต์ลงตามช่องทางต่าง ๆ แต่สุดท้ายแล้ว…ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีนทั้งหมด!
การที่จะได้ยินข่าวเรื่องลึกลับและเรื่องเหนือธรรมชาติในปัจจุบันนั้น ถือว่าหาได้ยากมาก ก่อนหน้านี้…เมื่อไหร่ที่เรื่องแบบนี้ถูกโพสต์ลงบนช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความหรือสิ่งอื่นที่คล้ายกัน มันจะถูกรายงานและเซนเซอร์ทันทีโดยที่ไม่ต้องตามหาผู้เผยแพร่ แต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่าข่าวพวกนี้กลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้ง แถมดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนเสียด้วย
และนี่มันก็เกินกว่าแค่ช่องข่าวเล็ก ๆ แล้ว เพราะขณะที่ฉินเย่ดูชื่อเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ เขาก็พบว่าแม้แต่สื่อหลักหลายแห่งอย่าง “สำนักข่าวเชียนตู้” “สำนักข่าวต้าล่าง” และ “สำนักข่าว ชี่เอ้อร์” เองก็รายงานข่าวพวกนี้เช่นกัน
โลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว…
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากที่ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ มันทำให้ฉินหนานไวต่อการเปลี่ยนแปลง และเขาก็รู้ดีว่านี่เป็นแค่อารัมภบทของการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงเท่านั้น
แม้แต่สื่อมวลชนก็เริ่มให้ความสนใจกับข่าวพวกนี้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นในจีนกันแน่?
“ฉินเย่…เห้ย! ฉินเย่! พูดอะไรบ้างสิ!” น้ำเสียงร้อนใจของหวังเฉิงห่าวทำให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดตัวเอง ฉินเย่เพียงแค่ยื่นโทรศัพท์คืนให้กับอี้หลง ก่อนจะตอบอย่างรอบคอบ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“คำแนะนำเดียวที่ฉันสามารถให้พวกนายได้ในตอนนี้ก็คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาล ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ ฉันเชื่อว่าพวกนายเองก็คงจะรู้สึกได้….เพราะฉะนั้นเราควรจะเชื่อในเรื่องพวกนี้เอาไว้ดีกว่า”
เมื่อทั้งสามคุยกันเสร็จ คำพูดที่ฉินเย่พูดออกมานั้นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์หรือช่วยอะไรได้เลย ถึงอย่างนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ยังพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย แทบจะเหมือนกับพวกเขาได้รับเสื้อชูชีพท่ามกลางสายน้ำที่เชี่ยวกราก
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้อยากได้ความจริง แต่พวกเขาอยากได้คำปลอบใจมากกว่า พวกเขาต้องการคำยืนยันที่สามารถเชื่อได้ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“ถ้าหมดเรื่องแล้วฉันขอตัว” ฉินเย่ลุกขึ้นและใช้มือปัดด้านหลังกางเกงของตัวเอง แต่ทันใดนั้นหวังเฉิงห่าวก็ถามขึ้นมาอีก “ฉินเย่…นายรู้วิธีที่จะจัดการกับสิ่งนี้หรือเปล่า?”
“นายกลัวว่าตัวเองจะเจอมันอีกเหรอ?” เมื่อได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ ฉินเย่รู้สึกว่าหวังเฉิงห่าวเหมือนสุนัขไม่มีผิด อีกฝ่ายมีความสูง 180 เซนติเมตร และแม้ว่าหลังจากผ่านจากเหตุการณ์ที่น่ากลัวเมื่อคืนมา อีกฝ่ายยังคงร่าเริงและเข้มแข็งได้เหมือนเดิม
“เปล่า” หวังเฉิงห่าวกัดฟันพร้อมกับเอ่ยเสียงเบาลง “มันไม่ใช่ฉิน….แต่…ครอบครัวฉัน…เพิ่งได้เจอมาเมื่อเร็ว ๆ นี้…”
“ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้หรอก” ฉินเย่เปิดประตูและเดินออกไป “เรื่องแบบนี้ควรปล่อยให้มืออาชีพเขาจัดการ มือสมัครเล่นอย่างฉันมีแต่จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิม”
ช่วงเวลาของเด็กม.หกผ่านไปอย่างทรมาน ถึงอย่างนั้น 5 โมงเย็นก็มาถึงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เสียงประกาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้…ฉินเย่ที่กำลังขึ้นจักรยานก็นิ่งไปและพยายามตั้งใจฟัง ดี ๆ
มันไม่เหมือนเดิม
เสียงประกาศของวันนี้แตกต่างไปจากเมื่อวาน
“…นักเรียนทั้งหมดจะต้องออกไปจากโรงเรียนก่อน 18.10 น. ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางโรงเรียนจะเริ่มปรับปรุงห้องเรียนที่ไม่ได้ถูกใช้งานทั้งหมดห้องเรียนที่ถูกปิดล็อกเอาไว้ทั้งหมดห้ามเข้าโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกไล่ออกทันที”
“ครูและเจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องกลับห้องของตัวเองภายใน 19.00 น. และอยู่แต่ในห้องของตัวเองเท่านั้น หากมีผู้ใดถูกกล้องวงจรปิดตรวจพบจะถูกไล่ออกเช่นกัน…”
“ทางโรงเรียนจะไม่รับผิดชอบความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน…”
เด็กหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขึ้นไปบนจักรยานและปั่นกลับบ้าน แต่คิ้วของเขาก็ยังย่นเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา
แตกต่างไปจากเดิมจริง ๆ…
มีแค่ผู้ที่เคยพบเจอเหตุการณ์เท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่า การปรับปรุงที่ว่าคือเรื่องโกหก มันก็แค่ข้ออ้างที่ต้องการปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น!
เหตุการณ์เหลือเชื่อกำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศจีน และมันก็ส่งผลกระทบกับทุกเมืองและทุก ๆ หมู่บ้าน เหตุการณ์เช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเขาเจอเมื่อวานเกิดขึ้นไปทั่วทุกที่ สิ่งที่ถูกโพสต์ในช่องทางต่าง ๆ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตอนนี้ประเทศจีนกำลังให้ประชาชนรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างซึ่ง ๆ หน้าขณะที่พวกเขาไตร่ตรองถึงสิ่งที่ควรทำต่อไป หลังจากนี้จะมีประกาศหรือการจัดการในเรื่องพวกนี้หรือเปล่า?
การรักษาความมั่นคงภายในประเทศนั้นเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมาก และประเทศจีนก็เป็นประเทศมหาอำนาจที่มีประชากรมากกว่า 1 พันล้านคน ซึ่งทำให้ผลกระทบที่จะตามมาจากความวุ่นวายนั้นจึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ ว่ากันว่ารัฐบาลจีนได้เริ่มการเจรจากับกองกำลังบางกลุ่มแล้วเช่นกัน นี่จึงหมายความว่าขนาดของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ทางการปกปิดไว้นั้น….อาจจะรุนแรงกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้หลายร้อยหลายพันเท่า!
นอกจากนี้ การเปลี่ยนเนื้อหาของเสียงประกาศก็สามารถตีความได้เพียงอย่างเดียว —
มันกำลังลุกลามอย่างรวดเร็วและอยู่เหนือการควบคุมแล้ว! เป็นเหมือนกับม้าที่บ้าคลั่งที่หลุดจากเกวียนและอาละวาดไปทั่ว!
เพียงแค่อาทิตย์เดียว เสียงประกาศที่ดังแค่หนึ่งครั้งต่อวันในตอนแรก ได้เปลี่ยนเป็นประกาศซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้จบตั้งแต่หลัง 18.00 น.ของเมื่อสามวันก่อน จนถึงตอนนี้….ทางโรงเรียนเริ่มสั่งให้พนักงานและเจ้าหน้าที่กลับบ้านไปหมดแล้วด้วย!
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของเรื่องนี้
“อยากรู้จริง ๆ…ประเทศอื่น ๆ จะรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่บ้างหรือเปล่านะ?” เมื่อสายลมพัดผ่านศีรษะไป ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อ~ ไม่รู้ด้วยแล้ว…แต่มันจะต้องมีใครสักคนที่รู้แน่!”
สายตาของเขามองทอดยาวออกไปยังชายขอบรอบนอกของเมือง “ปีศาจในโปเกบอล…ไม่ใช่สิ ยายเฒ่าจะต้องรู้เรื่องนี้ แน่ ๆ!”
“เที่ยงคืนของวันนี้เหรอ….”
เด็กหนุ่มมาถึงบ้านในเวลาไม่นาน แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน แววตาเย็นยะเยือกของเขาก็หายไป ฉินเย่เริ่มสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวเขากำลังเครียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากไปหรือเปล่า
วินาทีที่เขาเปิดประตูออก เขาก็สังเกตเห็นว่าโลงศพที่ถูกวางอยู่กลางบ้านนั้นถูกเปิดอ้า และถูกตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและคว่ำลง หญิงชราสี่คนนั่งอยู่แต่ละมุมของสี่เหลี่ยมนั้น มือของยายเฒ่ากำลังกำอะไรบางอย่างเอาไว้แน่น และสีหน้าของนางก็เย็นชาเป็นอย่างมาก ครู่ต่อมา…นางก็วางมันลงบนโต๊ะโลงศพ “ไพ่นกกระจอกชุดเหรียญ”
เยี่ยมไปเลย…
ข้าออกไปทำงานหาเงินอย่างหนัก แต่นางกลับทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่นี่เนี่ยนะ?
เยี่ยมมาก นางเล่นไพ่นกกระจอกได้อย่างชำนาญแล้วด้วย? แล้วหญิงชราคนอื่น ๆ คือใคร? ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน? หรือว่านางไปพูดคุยกับคนอื่นที่อยู่ละแวกใกล้เคียง? แต่มันเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ หรือที่จะเล่นไพ่นกกระจอกบนโลงศพด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้?
ความโกรธแค้นในตัวเขากำลังรุ่มร้อน และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่สุดท้ายฉินเย่ก็สามารถข่มความโกรธในใจลงได้
เขาไม่มีทางเลือก มันมีคนอื่นอยู่ด้วย และยายเฒ่าเองก็ดูเหมือนว่าจะซ่อนความสามารถที่น่ากลัวเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงควรระงับความกังวลตัวเองและอดทนต่อไป….
“ผ่อง![2]” หญิงชราที่นั่งอยู่เผยให้เห็นหน้าไพ่ที่เหมือนกับสามหน้า “ข้ารออีกแค่ตัวเดียว”
“ทำไมถึงเร็วขนาดนี้?! เจ้าโกงหรือเปล่า? ถ้าเจ้ามีหนึ่งเชือกหรือสองเชือก เจ้าควรจะทิ้งมันลงมาเดี๋ยวนี้ ข้าเองก็กำลังรออยู่ แต่ข้าจะทิ้งมันถ้าหากจำเป็น ข้าไม่เงินจะจ่ายยายเฒ่านี่หรอก หนึ่งเชือก”
นางวางท่อยาสูบในมือลงก่อนจะทิ้งหน้าไพ่ที่เป็นหนึ่งเชือกลงมา และวินาทีต่อมานางก็ต้องตกตะลึง
“เก็บ! ข้าชนะ ผ่องทั้งมือ น็อคและกำลังรอหนึ่งเชือกอยู่ เอาเงินพนันของครั้งนี้มา….30 ล้าน” หญิงชราที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนทำให้รอยเหี่ยวย่นที่หน้าของนางปรากฏขึ้นมากกว่าเดิมขณะที่หงายไพ่นกกระจอกของตัวเอง
30 ล้าน?!
ทำไมถึงเดิมพันกันสูงขนาดนี้?! แล้วเดี๋ยวนะ….พวกท่านจะไปหาเงิน 30 ล้านมาจ่ายได้ยังไง?
แต่ก่อนที่ฉินเย่จะเอ่ยออกมา หญิงชราก็วางเงินจำนวนร้อยล้านหยวนลงบนโลงศพขณะที่พูดออกมาเสียงดัง “เอาไปซื้อโลงศพสวย ๆ ให้ตัวเองซะ”
มันคือเงินกระดาษหนึ่งแผ่นที่มีตัวเลข 100 ล้านพิมพ์อยู่
เดี๋ยวนะ…
ฉินเย่กะพริบตาอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็พยายามสังเกตหญิงชราทั้งสี่คนให้ละเอียดกว่าเดิม และเขาก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ และถอยหลังไปสองสามก้าว
นอกจากยายเฒ่าแล้ว ผู้หญิงคนอื่น ๆ…ไม่มีขาเลยสักคน!
ทุกอย่างตั้งแต่น่องลงไปล้วนเป็นภาพลวงตา แม้แต่นิ้วเท้าของพวกนางก็ไม่สัมผัสกับพื้น!
นี่มัน… กลุ่มผีไพ่นกกระจอกนี่!
[1] งิ้วหวงเหมย (黄梅戏) หนึ่งในห้างิ้วที่มีชื่อเสียงของจีน อยู่ในแถบมณฑลอันฮุย
[2]“ผ่อง” คือ กลุ่มไพ่ที่มีไพ่ 3 ตัวเหมือนกันจากชุดไพ่ใดๆ ก็ได้ เป็นการเก็บไพ่จากที่ผู้เล่นอื่นทิ้งไพ่ลงมาสามารถเก็บได้จากผู้เล่นทุกคน การ “ผ่อง” นี้เราต้องมีไพ่แบบเดียวกันในมือ 2 ตัว เมื่อผู้เล่นใดๆ ทิ้งไพ่แบบที่เรามีเราต้องพูดออกไปว่า “ผ่อง” แล้วเราจะเก็บไพ่ตัวนั้น (การ “ผ่อง” สามารถเก็บไพ่ข้ามตำแหน่งทิศได้) และต้องเปิดกลุ่มไพ่ที่เรา “ผ่อง” ด้วย
อ้างอิง: ไพ่นกกระจอก – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)