ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 50 ยมทูต ปะทะ ยมทูต
บทที่ 50 ยมทูต ปะทะ ยมทูต
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” ฉินเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า
“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่อยากรู้ชื่อของเจ้า แต่ข้าต้องรู้เสียก่อนว่าเจ้าต้องการมาอยู่ฝั่งเดียวกับเราจริง ๆ” เชาโยวเต๋ายิ้มตอบ “สิ่งเดียวที่เจ้าจะต้องทำมีเพียงแกว่งกระบี่เบา ๆ และทำลายดวงวิญญาณของชายผู้นี้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในเมื่อข้าไม่ฆ่าเขา ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะฆ่าเขาไม่ได้”
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องง่าย
การฆ่าจางเปากัวก็เท่ากับประกาศสงครามกับทางรัฐบาล เพราะอย่างไรเสีย ดวงวิญญาณตรงหน้าก็ดำรงตำแหน่งถึงรองอัยการสูงสุด…..ไม่ว่าทางรัฐบาลจะใจกว้างเพียงใด แต่มันก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะอยู่เฉย ๆ เมื่ออำนาจในมือถูกท้าทายเช่นนั้น
“เจ้ามีเวลาห้านาทีสำหรับการตัดสินใจ” เชาโยวเต๋าเอ่ยขณะนั่งลง หยิบแก้วไวน์ของตนขึ้นมาแกว่งเบา ๆ อย่างใจเย็น
ฉินเย่เงียบไป
การสังหารจางเปากัว เป็นวิธีสร้างความเชื่อถือที่ดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ ทว่าราคาที่เขาจะต้องชดใช้สำหรับสิ่งอื่นที่จะตามมานั้นสูงเกินไป
และทันทีที่เด็กหนุ่มเผยร่องรอยของเศษตราจ้าวนรกที่เขาถือครองอยู่ออกมา เชาโยวเต๋าจะต้องไม่ยอมหยุดพักจนกว่าตนจะได้เศษตราทั้งหมดไปครองแน่!
ไม่…ไม่ว่าเขาจะเปิดเผยจำนวนเศษตราจ้าวนรกที่เขาครอบครองอยู่หรือไม่ ทันทีที่เขาปฏิเสธคำเชิญของอีกฝ่าย เขาก็จะกลายเป็นศัตรูกับวิญญาณทั้งหมดในเมืองเป่าอัน!
ในเวลานี้ ดวงตาทุกคู่ต่างมองไปยังฉินเย่ ยิ่งเวลาผ่านไป สีหน้าของเชาโยวเต๋าก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกมากขึ้น
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ” เชาโยวเต๋าถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเวลาล่วงเลยไปกว่าสี่นาที “มันก็แค่มนุษย์คนเดียว ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหน และข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใด ด้วยอำนาจอันไร้ขีดจำกัดที่จะได้จากการร่วมมือกันของเรา เจ้าถึงต้องพิจารณาชีวิตของมนุษย์ผู้เดียวด้วยความลังเลแบบนี้”
เหลืออีกเพียงสามสิบวินาทีสุดท้าย ในที่สุดฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่? แม้แต่พวกโอตาคุเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน….”
“อย่างนั้นหรือ?”
“ยกตัวอย่างเช่นคุณหนูในอนิเมะเรื่องคุณหนูกับพ่อบ้าน หรือ ฮัตสึเนะ มิกุ หากท่านทำลายตัวละครพวกนี้ แม้แต่พวกโอตาคุเองก็จะไม่สนใจทุกสิ่ง และสู้กับท่านด้วยทุกอย่างที่พวกเขามี…”
“ขอโทษที แต่ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดเลยสักนิด”
“เฮ้อ…ข้าเพียงแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น” ฉินเย่ยกมือเกาหัว และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาลดลงเล็กน้อย “โดยปกติแล้วข้าก็เป็นคนสบาย ๆ เข้ากับคนง่าย ไม่เหมือนกับยมทูตที่ท่านเคยเจอทั่วไป แน่นอนว่ามันมีหลายครั้งที่ข้าไม่ลังเลและหักหลังเพื่อนของตัวเอง แต่เมื่อท่านนำดวงวิญญาณของเพื่อนคนสนิทที่รู้จักกันมาหลายสิบปีของข้ามา และบอกให้ข้าเอาชีวิตของเขา ท่านได้ทำให้ข้าถึงขีดจำกัดแล้วจริง ๆ”
เชาโยวเต๋าหุบยิ้ม ทว่าเขายังคงแกว่งแก้วไวน์ในมือของตัวเอง “แล้วอย่างไร?”
และก่อนที่ชายวัยกลางคนจะได้เอ่ยต่อ คลื่นพลังหยินจำนวนมากก็เริ่มพุ่งเข้าหาร่างของฉินเย่ แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นเอง มือของเชาโยวเต๋าก็ถูกตรึงไว้กับโต๊ะภายในห้อง
อะไรบางอย่างพุ่งตรงไปที่ตราสลักไม้ที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ
มันคือโซ่ตรวนวิญญาณ…
ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังหยินมหาศาลที่โอบล้อมร่างของฉินเย่ก็พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณของจางเปากัว
พรึ่บ! ฟู่ววว~ มันเข้มข้นจนภูตผีที่อยู่โดยรอบต่างถูกเผาไหม้ กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา หลังจากผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเครื่องแบบยมทูตของเขา กระบี่เล่มยาวในมือถูกกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วและคนกระดาษที่จับดวงวิญญาณของจางเปากัวเอาไว้ ก็ถูกฟันและกลายเป็นผงไปในทันที!
ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!
“หนีไป!” โดยไม่สนใจว่าจางเปากัวจะได้สติกลับคืนมาแล้วหรือยัง ฉินเย่ก็คว้าแขนของอีกฝ่าย และรีบพุ่งตรงไปที่ทางเข้าราวกับสายฟ้าฟาด
กลับมาที่ชั้นสองของสมาคม เชาโยวเต๋ามองมือของตนที่ถูกตรึงไว้บนโต๊ะอย่างมึนงง จู่ ๆ โซ่ตรวนวิญญาณพวกนี้ก็พุ่งออกมา เจาะผ่านฝ่ามือของเขาและตอกมันไว้กับโต๊ะที่อยู่ด้านล่าง แต่มันกลับไม่ได้มีเลือดไหลออกมาแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่ยังคงหลั่งไหลอยู่มีเพียงพลังหยินจากร่างของเขาเท่านั้น
“ตัวข้าได้มอบหัวใจให้กับดวงจันทร์” เขาหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ทว่าดวงจันทร์กลับส่องสว่างเพื่อลำคลอง…”
ตู้ม!!!
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ พื้นที่บริเวณชั้นสองพลันสั่นสะเทือนและทลายลง และคลื่นพลังหยินที่หนาแน่นกว่าฉินเย่ถึงสิบเท่าก็แพร่กระจายไปทั่วทุกที่
ดวงวิญญาณหยินทั้งหมดต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พวกมันก้มหน้าหมอบลงกับพื้นแทบจะทันที ร่างดำทะมึนร่างหนึ่งก้าวออกมาจากใจกลางพลังหยินพวกนั้นและพุ่งตรงตามฉินเย่ไป เหลือไว้เป็นร่องรอยของเปลวไฟสีดำอยู่เบื้องหลัง
เขาสวมเสื้อคุมดำที่ถูกปักด้วยดิ้นสีขาวดำและหมวกกลมลายจีนฉลุสีดำ พลังแห่งโลกใต้พิภพยังคงหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดอย่างต่อเนื่อง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างเชาโยวเต๋าและฉินเย่มีเพียงข้อเท็จจริงที่ว่า เชาโยวเต๋านั้นได้สะพายดาบเล่มใหญ่อยู่บนหลังแทนที่จะเป็นกระบี่ปีศาจ
“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!”
พร้อมด้วยเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยว เขาตวัดดาบของตัวเองเบา ๆ ปัดเป่าดวงวิญญาณหยินที่อยู่โดยรอบตัวจนเหลือเพียงกลุ่มควันเท่านั้น
มันคือการไล่ล่าอย่างดุเดือดระหว่างยมทูตสองตน
ในความจริงแล้ว นี่คงจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งนรกมา ที่นักล่าวิญญาณไล่ตามล่ายมทูตระดับยมเทพ
ฉินเย่พยายามหนีให้ได้เร็วที่สุด เขาเพิ่งได้รู้ว่านักล่าวิญญาณนั้นทรงพลังมากเพียงใด หากถูกจับได้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ทางออกเดียวในตอนนี้มีเพียงใช้เศษตราจ้าวนรก อย่างไรก็ตาม ต่อให้เขาจะทำแบบนั้นและสามารถหนีไปได้ในครั้งนี้เท่านั้น มันก็จะเป็นการเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเองก็ถือครองเศษตราอยู่ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเชาโยวเต๋าจะตามล่าเขาอย่างสุดความสามารถ!
อย่างไรเสีย การที่เชาโยวเต๋าสามารถรอดชีวิตจากการล่มสลายของนรกมาได้ จะต้องมีผลมาจากการที่เขาได้ครอบครองหนึ่งในเศษตราจ้าวนรกสักชิ้นเป็นแน่
และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะไว้ชีวิตเขาหลังจากที่รู้ว่าเขามีเศษตราจ้าวนรกอยู่ในครอบครองนั้นจะเหลืออยู่เท่าไหร่เชียว?
ถึงตอนนั้น…เหล่าผีร้ายที่อยู่ทั่วทุกมุมในเมืองเป่าอัน จะต้องออกมาจากที่ซ่อนของพวกมันและมุ่งความสนใจมาที่ฉินเย่ทันที!
เพราะฉะนั้นเขาจะไม่มีทางใช้เศษตราจ้าวนรกเป็นอันขาด เว้นแต่ว่ามันจะจำเป็นจริง ๆ!
เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก! เหล่าภูตผีที่อยู่บนทางเดินหินต่างผงะไปเมื่อพวกมันเห็นว่าฉินเย่พุ่งตรงมาทางตน ทว่าในวินาทีต่อมา พวก
มันกลับเปล่งเสียงคำรามลั่นและพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ….แสงไฟที่ทอดยาวตลอดทางเดินหินทั้งหมดดับลง คลื่นพลังหยินที่หนาแน่นกว่าไล่ตามมาติด ๆ และประกายเย็นวาบจากปลายดาบชี้ตรงไปที่แผ่นหลังของฉินเย่ เหมือนกับว่าความตายได้ก้าวออกมาจากความมืดและจี้หลังฉินเย่ไปติด ๆ
“เวรเอ้ยยย!” มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อีกข้างถือดวงวิญญาณของจางเปากัว ประกายแสงของกระบี่สว่างขึ้นราวกับดอกไม้ไฟยามราตรี เขาพุ่งตัวเข้าไปในลิฟต์โดยไม่พักแม้แต่วินาทีเดียว โชคดีที่ตลอดทางไม่มีดวงวิญญาณหยินดวงใดสามารถต่อกรกับเขาได้สักดวง
เร็วเข้าสิ….ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ขณะที่เขาทุบมือลงบนผนังกระจกอย่างแรง
เสียงครืดดดังขึ้น …หมายเลข -6 ปรากฏขึ้นบนผนังกระจกอีกครั้ง ประตูปิดลงและลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
-5, -4…แต่ก่อนที่ฉินเย่จะได้หายใจ เลขบนลิฟต์ก็หยุดชะงักลงที่ -3
“โง่จริง” เสียงของเชาโยวเต๋าดังก้องไปรอบ ๆ ลิฟต์ “ที่แห่งนี้คืออาณาเขตของข้า เจ้าไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นการหยามหน้ากันเกินไปที่จะปล่อยให้เจ้าออกไปโดยที่ไม่คิดบัญชีทั้งหมดเสียก่อน?”
ฉินเย่กำลังลังเลที่จะมอบดวงวิญญาณของจางเปากัวให้กับเชาโยวเต๋า เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว เวลาปกติเขาสามารถขายหวังเฉิงห่าวได้ทุกเมื่อโดยไม่รู้สึกอะไรมีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าทำไมเมื่อกี้ เขาถึงช่วยดวงวิญญาณของจางเปากัว…
แต่ต่อให้เขาต้องเลือกอีกครั้ง เขาก็จะทำแบบเดิมอยู่ดี
“ดูเหมือนคุณธรรมที่สังคมปลูกฝั่งนักหนักจะฝังรากลึกไปแล้วสิ…” ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาและจับกระบี่ปีศาจในมือของตนแน่นกว่าเดิม ในเสี้ยววินาทีต่อมา ไฟบนหลังคาลิฟต์ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวหม่น
อุณหภูมิภายในลิฟต์ลดลงอย่างรวดเร็ว และสายลมเย็นยะเยือกก็เริ่มพัดเข้ามา หากมีมนุษย์มายืนอยู่ตรงนี้ เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นภายในลิฟต์คงทำให้เขากรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงและสติแตกแน่ ๆ
ทันใดนั้นรอยสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นบนกระจกทุกบานโดยรอบ
มันแทบจะเหมือนกับมีวิญญาณมาวาดรอยพวกนี้ด้วยแปรงทีละเส้น ๆ จากกระจกที่ดูธรรมดาในตอนแรก ทันใดนั้นภาพของเขาที่สะท้อนอยู่บนกระจกก็เปลี่ยนเป็นทางเดินยาวที่ไร้จุดสิ้นสุด ปราศจากแหล่งกำเนิดแสงใด ๆ นอกจากแสงสีเขียวหม่นจากเปลวไฟแห่งนรก กลุ่มก้อนพลังหยินยังคงจับตัวกันอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนกระจกทุกบาน พุ่งตรงมาที่ฉินเย่โดยเล็งมาที่ลำคอของเขา
มันคือดาบเล่มใหญ่
ในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของเชาโยวเต๋าปรากฏชัดเจนขึ้นบนกระจกทุกบาน ฉินเย่ผงะไป เขาเหวี่ยงกระบี่ปีศาจในมือไปในแนวระนาบ โดยไม่สนว่ามันจะกระแทกเข้ากับสิ่งใดหรือไม่ หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มก็ต้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาจากบริเวณหัวไหล่ของตนเอง
ทุกสิ่งรอบตัวพลันดับมืดลงในทันที
ฉินเย่ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจเลือดที่ไหล่ไม่หยุดบริเวณลาดไหล่เลยสักนิด การปรากฏตัวของเชาโยวเต๋าบนกระจกนั้นน่าตกใจเกินไป อีกฝ่ายยื่นหัวลงมาจากหลังคา และดูเหมือนจะซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งกระจก
“เจ้าไม่รู้หรือ…นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงบอกว่าเจ้าจะสามารถมองเห็นอดีตของตัวเองได้หากเจ้าหวีผมของตัวเองตรงหน้ากระจกเวลาตี 2 ครึ่ง” เชาโยวเต๋าชูดาบขึ้นและถือมันเป็นแนวตั้งตรงกับอกของตน “นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระจกก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสื่อกลางที่เชื่อมต่อระหว่างโลกใต้พิภพกับโลกมนุษย์ และข้า ผู้ซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็สามารถมองเห็นอนาคตของเจ้าได้โดยบังเอิญ”
“อนาคตของเจ้า….นั้นไม่มีอยู่”
และก่อนที่เขาจะพูดจบ ภาพสะท้อนของเชาโยวเต๋าที่อยู่บนกระจกทั้ง 12 บานก็แทงดาบเข้าไปในหัวของฉินเย่อีกครั้ง ยันต์ที่อยู่บนกระจกกระพืออย่างรุนแรง และเปลวไฟแห่งนรกก็ลุกโชนขึ้น
คงเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ…
ฉินเย่รู้สึกได้ถึงแหล่งพลังหยินอันทรงพลังที่กดทับร่างของตนทันทีที่เชาโยวเต๋าเริ่มขยับตัว ความแตกต่างระหว่างพวกเขามีมากเกินไป ยมเทพนั้นเทียบได้แค่หัวหน้าหมู่บ้าน ในขณะที่นักล่าวิญญาณนั้นคล้ายกับเจ้าเมือง พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเลยสักนิด
ฟึ่บ! ก่อนที่ดาบของฝ่ายตรงข้ามจะมาถึงตัว เครื่องแบบของฉินเย่เริ่มกระพืออย่างรุนแรงและพื้นที่รอบตัวของเขาก็เริ่มเกิดรอยร้าว ด้วยฟันที่กัดแน่น ฉินเย่ไม่ลังเลอีกต่อไป พลังของเศษตราจ้าวนรกระเบิดออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มทันที!
ตู้ม!!!
คลื่นแสงสีดำสว่างขึ้น ส่งผลให้ทั้งลิฟต์สั่นไหวอย่างรุนแรงไปชั่วขณะ วินาทีต่อมา ยันต์ทั้งหมดเริ่มสงบลง และตัวเลขสีแดงเลือดบนกระจกก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นอีกครั้ง
-2. -1… 1!
ติ๊งต่อง….เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉินเย่ก็รีบกระโจนออกไปด้านนอกพร้อมกับหอบหายใจอย่างแรง ในที่สุดเขาก็สามารถถอนหายใจได้อย่างโล่งอกเสียที กระจกทุกบานภายในลิฟต์แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นผนังสีดำที่อยู่เบื้องหลัง
ในขณะที่เศษซากของยันต์มากมายกระจัดกระจายไปโดยรอบ เขาต่อสู้กับความเจ็บปวดบริเวณไหล่ของตัวเองและปลดปล่อยดวงวิญญาณของจางเปากัว มองดูมันลอยหายไปอย่างเหนื่อยอ่อน
ในเวลาเดียวกัน กลับไปที่บริเวณชั้น -6 เชาโยวเต๋าจ้องมองดาบในมือของตนอย่างมึนงง ก่อนจะหันไปมองลิฟต์ที่ว่างเปล่าตรงหน้าของตนอย่างสงสัยไม่แพ้กัน
หนีไปแล้ว?
แค่ยมทูตระดับยมเทพ… แต่กลับสามารถหลบหนีการไล่ล่าของเขาได้?
ไม่…นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของฉินเย่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหนีไป พลังนั้น…มันรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าเหลือเชื่อ
“เศษตราจ้าวนรก!” มือที่ถือดาบของเขาสั่นอย่างรุนแรงขณะที่เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “มันคือหนึ่งในเศษตราจ้าวนรก!!”
“เขามีเศษตราจ้าวนรกอยู่ในครอบครองจริง ๆ!!”
“ไม่แปลก…ไม่แปลกเลยที่เขาจะกล้าเข้ามาในนี้ และนี่ก็คงจะเป็นเหตุผลที่เขาสามารถรอดชีวิตมาจากการล่มสลายของนรกสินะ! วันนี้เจ้าอาจจะหนีไปได้ แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจากสามารถออกไปจากเมืองเป่าอันได้?”
เชาโยวเต๋าหลับตาลงสักพักใหญ่ เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เส้นเลือดแดงภายในดวงตาของเขาก็จางลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พลังหยินที่หลงเหลืออยู่โดยรอบพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา เขาก็กลับไปอยู่ในรูปลักษณ์นักธุรกิจดังเดิมอีกครั้ง ชายวัยกลางคนส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา “อย่างที่ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้…มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้นที่สามารถมองเห็นกันและกัน”
“ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ แม้ว่าจะต้องตามล่าไปสุดขอบโลกก็ตาม!”
————————–
ฉินเย่ได้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างตอนแรก ทว่าครึ่งหนึ่งของมันในตอนนี้กลับถูกย้อมด้วยสีเลือด เด็กหนุ่มเหลือบตาไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของตนและรับรู้ได้ว่ามันเพิ่งจะตี 3 เท่านั้น
“ว่าแล้ว….การคลุกคลีกับพวกมนุษย์เป็นเวลานานไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย…”
“แค่ช่วยชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่ง ทำไมแกไร้หัวคิดแบบนี้…ฉินเย่เอ๋ย นายได้ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก…”
“กฎข้อแรกของการเอาชีวิตรอดก็คือการแสร้งทำเป็นตาบอด แล้วนายทำเรื่องอันตรายแบบนี้ลงไปได้ยังไงกัน?”
ฉินเย่ยังคงพึมพำออกมาเสียงดัง ต่อว่าตนเองสำหรับทุกสิ่งที่ตนได้ทำลงไป ผู้เฒ่าหลิวนั่งอยู่ที่โต๊ะของชั้นหนึ่ง ชายสูงวัยได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นเพียงลากขาที่หนักของตนเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ
ผู้เฒ่าหลิวเป็นเพียงแค่นกต่อเท่านั้น
ชั้นที่ 2….ชั้นที่ 3…ทันทีที่เขาเดินขึ้นมาถึงชั้น 3 เสียงตะโกนของนักเรียนคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ผีหลอกกกก!!” หลังจากนั้นอีกฝ่ายหมุนตัวและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเย่แค่นหัวเราะออกมาและมองดูสภาพของตัวเอง เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือด แสงไฟที่อยู่รอบ ๆ มืดสลัว และเขายังลากเท้า เดินเหมือนกับคนขากะเผลก ดูไม่ต่างอะไรกับผีที่อยู่ในหนังสยองขวัญสมัยนี้เลยสักนิด….