ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 505: เทศกาลวันสารทจีน (2)
บทที่ 505: เทศกาลวันสารทจีน (2)
“เชิญ” ฉินเย่พยักหน้าให้กับราชาผีแห่งพิภพอสูร แต่อย่างไรก็ตาม…ราชาผีไม่ได้เงยหน้าขึ้นหรือบินมาหาฉินเย่กลับกันเขาเพียงเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับมีทหารวิญญาณหลาย ยนายคอยติดตามเขา และใช้เวลาร่วมสิบกว่านาทีก่อนที่จะมาถึงจุดสูงสุดของนคร
เขาไม่ได้เดินเร็วนัก แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงในทุก ๆ ก้าวที่ย่างเดิน
เป็นไปได้อย่างไร?
เหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่จึงดูแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้?
ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเหล่าวิญญาณ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านความบันเทิง และแม้แต่เกาะกลางน้ำอันงดงามที่ดูราวกับอยู่คนละโลก ราชาผ ผีไม่ใช่คนโง่ หลังจากที่ได้เคยเป็นอัครมหาเสนาบดีของชาติ เขารู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้คือลักษณะของอารยธรรมที่พัฒนาแล้ว หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอน นรากฐานที่มั่นคงของยมโลกได้!
เดี๋ยวก่อนนะ…แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดอีกฝ่ายถึงให้เขาเดินทางมาหาด้วยตนเอง? คนตรงหน้าน่าจะรู้ดีว่าเขากำลังสร้างกองทัพของตัวเองขึ้นในสามมณฑลทางตะวันออก แล้วเหตุ ใดอีกฝ่ายถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับมัน?
ความเฉยเมยเช่นนี้ไม่เหมือนกับยมโลกที่เขาเคยรู้จักเลยสักนิด!
แต่ระดับการพัฒนาเช่นนี้ก็ไม่ใช่อารยธรรมเก่าแก่ในยุคหินเช่นกัน! ไม่! นี่มันสามารถเทียบได้กับราชวงศ์ซ่งเลยด้วยซ้ำ…หรืออาจจะเหนือกว่านั้นอีก!
เขาเดินไปด้วยความเร็วคงที่ตามหลังเหล่าทหารวิญญาณ มองดูสิ่งต่าง ๆ โดยรอบด้วยความประหลาดใจ หรือว่า…ยมโลกจะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับการพัฒนาเมืองหลวงแห่งใหม่นี้? ยิ่งกว่านั้ น…เขายังมองไม่เห็นตี้ทิงหรือจูล่งเลยสักนิด บางที…มันอาจจะยังมีที่หรือหนทางให้เขาได้ดิ้นรนต่อสู้อยู่…?
แม้ว่าจะถูกล้อมรอบด้วยทหารวิญญาณจำนวนมาก แต่ราชาผีก็ยังประกบมือเข้าด้วยกันไม่ยอมปล่อย ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ลอบสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
“เขากำลังกลัว” อาร์ทิสเอ่ยอย่างมั่นใจ
“แน่นอน” ฉินเย่เหลือบตามอง “ท่าทีของวิญญาณล้วนขึ้นอยู่กับตอนที่พวกเขายังมีชีวิต ฉินฮุ่ยเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ และมันก็เห็นได้ชัดว่าเขาจะให้ความสนใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตนเ เองก่อนผู้อื่นเสมอ ใช่ เขาเป็นเหมือนกับปลาในน้ำเมื่อเป็นเรื่องของการจัดการกับราชาที่อ่อนแอและหัวอ่อน แต่นั่นก็คือสถานการณ์ในแดนมนุษย์ในช่วงเวลาของเขา”
“น่าเสียดาย ที่ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับข้า”
“บอกให้พวกทหารวิญญาณยื้อเวลาไว้ ในขณะเดียวกัน แจ้งท่านตี้ทิงให้เตรียมพร้อมที่จะปรากฏตัวตลอดเวลา”
อาร์ทิสพยักหน้าและรีบจากไปทันที
…………………
หนึ่งนาทีต่อมาในลิมโบ
“ฉายภาพของข้าต่อหน้าผู้คน? ราชาผีแห่งพิภพอสูรมาแล้วอย่างนั้นหรือ?” ตี้ทิงเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้านและเอ่ยออกมา “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้ามา…ดูเหมือนว่าความหวาดกลัวที่ มีต่อยมโลกของเขาจะลดลงอย่างมากหลังจากผ่านร้อยปี นั่นสิ…ไม่มีสิ่งใดที่กาลเวลาไม่สามารถลบได้ เอาเถิด…เรามาเตือนความจำเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเคยกลัวในอดีตกัน”
ตี้ทิงก้มหน้าลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าท่านจ้าวฉินจะรับเขาเข้ามาในยมโลกจริง ๆ หรือไม่?”
“ไม่มีทาง! ราชาผีแห่งพิภพอสูรจะต้องตาย!” เสียงของชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่อาร์ทิสจะทันได้เอ่ยอะไร “ประการแรก พึงระลึกเอาไว้ว่า ดวงวิญญาณของเยว่เฟยได้ถูกคาราสุเท็ งงุและยักษ์ทมิฬแย่งชิงไปยังโลกใต้พิภพของญี่ปุ่น เมื่ออาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าคลายออกในอนาคต ทางที่ดีที่สุดที่ยมโลกจะกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาได้ก็คือการยึดคร รองญี่ปุ่น”
อาร์ทิสชะงักไป และจากนั้นร่างของนางก็สั่นเทา
เสียงนี้… เป็นเสียงที่นางคุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อ!
ทันใดนั้น นางก็หมอบลงกับพื้นและเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “ถวายบังคมจ้าวนรกองค์ที่สองแห่งยมโลก! จ้าวนรกองค์ที่สองจงเจริญ!!”
“ช่างเรื่องพิธีรีตอง” จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกไม่แม้แต่จะมองไปที่อีกฝ่ายขณะที่เขาเอ่ยต่อ “ยมโลกในเวลานี้กำลังอยู่ในจุดที่เหมาะสมสำหรับจุดสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งสงคราม ท ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์ จากนั้น ในอีก 150 ปีต่อมา เมื่ออาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าสลายไป จีนก็จะต้องก้าวเข้าสู่สนามรบเพื่อก้าวเข้าสู่เวทีโลก และญี่ปุ่นก็เป็น บันไดที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ มันคือเหตุผลว่าทำไมข้าจึงไม่ลงมือกับอิซานามิในตอนนั้น แค่ขั้นฝู่จวินระดับสูงไม่ควรค่าแก่เวลาของข้าเลยแม้แต่น้อย และนี่ยังเป็นเหตุผลที่ ทำให้นางกล้าที่จะมาทดสอบขีดจำกัดของยมโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกด้วย”
คำอธิบายของอีกฝ่ายทำให้อาร์ทิสได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างนี้นี่เอง…จากที่เขาพูด ดูเหมือนว่าจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกจะสร้างความเสียหายให้กับโลกใต้พิภพระดับสูงสี่แห่ งแรกเท่านั้น แต่นั่นก็สมเหตุสมผล ด้วยศักดิ์ศรีของเขา เขาไม่มีทางลดตัวไปยุ่งกับโลกใต้พิภพระดับต่ำอื่น ๆ อย่างแน่นอน ผู้ใดจะรู้ เขาอาจจะไม่ได้ไปพบกับเทพแห่งความตายไร้ นามของรุสด้วยซ้ำ
และพวกเทพแห่งความตายเหล่านั้นจะยอมบอกเล่าถึงความพ่ายแพ้ของตนเองแก่ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าไม่มีทาง!
ดังนั้น อิซานามิจึงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ และมันก็ยังสามารถอธิบายได้ด้วยว่าเหตุใดนางจึงยังพยายามทดสอบขีดจำกัดของยมโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกเอ่ยต่อ “เมื่อญี่ปุ่นถูกยึดครอง ยมโลกก็จะได้รับดวงวิญญาณของเยว่เฟยกลับมาอีกครั้ง เจ้าคิดว่าเยว่เฟยจะสามารถเข้ากับราชาผีแห่งพิภพอสูรได้อย่างน นั้นหรือ? หากเจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกผู้ใดระหว่างเยว่เฟยและฉินฮุ่ย?”
มันคือคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ
“ฉินฮุ่ยคือผู้ที่สังหารเยว่เฟยในเวลานั้น หากพูดกันตามตรง เจ้าสามารถพูดได้ด้วยว่าเขาคือผู้ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของทั้งราชวงศ์ ระยะเวลาหลายพันปีที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ ในส่วนลึกของพิภพอสูรเป็นเพียงการชดเชยบาปของการก่อให้เกิดความหายนะของราชวงศ์ซ่งเท่านั้น มันยังมีโทษของการวางแผนและสังหารวีรบุรุษอย่างเยว่เฟยอีกด้วย ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ๆ ว่าผู้สืบทอดของข้าจะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร?”
อาร์ทิสโค้งคำนับจ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลก จากนั้น ราวกับมีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว นางรีบถามขึ้นว่า “เกี่ยวกับโชคชะตา…”
“ข้าคือผู้ที่เขียนชื่อของเขาลงไปเอง” จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกตอบกลับอย่างไม่รู้สึกอะไร “หากเขาไม่พอใจกับผลที่ออกมา เช่นนั้นเขาก็สามารถมาพบกับข้าเป็นการส่วนตัวได้ ”
…ข้ามั่นใจว่าฉินเย่ไม่มีทางกล้าคิดที่จะทำอะไรแบบนั้น…
ทันใดนั้นเอง อาร์ทิสก็อ้าปากค้างอีกครั้ง เพราะนางเพิ่งสังเกตเห็นว่าโชคชะตาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ “นั่นมัน…”
“มันเริ่มขึ้นแล้ว” จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกพึมพำออกมาเสียงเบา “เราจะได้เห็นผลของโชคชะตาภายในอีกหกชั่วโมงหลังจากนี้”
“และดูเหมือนว่าฉินฮุ่ยจะเป็นหมากตัวแรกที่เริ่มเคลื่อนไหวบนโถงเวทีอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าโชคชะตา”
……………
ราชาผีแห่งพิภพอสูรเดินตามเหล่าทหารวิญญาณไปที่ประตูเมือง แต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปด้านใน เขาก็ถูกเชิญให้เดินขึ้นไปตามบันไดด้านข้างซึ่งนำไปสู่ด้านบนของกำแพงเมือง เส้นทางของ มันค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยว และสายตาของเขาก็เริ่มฉายถึงความวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
ประตูเมืองของนครเผิงชิวนั้นมีขนาดใหญ่มาก เดิมทีด่านซานไห่นั้นถูกสร้างขึ้นตามกำแพงเมืองจีน และโครงสร้างภายในของมันก็ถูกออกแบบไว้เหมือนกัน ทางเดินที่พวกเขาเดินผ่านล้วน สว่างไสวด้วยคบเพลิงเปลวไฟนรก และมีอาวุธมากมายแขวนอยู่ตามฝาผนัง บางครั้ง…เหล่าทหารวิญญาณที่เดินลาดตระเวนก็เดินผ่านพวกเขาไป
ฉินฮุ่ยไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก
เขาตายในฐานะของคนบาปแห่งยุคสมัยของตนเอง และอาชญากรรมที่เขาก่อในตอนที่ยังมีชีวิตก็ทำให้เขาก้าวสู่ขั้นฝู่จวินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถูกจับโดยยมโลกแห่งเ เก่าและถูกเนรเทศไปยังส่วนลึกของพิภพอสูร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ส่วนใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับรู้จาก ‘สหายในการคุมขัง’ ของตัวเองทั้งสิ้น เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ชุดเกราะที่ทำจากกระดองของแมลงแห่งหายนะที่ถูกสวมโดยเหล่าทหารวิญญาณเลยแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ไม่ได้หยุดยั้งเขาจากการชื่นชมฝีมือของผู้ที่สร้างชุดเกราะเหล่านี้ขึ้นมาได้
การป้องกันของชุดเกราะนั้นแข็งแกร่งเสียจนมีเพียงขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้นที่สามารถเจาะทะลุได้… แต่ถึงอย่างนั้น ทหารวิญญาณทุกนายที่เขาได้เห็นมากลับสวมพวกมันอยู่ทั้งหมด ! รัฐบาลชุดใหม่ของยมโลกสมควรจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น! แล้วพวกเขาสามารถหาทรัพยากรมาผลิตชุดเกราะเหล่านี้ได้อย่างไร?!
นี่อีกฝ่ายนำมาจากคลังสมบัติของยมโลกอย่างนั้นหรือ? ไม่…ไม่มีทาง! เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเช่นนี้ในยมโลกแห่งเก่ามาก่อน! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?!
เขาสับสนเป็นอย่างมาก…
เขานึกว่าอิสรภาพในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาจะขจัดความหวาดกลัวที่มีต่อยมโลกออกไปจากใจได้ แต่น่าเสียดาย การเดินทางกลับสู่ยมโลกในครั้งนี้กลับทำให้เขาต้องสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว อีกครั้ง
ความประทับใจแรกที่ยมโลกแห่งใหม่มอบให้เขาก็คือการแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง แต่แล้วเมื่อได้เดินชมโดยรอบของยมโลกแห่งใหม่แล้ว ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าทหารวิญญาณของตนนั้นไม่ สามารถเทียบกับความแข็งแกร่งของกองกำลังของยมโลกได้เลย!
ด้วยทหารที่สวมชุดเกราะที่ประณีตเช่นนี้ มันก็สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือที่พวกเขาจะมีค่ายกลทหารซ่อนไว้อยู่?
และหากฝ่ายตรงข้ามใช้ค่ายกลทหาร…เช่นนั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถต่อต้านกองกำลังของยมโลกได้…
สามมณฑลทางตะวันออกอาจจะใหญ่ แต่ทหารวิญญาณที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาล้วนเป็นพวกมือใหม่ที่แทบจะไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับสงครามระหว่างโลกใต้ พิภพ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เขาสามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าทหารวิญญาณของยมโลกนั้นล้วนเป็นเหล่าผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับการฝึกฝนของโนบูนางะ ประสบการณ์ที่ได้รับมาจากกองกำลังตระกูลหยาง รวมถึงการต่อสู้ที่นครชวีฟู่ เหล่าทหารวิญญาณที่ประจำอยู่ ที่นครเผิงชิวจึงถือว่าเป็นเหล่าผู้มีฝีมือระดับต้น ๆ ของกลุ่มทั้งสิ้น
ราชาผีแห่งพิภพอสูรสำรวจสิ่งรอบตัวอย่างละเอียดขณะที่เขาเดินไปตามทาง ไม่มีวิญญาณตนใดผละจากความรับผิดชอบของตนเลยแม้แต่น้อย ความมีระเบียบพวกนี้…
ยิ่งเขาเห็น เขาก็ยิ่งหวาดกลัว วินาทีนั้น เขาเผลอนึกถึงการป้องกันทั้งหมดของนครเผิงชิว แต่ก็รีบส่ายหน้าไปมา
เขาเกรงว่ามันคงไม่มีทางที่จะสามารถยึดนครเผิงชิวให้มาเป็นของตัวเองได้เลย ต่อให้เขาจะรวบรวมทหารวิญญาณทุกตนที่สั่งให้ประจำการอยู่ทั่วทั้งสามมณฑลทางตะวันออกก็ตาม
เขาควรจะทำอย่างไร…ควรจะทำอย่างไรดี? ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรต่อไป?!
“นายท่าน” ทันใดนั้นทหารวิญญาณที่เดินนำทางก็หันหลับมาและประสานฝ่ามือและกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างเคารพ “จุดนัดพบอยู่ตรงหน้านี้ เชิญ”
“หือ…อืม” ฉินฮุ่ยแย้มยิ้มบาง จากนั้น เขาก็เอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อหยิบหินวิญญาณออกมาก่อนจะยื่นมันให้ทหารวิญญาณนายนั้น ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธมันและมองกลับมาด ด้วยสายตาหวาดระแวง “นายท่าน โปรดอย่าทำเช่นนี้ โทษจากการรับสินบนคือโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์”
หลังจากนั้น ทหารตรงหน้าก็ทำความเคารพและจากไป ราชาผีแห่งพิภพอสูรชะงักไป มึนงงเป็นอย่างมาก
เหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบและไร้ที่ติเช่นนี้?!
นี่การตรัสรู้ของพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เพียงแค่ทำให้พวกระดับสูงหายของยมโลกหายไปเท่านั้นหรือ? แต่รากฐานของยมโลกยังคงมั่นคงดังเดิม?
ความแข็งแกร่งของกองทัพของเขาไม่สามารถเทียบกับทหารวิญญาณเหล่านี้ได้เลย! ไม่…หากไม่นับพวกทหารวิญญาณ แค่ตี้ทิงเพียงตนเดียวก็มากเกินพอแล้วที่จะจัดการกองกำลังของเขา!
เหตุใดเขาจึงยืนกรานที่จะเดินทางมายังยมโลก?!
นี่เขาทำอะไรไป…?!
ราชาผีแห่งพิภพอสูรตัวสั่นเทา…
ท่านจ้าวฉิน…การแสดงของอีกฝ่ายนั้นยอดเยี่ยมมาก อีกฝ่ายคงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลอกเขา และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาก็กำลังวิ่งวนอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม!
ทันใดนั้น ภายในหัวของเขาก็มีความคิดที่จะหนีปรากฏขึ้น แต่ทันทีที่เขาหันหลังกลับ เขาก็ชะงักไป
ตี้ทิง…
เขาอยากรู้ว่าตี้ทิงอยู่ที่นี่หรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้น…เขา…จำเป็นจะต้องหนีต่อไปหรือไม่?
ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากัน และก็ก้มศีรษะต่ำขณะที่เดินเข้าไป
บางครั้งความฉลาดก็เป็นภัย
ความเฉลียวฉลาดนำมาถึงการตั้งข้อสังเกตจำนวนมาก หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาคงจะมองเรื่องนี้ด้วยข้อสรุปที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ตุบ...
ราชาผีแห่งพิภพอสูรค่อย ๆ เดินไปหาฉินเย่ สายลมที่พัดผ่านเบา ๆ ส่งผลให้เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาขยับไปมาเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปทางซ้าย
จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปทางขวา
ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็สามารถบอกได้ว่าทั่วทั้งนครเผิงชิวนั้นพัฒนาไปอย่างมาก เมื่อเทียบกันแล้ว โลกใต้พิภพของเขาในมณฑลทางตะวันออกทั้งสามแห่งนั้นไม่สามารถเทียบได้เลยส สักนิด สิ่งนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าท่านจ้าวนรกฉินสามารถบริหารยมโลกได้อย่างดี เนื่องจากที่เคยเป็นอัครมหาเสนาบดี เขาจึงตระหนักถึงผลกระทบที่นครใหญ่จะส่งผลต่ อพื้นที่โดยรอบเป็นอย่างดี
สับสน...แผนการและความคิดของเขาทั้งหมดกำลังยุ่งเหยิงไปหมด
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นร่าง ๆ หนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไปและกำลังยืนดูภาพของเกาะปี่อั้นอยู่ แม้ว่าร่างดังกล่าวจะไม่ได้ใหญ่โต แต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้นไปอย่างก กระทันหัน
เขารีบก้าวเข้าไปทันที ในขณะเดียวกัน ฉินเย่เองก็สังเกตเห็นถึงการเข้ามาใกล้ของราชาผีแห่งพิภพอสูร ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ฉินเย่ก็ยิ่งกำมือรอบปลายหอกที่ผูกติดก กับปลายแขนของเขาซึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่นขึ้นเท่านั้น
แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา ราชาผีแห่งพิภพอสูรก็ลงไปทรุดตัวลงและทำความเคารพเขาจนหน้าผากของตัวเองแนบลงกับพื้น “วิญญาณบาปฉินฮุ่ยคารวะท่านจ้าวนรก”
นี่เขาทำอะไรลงไป? เขาควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง…
ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็จ้องมองไปที่ราชาอสูรที่อยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงง นี่อีกฝ่ายอยู่ขั้นฝู่จวินไม่ใช่หรือ?! คนตรงหน้าแข็งแกร่งพอ ๆ กับนักรบผู้กล้าในแดนมนุษย์! แล้วจู่ ๆ…เหตุใดจึงมาหมอบกราบเขาง่าย ๆ เช่นนี้?!
แน่นอน ฉินเย่ตั้งใจที่จะทำให้ฉินฮุ่ยตกตะลึงเพื่อทำให้อีกฝ่ายยอมอ่อนลงและยอมจำนนในที่สุด แต่เขาก็ไม่คิดว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้
เขาหมายถึง… นี่อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?!!