ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 508: ราตรีขบวนร้อยอสูร (1)
บทที่ 508: ราตรีขบวนร้อยอสูร (1)
“ถอยไป” ชายในชุดคลุมยาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่เขาทาบมือลงบนประตูกระจกบริเวณทางเข้าของอาคาร “จากการบ่มเพาะตลอด 90 ปีที่ผ่านมาของผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นอะไรแบบนี้…”
ตู้ม!
ประตูกระจกแตกกระจาย เขาหยิบยันต์กระดาษจำนวนมากออกมาและโยนมันไปในอากาศ
ทันใดนั้น…ยันต์ทั้งหมดก็กระจายออกพุ่งไปติดกับร่างของเหล่าเจ้าหน้าที่สอบสวนทุกคนราวกับอุปกรณ์นำทาง ไม่กี่วินาทีต่อมา เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณเดียวกันก็พบว่า…พวกเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน!
กลุ่มวิญญาณจำนวนมากที่ยืนอยู่ด้านนอกยังคงยืนหันหลังให้กับอาคาร แต่ถึงกระนั้นหัวของพวกเขากลับหันกลับมาและจ้องมาที่อาคารอย่างน่าขนลุก ทันทีที่ชายสวมชุดคลุมยาวก้าวเท้าออกไป ฝูงวิญญาณทั้งหมดก็เปิดทาง มันแทบจะเหมือนกับการที่ทะเลแดงแยกออกตามคำของโมเสสไม่มีผิด
โจวเซียนหลงและโม่ฉางห่าวเดินนำ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ส่วนที่เหลือก็รวบรวมความกล้าของตัวเองและเดินตามไปติดๆ
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดเดินไปตามทะเลซากศพอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะถูกต้อนรับด้วยสายตาหลายคู่ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว กลิ่นของความตายแผ่ซ่านไปทั่ว ในขณะที่บรรยากาศที่เย็นยะเยือกด้านนอกจะทำให้ขนบนร่างของพวกเขาลุกชัน มีหลายครั้งที่พวกเขาจะได้ยินเสียงลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีใครรู้ว่าเสียงดังกล่าวนั้นมาจากเจ้าหน้าที่สอบสวนหรือศพที่หิวกระหายกันแน่
มันแทบจะเหมือนกับว่ากลุ่มมนุษย์ได้ก้าวเข้ามาสู่ห้องเก็บศพขนาดใหญ่ หรือราวกับพวกเขากำลังเดินอยู่ในขุมนรกเลยด้วยซ้ำ เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความมืด และความเงียบที่เกิดขึ้นก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
หลินฮั่นและซู่เฟิงเองก็อยู่ในกลุ่มของเจ้าหน้าที่สอบสวนเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ หัวใจเต้นแรง มันแทบจะเหมือนกับว่าวิญญาณที่อาศัยอยู่ทั่วทั้งเมืองได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลพร้อมกัน พวกเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยความกลัวที่จะต้องเดินเข้าไปในกองทัพวิญญาณนับพันอีกทั้งทุกย่างก้าวที่เดินก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินออกห่างจากแดนมนุษย์และเข้าสู่โลกใต้พิภพมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งพวกเขาเดินไปไกลเท่าไหร่ เสียงกลืนน้ำลายก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ทุกคนกำมือรอบอาวุธและสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาเนื่องจากกลัวว่าพลังหยางจะรั่วไหลออกไปโดยรอบ มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดินไต่เชือกเส้นบางเพื่อเดินข้ามจากหน้าผาหนึ่งไปยังอีกหน้าผาหนึ่ง ราวกับการส่งเสียงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เชือกเส้นดังกล่าวขาดและพวกเขาทั้งหมดก็จะตกลงไปสู่ขุมนรกที่อยู่ด้านล่าง
มันเป็นความเงียบที่แสนจะบีบคั้น…
หลินฮั่นพยักหน้าให้ซู่เฟิง จากนั้นก็พยักเพยิดหน้าไปด้านหน้าของตน
นั่นใคร? ทำไมเขาถึงสามารถระงับการเคลื่อนไหวของวิญญาณพวกนี้ได้?
ซู่เฟิงส่ายหน้าไปมา…ฉันก็ไม่รู้
ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากเขตส่วนกลางได้ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่ชายสูงวัยในชุดคลุมยาวหยุดเดินและยกมือขึ้น
เต้ง…
เสียงของระฆังดังก้องไปทั่ว มันดังขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
การเริ่มต้นของเทศกาลวันสารทจีน... เจ้าหน้าที่สอบสวนทุกคนรู้สึกขนลุกชัน ลมหายใจของพวกเขาติดขัด
ไม่กี่วินาทีต่อมา ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียง ‘กริ๊ก’ เบา ๆ ดังขึ้น
เมื่อคนทั้งหมดหันกลับไป พวกเขาก็พบว่าเสาไฟที่ปลายถนนได้สว่างขึ้น
แต่น่าเสียดายที่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าไฟถนนดังกล่าวถูกจุดขึ้นโดย…ไฟนรก!
กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก!!!
ก่อนที่พวกเขาจะสามารถตอบสนองได้ทัน ไฟถนนทั้งหมดก็สว่างขึ้นติดต่อกัน ราวกับเป็นการต้อนรับการมาถึงของบางสิ่งบางอย่างหรือคนสำคัญบางคน แสงไฟนั้นส่องสว่างไปทั่ว หากพวกเขาได้มองลงจากมุมบน พวกเขาจะพบว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเองก็เกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเมืองเช่นกัน และทั้งหมดนี้ก็มุ่งตรงไปยัง…พื้นที่โครงการพัฒนาเหมาหยวน!
ฮืออออ...
เสียงร้องที่โหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งเมือง นี่ไม่ใช่เสียงของวิญญาณเพียงตนเดียว แต่มันคือเสียงร้องของวิญญาณหลายพันตนพร้อมกัน แทบจะเหมือนกับว่ามันผสมปนเปกันระหว่างเสียงร้อง เสียงครวญคราง เสียงหัวเราะ และเสียงสาปแช่ง แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง วิญญาณทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมด้วยโคมไฟกระดาษที่อยู่ในมือและเท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย วิญญาณทั้งหมดจ้องไปยังจุดหมายปลายทางของตน จากนั้นฝูงวิญญาณที่ถือโคมกระดาษก็เริ่มลอยไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเป็นระเบียบ
“บ้าน่า…” หนึ่งในเจ้าหน้าที่สอบสวนคนหนึ่งพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว “นี่มันเหมือนกับในบันทึกของเราที่อธิบายเกี่ยวกับการเปิดออกของประตูนรกในตำนาน…”
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจนจบ เจ้าหน้าที่คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ก็ยกมือปิดปากเขาเอาไว้เสียก่อน!
และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าวิญญาณจำนวนมากได้หันหน้ากลับมามองเขา…และแม้กระทั่งหยุดเคลื่อนตัวไปด้านหน้า
หากพูดกันตามตรง วิญญาณทุกตนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาเขม็ง…
อึก...
เหล่าเจ้าหน้าที่ขยับตัวเข้าใกล้กันโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็จ้องมองมาที่พวกเขาอย่างน่าขนลุกพร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วง ใบหน้าซีดเผือดไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ถึงกระนั้น…สายตาของพวกเขากลับเหมือนสายตาของผู้หิวโหยที่กำลังจ้องไปยังอาหาร
ทันใดนั้น ความรู้สึกเสียวสันหลังก็แพร่กระจายไปทั่วร่างของเหล่าเจ้าหน้าที่สอบสวนที่อยู่ในกลุ่มทันที!
“บังอาจ!!!” ทันใดนั้น ชายสูงวัยในชุดคลุมยาวที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็ตะโกนออกมาสุดเสียง เขาลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า และดาบที่เสียหายเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเสี้ยววินาทีต่อมา ดาบเล่มดังกล่าวก็เปล่งแสงสว่างจ้า และวิญญาณทุกตนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็สลายหายไป!
“ผู้ถือครองชั่วคราวของกระบี่เซวียหยวนคารวะท่านยมทูต” เสื้อคลุมยาวของเขาขาดวิ่น เผยให้เสื้อคลุมโบราณอันวิจิตรขณะที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งเมือง “ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขั้นฝู่จวินจะไม่สามารถมองเห็นยมทูตได้ ยมโลกไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของแดนมนุษย์มานานกว่าร้อยปีแล้ว แต่จู่ ๆ ประตูนรกกลับเปิดออกอีกครั้งในคืนนี้ จะเป็นอะไรหรือไม่หากข้าจะขอเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมยมโลกด้วยตนเอง?”
ไร้ซึ่งคำตอบ…
มีเพียงเสียงร้องของเหล่าวิญญาณที่ล่องลอยมาตามสายลมเท่านั้นที่ดังขึ้นให้ได้ยิน
ผู้ครอบครองกระบี่เซวียหยวนทำท่าคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ และแผ่นไม้โบราณก็ปรากฏขึ้น เขาโยนมันไปในความมืด ก่อนจะยืนรออย่างอดทน น่าเสียดาย มันยังคงไร้ซึ่งคำตอบดังเดิม
“พวกท่านปฏิเสธคำร้องขอของข้าอย่างนั้นหรือ?” ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจกับการที่ไม่ได้รับคำตอบเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น เสื้อคลุมของเขาก็สะบัดไปมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบพร่าของเจ้าตัว “หยินและหยางคือสองด้านของเหรียญ พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหามากมายในแดนมนุษย์ ในเมื่อท่านไม่ยอมที่จะมาพบข้า เช่นนั้นข้าก็จะเป็นคนไปหาท่านเอง…”
ใบไม้สีเขียวสองใบปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว และเขาก็แปะมันไปที่บนเปลือกตาของตัวเอง จากนั้นเขาจึงมองไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายตัวไปพร้อมกับทิ้งคำพูดไว้ว่า “พวกคุณสามารถเคลื่อนไหวและพูดคุยได้อย่างอิสระ”
“จงควบคุมความรู้สึกของตัวเองให้ดี นี่คือราตรีขบวนร้อยอสูรครั้งแรกในรอบร้อยปี และประตูนรกก็กำลังจะเปิดออก... ผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากนักหากคุณปล่อยพลังหยางออกมามากเกินไป”
เงียบสนิท…
เหล่าเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ยืนอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นยมเทพหรือขั้นนักล่าวิญญาณ หรือแม้แต่โจวเซียนหลงและโม่ฉางห่าวก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งอยู่กับที่ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังความมืดมิดตรงหน้า
พวกเขาได้ยินสิ่งที่ชายสูงวัยพูดอย่างชัดเจน เขาคือผู้ถือครองชั่วคราวของกระบี่เซวียหยวน หนึ่งในสามของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมนุษย์ และยังเป็นหัวหน้าในตำนานของหน่วยสอบสวนพิเศษ ไม่คิดเลยว่าเขาจะเดินทางมาที่เมืองหวู่หยางด้วยตนเองแบบนี้!
มันเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!
ประตูนรกเปิดแล้ว!
ในที่สุดประตูนรกในตำนานก็เปิดออก!
ตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างพยายามศึกษาเกี่ยวกับสัญญาณและลักษณะของสถานการณ์ดังกล่าว เพราะว่ามันจะกลายเป็นวันของเหล่าคนตาย และมันก็ไม่ใช่สถานที่ซึ่งมนุษย์ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ถึงกระนั้นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่กลายเป็นเพียงอดีต มันจึงไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะได้มาเห็นมันด้วยตาของตัวเองแบบนี้!
ประตูนรกไม่ได้เปิดมานานกว่าร้อยปีแล้ว ทว่าคืนนี้…มันกลับกำลังเปิดออกภายในเมืองหวู่หยาง!
หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังถูกล้อมรอบโดยเหล่าวิญญาณ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดคงกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงไปแล้ว! พวกเขารอฟังข่าวจากยมโลกมานานเหลือเกิน นานจนคิดว่ายมโลกไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่ในที่สุด…มันก็พร้อมที่จะเผยคมเขี้ยวของตนเองต่อหน้าเหล่าวิญญาณที่อยู่ในแดนมนุษย์อีกครั้ง!
ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นใช่ไหม?
แผ่นดินจีนกำลังเตรียมการที่จะเปิดเผยเรื่องการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแก่ประชาชน ไม่ใช่นี่หมายความว่า…พวกเขาสามารถยืดระยะเวลามันออกไปได้อีกหรอกเหรอ?
โจวเซียนหลงและโม่ฉางห่าวเองก็แน่นิ่งอยู่กับที่ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในคืนเทศกาลวันสารทจีน เสียงลมหายใจที่ติดขัดด้วยความตื่นเต้นจากความนึกถึงความหมายของสิ่งที่จะเกิดขึ้นดังให้ได้ยิน โจวเซียนหลงเป็นคนแรกที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว เขามองไปรอบ ๆ และเอ่ยออกมารอดไรฟัน “เงียบ!!”
ทุกคนสามารถได้ยินถึงความสั่นเทาในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน และก็รู้ดีว่ามันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้ด้วยตาของตัวเองในรอบร้อยปี
เหนือสิ่งอื่นใด แต่ละคนรู้สึกโล่งใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าในที่สุดยมโลกก็เคลื่อนไหวเป็นครั้งแรก
โม่ฉางห่าวหลับตาลงและเอ่ยออกมาเสียงเบา “เจ้าหน้าที่ทุกคนรอฟังคำสั่งของรองผู้อำนวยการโจว ผู้ใดก็ตามที่ละเลยจากหน้าที่จะต้องขึ้นศาลทหาร!”
“เป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ประตูนรกของจีนได้เปิดออกอีกครั้ง และพวกเราทั้งหมดก็ได้เห็นราตรีขบวนร้อยอสูรด้วยตาของตัวเอง! เปิดหูเปิดตาให้กว้าง ปล่อยให้ภาพและเสียงที่เกิดขึ้นในคืนนี้ฝังรากลึกเข้าไปในใจของพวกคุณ จดจำทุกย่างก้าวที่ก้าวเดิน และทุกข้อห้าม เพราะพวกคุณทุกคน...จะถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะของเจ้าหน้าที่สืบสวนที่ได้เห็นการฟื้นคืนชีพของยมโลกด้วยตาของตัวเอง!”
“ได้ยินผมไหม?!”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
กลับกัน พวกเขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่ตนเองรู้ดีที่สุด พวกเขายกมือทำความเคารพต่อหน้าที่ของตนเองด้วยความมุ่งมั่นสูงสุด
เมื่อพวกเขาลดมือลง หลินฮั่นก็สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผู้ใดก็ตามที่ได้พบเห็นปรากฏการณ์ในตำนานเช่นนี้ย่อมรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต้นแรงขึ้นเป็นธรรมดา ทว่าทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในหัว
“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพยักหน้าหรือส่ายหน้าทั้งนั้น ผมได้บอกให้ทางสำนักงานใหญ่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ่งชี้พลังหยินให้เราแล้ว หน้าที่ของคุณก็คือพยายามติดต่อกับฉินเย่ให้ได้ ทันทีที่เขาตอบกลับ รีบแจ้งให้ผมทราบทันที!”
สิ้นเสียงของโจวเซียนหลง!
ดวงตาของหลินฮั่นเบิกกว้างขึ้น
นี่ฉินเย่หายไปไหน?
สัญญาณโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ในเขตที่มีสัญญาณ และเขาก็ไม่ได้อยู่บ้าน แต่กล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกลับไม่สามารถจับภาพเขาเดินทางออกจากที่พักได้เช่นกัน มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาเพียงแค่หายตัวไปเฉย ๆ
“คุณยังไม่ได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับข้อสงสัยของคุณเกี่ยวกับคุณฉินใช่ไหมครับ?” โม่ฉางห่าวเหลือบมองหลินฮั่นและกระซิบกับโจวเซียนหลง “ดี…คุณทำถูกต้องแล้วครับ เพราะตัวผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของฉินเย่”
“มันไม่มีทางที่ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีวิญญาณร้ายปรากฏตัวขึ้นในทุกที่ที่เขาไป? นอกจากนี้ มันยังมีการนัดพบระหว่างเขากับวิญญาณร้าย และการปรากฏตัวของขั้นฝู่จวินภายในเมืองชางหลาน และตอนนี้… ราตรีขบวนร้อยอสูรในเทศกาลวันสารทจีนนี่มันมากเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ…มันมากเกินไปจริงๆ!”
“คุณคิดว่า…มันมีความเป็นไปได้ไหมครับที่เขาจะเป็นยมทูต? และหากเขาเป็นยมทูตจริง ๆ พวกเราจะจัดการกับเขาอย่างไร?”
“หยินและหยางไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้” โจวเซียนหลงเอ่ยเสียงนิ่ง “เขาไม่มีทางเป็นยมทูต ผมคิดว่าเขาคือคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น เราอาจจะฆ่าเขาไม่ได้ แต่เราจะต้องดึงความจริงออกมาจากปากเขาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไร เราก็แค่ทำตามคำสั่งต่อไป นอกจากนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป หากเขาเป็นยมทูตจริง ๆ การรับมือกับเขาก็คงต้องปล่อยให้ระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจ”
“พวกเราแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น คุณโม่ คุณจะปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวบดบังการตัดสินใจของคุณไม่ได้เด็ดขาด”
ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างก็ดังสนั่นมาจากท้องฟ้า!!
ตู้ม!!!!
ระลอกคลื่นสีดำแพร่กระจายไปในอากาศราวกับผลพวงของการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ กวาดไปทั่วทั้งเมืองหวู่หยางภายในชั่วพริบตา ที่ใดก็ตามที่มันพัดผ่านวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นจะหมอบลง โค้งคำนับจนหน้าผากติดกับพื้นเพื่อเป็นการทำความเคารพ
ในวินาทีนั้น วิญญาณนับพันได้ทรุดตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน มันเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก!
“นั่นมัน…ทางที่ไปพื้นที่โครงการพัฒนาเหมาหยวนนี่!” โม่ฉางห่าวอ้าปากค้างขณะที่รีบพุ่งตัวไปด้วยความเร็วสูงสุด
ในขณะเดียวกัน กลุ่มก้อนพลังหยินก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากใต้พื้นดินของเมืองหวู่หยาง แทบจะเหมือนกับว่ามันตั้งอยู่เหนือขุมนรกอย่างพอดิบพอดี ไม่นาน พลังหยินดังกล่าวก็มาบรรจบกันและก่อตัวเป็นเสาพลังหยินขนาดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างสวรรค์และปฐพี!
และพื้นที่ของโครงการพัฒนาเหมาหยวนก็ตั้งอยู่ ณ กึ่งกลางของเสานั้น!